สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ประวัติความเป็นมา,จีน,เวียดนาม,ลาว,ไทย
Author ยัง ม็อตแต็ง
Title ประวัติของชาวม้ง (แม้ว)
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 58 Year 2520
Source กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์
Abstract

ประวัติของชน "เมี้ยว" ในประเทศจีน การแบ่งกลุ่มย่อย การแบ่งเขตภูมิศาสตร์ของเมี้ยว ม้งในประเทศเวียตนาม ประเทศลาวและประเทศไทย

Focus

ศึกษาประวัติความเป็นมาของม้ง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

เมี้ยวในประเทศจีน ม้งในประเทศเวียตนาม ประเทศลาวและประเทศไทย (หน้า 1-58)

Language and Linguistic Affiliations

เมี้ยวหรือม้งอยู่ในกลุ่มใหญ่ของตระกูลภาษาอาเซีย ยังแยกออกไปเป็นตระกูลภาษาเมี้ยว-เย้า ได้แก่ ภาษาเมี้ยว 3 ภาษาและภาษาเย้า 4 ภาษา ในครั้งกระโน้นเข้าใจว่าเมี้ยวกับเย้าเป็นพี่น้องกันในด้านภาษาคงอาศัยด้วยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ณ ที่ใดที่หนึ่งในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ภาษาแม้วถูกภาษาของชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงครอบงำน้อยกว่าภาษาเย้า (หน้า 2-3)

Study Period (Data Collection)

เป็นการศึกษาประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน ช่วงเวลาคริสต์ศตวรรษที่ 18-20

History of the Group and Community

ชาวจีนเรียกชื่อเมี้ยวกับเย้า ชนสองเผ่านี้สับกันเป็นเวลาช้านาน เรียกเป็น "ม่าน" ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในความหมายว่า "คนที่มิใช่จีน" ในเวลาต่อมาพวกเมี้ยวมุ่งไปทางทิศตะวันตกแยกย้ายกันไปเป็นกลุ่มคนพเนจรที่เดินไปโดยไม่มีจุดหมาย ต่อมาเมื่อตระหนักถึงความเป็นกลุ่มก้อนของพวกพ้องจึงได้พากันแยกไปอยู่ต่างหากบนภูเขาไม่ปะปนกันหมู่ชนเผ่าอื่น ชนเผ่าเมี้ยวแต่เดิมอาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง (ในประเทศจีน) ครั้งแรกได้อพยพไปทางตะวันตกตามแถบภูเขาของมณฑลกีซูและและมณฑลต่างๆที่มีดินแดนติดกัน คือ มณฑลฮูนาน (Hu-nan) กวางสี (Guang-xi) ยูนาน (Yun-nan) และเสฉวน (Si-chuan) มณฑลกีซูเป็นถิ่นที่เมี้ยวเผ่าต่าง ๆ มารวมตัวและอยู่ใกล้กันมากที่สุด ทำให้คิดว่ามณฑลดังกล่าวนี้ คงเป็นศูนย์กลางที่พวกเขายึดเป็นที่ตั้งหลักแหล่งครั้งที่สอง แต่ต่อมาเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่จะอพยพออกจากมณฑลนี้ บางคนก็คิดจะไปแสวงหาโชคลาภทางตอนใต้ให้ไกลไปกว่านั้นอีก คือ ไปยังมณฑลยูนานและกวางสี และร่นลงมาตามแถบภูเขาในประเทศเวียตนาม ประเทศลาว และประเทศไทยในที่สุด ม้งเป็นชนเผ่าเดียวในกลุ่มเมี้ยวที่ได้ออกมาผจญภัยนอกประเทศจีน เริ่มอพยพเข้าไปในประเทศเวียตนามเมื่อต้น ๆ ศตวรรษที่ 19 โดยผ่านทางตงวาน เยนบิน และกัมบา จากนั้นมุ่งหน้าลงไปทางใต้ แต่อพยพเดินแยกออกไปทางภูมิประเทศแถบภูเขาทางภาคตะวันตก คือ ลับกาย โจปาและตามพรมแดนประเทศลาว ในขณะที่ม้งพวกหนึ่งมุ่งเดินต่อไปข้างหน้า อีกพวกหนึ่งก็หยุดอยู่กับที่ ม้งเข้าไปอยู่ในประเทศลาวช้ากว่าเข้าไปในประเทศเวียตนามเล็กน้อย คือ เข้าไปในระหว่างปี 1810-1820 ได้แทรกซึมเข้าไปในภาคเหนือของประเทศลาวเกือบทั่วไป และปัจจุบันได้ลงมาถึงราวแนวเมืองปากซ่าน ม้งได้แทรกซึมเข้ามาในประเทศไทยทาง 3 จุดใหญ่ คือ จุดที่ 1 เป็นจุดที่เข้ามาก่อนและเข้ามามากอยู่ในแนวเมืองคาย-ห้วยทราย-เชียงของ ทางทิศเหนือสุด จุดที่ 2 อยู่ในแนวสายบุรี-บัว ทางทิศใต้ลงไป จุดที่ 3 เป็นจุดที่เข้ามาน้อยที่สุด อยู่ในแนวภูเขาคาย เลย ใกล้เวียงจันทน์ (หน้า 2-3,5,7,38,43,52)

Settlement Pattern

ม้งหรือเมี้ยวตั้งถิ่นฐานอยู่ในหมู่บ้านที่มีการป้องกันแข็งแรง เรียกว่า "ไซ" และล้อมด้วยรั้วไม้ซึ่งโดยรอบอาจยาวนับหลายกิโลเมตร ภายในรั้วมีแหล่งน้ำหรือบ่อ บ้านของเมี้ยวทำด้วยต้นไม้ที่ขัดกัน หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้หรือหญ้าคา นอกจากบ้านส่วนตัวแล้วก็ไม่มีอาคารที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อจะได้ใช้ร่วมกัน เช่น ไม่มีศาลา (หน้า 8, 23)

Demography

เนื่องจากไม่มีใครศึกษาอย่างละเอียดแน่นอนเกี่ยวกับภาวะสถิติของชนเมี้ยว ตามความคาดคะเนสถิติทางการ คือ เมี้ยวในประเทศจีนมี 2,740,000 คน ในประเทศเวียตนามมี 219,514 คน ในประเทศลาวมี 145,000 คน ในประเทศไทยมี 58,000 คน (หน้า 9)

Economy

เมี้ยวรู้จักทำนาบนที่ราบสูงหรือในหุบเขา แต่ตามประเพณีนิยมเขาชอบทำการเพาะปลูกบนที่ที่จุดไฟเผาแล้ว คือ เมื่อถางป่าเสร็จ เขาก็จุดไฟเผาไม้เพื่อทำการเพาะปลูกบนเศษเถ้าเผา แล้วราวๆทุก 3 ปีก็จะหมุนเวียนไปทำการเพาะปลูกในที่แห่งอื่น แม้มีวัวก็จะไม่ใช้ทำงานด้วยเขาชอบทำงานเอง พืชที่ปลูกมีข้าว ข้าวโพด งา ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ถั่ว ชา ฝ้าย ต้นป่าน ข้าวอาจไม่ใช่อาหารหลักเสมอไป ข้าวโพดเป็นพืชที่มีคนนำมาปลูกเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 และเป็นที่นิยมมากในหมู่เมี้ยวเขียวซึ่งบางครั้งก็ปลูกพืชอย่างอื่นไม่ได้ ฝิ่นยังเป็นของที่ไม่มีใครรู้จักเพิ่งมีคนนำเข้ามาในศตวรรษที่ 19 เมี้ยวเลี้ยงควาย ม้า หมูและไก่ เป็ด เป็นจำนวนมากพอกินพอใช้ทีเดียว ควายนั้นเลี้ยงไว้สำหรับเซ่นผี กินเนื้อหรือแลกกับสินค้าอื่น สำหรับหนังควาย นักรบเมี้ยวชอบเอาโลหะหุ้มขอบแล้วเอาไปใช้ต่างเกราะ เมี้ยวมิได้เพียงแต่ทำลายป่า แต่ยังใช้ป่าให้เป็นประโยชน์ และพยายามปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนต้นที่ตัดไปแล้ว เมี้ยวตัดต้นไม้บนภูเขากลิ้งให้ตกลงไปในแม่น้ำ ซึ่งไหลผ่านดินแดนของเขา พ่อค้าจีนจะคอยรับไม้ที่แม่น้ำ ผูกเป็นแพแล้วนำไปถึงเมือง ของทุกอย่างที่ต้องการใช้สำหรับทำงานหรือล่าสัตว์ เมี้ยวเป็นผู้ทำเองทั้งสิ้น (หน้า 23-24)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

หมู่บ้านนับเป็นหน่วยการเมืองหน่วยเดียวของเมี้ยว เพราะผิดกับชนเผ่าอื่น ๆ ตรงที่ว่าเขาไม่มีหัวหน้าที่สืบตำแหน่งตกทอดกันมา ทั้งไม่มีหัวหน้าเผ่า การเป็นหัวหน้าหมู่บ้านมิได้เป็นโดยลูกบ้านเลือก แต่เป็นโดยตั้งตนเองด้วยบุคลิกลักษณะ โดยเฉพาะถ้ารู้ภาษาจีน ม้งในประเทศเวียดนามทางรัฐบาลยินยอมให้พวกเขามีความรับผิดชอบบางอย่าง ในด้านตำบลและเทศบาล ในกาลครั้งหนึ่งได้มีเขตปกครองตนเอง 2 เขต คือ เขตหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือชื่อ เขตเวียตบัก อีกเขตหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ครั้งแรกชื่อเขตไทย-แม้ว ต่อมาชื่อ ไท-บัก มี 60,000 คน เป็นม้ง แบ่งเป็น 2 อำเภอ มีคณะกรรมการ 5 คน ในปี 1973 ทีเวียงจันทน์ประเทศลาว ม้งมีผู้แทนราษฎร 3 คนต่อจำนวนทั้งหมด 34 คน จำนวนม้งเท่ากับ 10% ของจำนวนพลเมือง นอกจากนี้ม้งยังมีเจ้าเมือง 1 คนต่อจำนวนทั้งหมด 16 คน นายอำเภอ 4 คน กำนัน 24 คน และผู้ใหญ่บ้านอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงขวางมีม้งถึง 50% ของจำนวนพลเมืองทั้งหมด (หน้า 23, 39-40, 48-49)

Belief System

นับถือธรรมชาติ ผีสาง (หน้า 23)

Education and Socialization

ในประเทศเวียดนาม รัฐบาลได้ดำเนินการให้มีการเรียนขั้นต้นในระยะ 4 ปีแรกของกำหนดเวลาทั้งหมด 10 ปีนั้นเรียนได้โดยใช้ภาษาแม่เองและหนังสือที่ใช้ก็แต่งขึ้นในภาษาที่เห็นว่าเหมาะและจำเป็น ได้มีการตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูส่วนกลาง สำหรับอบรมผู้สอนที่เป็นคนพื้นเมืองขึ้นในปี 1953 ในปี 1964 เขตปกครองตนเองทั้งสองแห่งมีโรงเรียน 2,750 โรง แต่ละตำบลมีโรงเรียนชั้นต้น 1 โรง 3 หรือ 4 ตำบลมีโรงเรียนชั้นที่สอง 1 โรง และแต่ละอำเภอมีโรงเรียนชั้นที่สาม 1 โรง นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนอาชีวศึกษาด้านการฝึกฝนอาชีพเกษตรกรรมสำหรับเด็กที่อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป (หน้า 41-42)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

หญิงม้งขาวใส่กางเกงดำกว้าง ๆ ตัดแบบจีน คาดรอบเอวด้วยผ้าสีโดยมากเป็นสีแดง ปล่อยชายเป็นผ้าสีเหลี่ยมยาวลงมาทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง คอปกเสื้อเป็นแบบทหารเรือกว้างและสวยงาม ทั้งยังโพกหัวด้วยผ้าสีครามหรือสีดำ ซึ่งประดับลวดลายแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ผู้ชายม้งขาวสวมกางเกงดำกว้าง ๆ ก้นกางเกงหย่อนลงมาไม่มากนัก หญิงม้งเขียวยังไม่ยอมทิ้งกระโปรง แต่กระโปรงของหญิงม้งพวกนี้เป็นสีฟ้าแก่ ประดับด้วยลายภาพที่วาดอย่างยากลำบาก โดยใช้วิธีสำรอกขี้ผึ้งพร้อมกับมีลวดลายที่ปักอย่างประณีต ในส่วนล่างของกระโปรง ผ้าคาดเอวเป็นสีแดง ผ้าที่ห้อยลงมาเป็นสีดำเหมือนในหมู่พวกม้งขาว แต่ทว่าเสื้อเป็นสีต่าง ๆ คอปกเสื้อเล็กกว่าของม้งขาวสี่นิ้วและขอบเป็นรูปโค้ง นอกจากนี้หญิงม้งเขียวไม่มีผ้าโพกหัว แต่มีผ้าถักบาง ๆ ผืนหนึ่งประดับด้วยแถบผ้าลายดอกไม้สีแดง พันรอบมวยผมขนาดใหญ่ ส่วนพวกผู้ชายม้งเขียวใส่กางเกงสีดำเหมือนม้งขาว แต่ก้นกางหย่อนลงไปจนเกือบถึงดินแบบชาวอาหรับ จนคิดไปว่าเป็นกระโปรงซึ่งรัดอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสองข้าง ชายม้งเขียวมักใส่หมวกไม่มีขอบทำด้วยแพรต่วนและติดดอกไม้พาดสีแดงเหมือนอย่างคนจีน ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ หนุ่มสาวเมี้ยว จะโยนตระกร้อที่หุ้มด้วยผ้าไหมบางเบาให้แก่กันหรือไม่ก็เต้นรำรอบเสาต้นหนึ่ง เรียกว่า "หลักผี" การละเล่นนี้เป็นข้ออ้างที่จะได้พูดเกี้ยวพาราสีกัน (หน้า 4-5,25)

Folklore

นิยายปรัมปราของพวกเมี้ยว คล้ายกับเรื่องเล่าของชาวกรุงบาบีโลนเกี่ยวกับกำเนิดของโลก คือ พูดถึงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น เรื่องการสร้างโลก การสร้างมนุษย์คนแรก พูดถึงมนุษย์คู่แรกของโลกที่ได้กระทำความผิด พูดถึงเรื่องน้ำมหาวินาศที่ท่วมโลก มนุษย์สร้างหอบาเบสขึ้นมาแล้วพูดไม่เข้าใจภาษากัน และยังพูดถึงความหวังว่าจะมีพระผู้ช่วยให้รอดองค์หนึ่งมากอบกู้มนุษย์ (หน้า 11)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

แม้ว่าเมี้ยวจะรวมกันเป็นชนเผ่าหนึ่งต่างหากก็มิได้หมายความว่าชนเผ่านี้รวมกันเป็นเผ่าที่มีส่วนประกอบเป็นลักษณะเดียวกัน และเข้ากันได้อย่างสนิท เขาแยกกันเป็นหลายกลุ่มซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีจำนวนคนมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความเห็นของแต่ละคนซึ่งแตกต่างกันไป ตามความเห็นของโมเรซัง เมี้ยวแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 4 กลุ่ม คือ พวกม้ง (Hmong) พวกมุบ (Hmub) พวกมอง (Mong) และพวกเมา (Hmao) แต่เลอมวนให้ความเห็นโดยอ้างตามแบบอย่างของคนจีนว่าชนเผ่าเมี้ยวมีเพียง 3 กลุ่มใหญ่เท่านั้นคือ พวกม้ง (Hmong) พวกมุบ (Hmub) และพวกโคเชียง (Kho Hsiong) ตามความเห็นของโมเรซัง ม้ง แบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อยอีกชั้นหนึ่ง คือ ม้งขาว ม้งเขียว และม้งดำ แต่เลอมวนมีความคิดขัดแย้งกับความเห็นนี้ เขาอ้างว่าม้งดำนั้นที่แท้เป็นคนมู(Hmou) ปัญหาเรื่องชื่อเผ่าต่าง ๆ นี้ดูเป็นเรื่องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ด้วยเหตุนี้ม้งเขียวในประเทศไทย จึงมีชื่อล้อเลียนอย่างน้อยถึงสามชื่อ ม้งขาวเรียกม้งเขียวเป็นม้งลายเพราะกระโปรงที่หญิงเผ่านี้สวมเป็นทางลาย ๆ แต่คนแถบเชียงใหม่ยังเรียกม้งพวกนี้เป็นม้งน้ำเงินดูเหมือนจะใกล้ความจริงมากที่สุด เปอร์สันกล่าวว่าที่ม้งเขียวได้ชื่อว่าเขียวก็เพราะเขาคิดว่าสีเขียวเป็นสีน้ำเงิน ม้งกล่าวว่าฟ้าเป็นสีเขียว คนไทยยังเรียกม้งเขียวเป็นม้งดำแท้ที่จริงแล้วในประเทศไทยไม่มีม้งดำอาศัยอยู่เลยแต่เราเรียกชื่อตามสีเสื้อผ้าที่ใส่ คนจีนแยกเมี้ยวออกเป็น เมี้ยวเขียวหรือเมี้ยว ดิน กับเมี้ยวสุกแล้วแต่ว่าเขายังคงกระด้างกระเดื่องหรือว่ายอมอยู่ในอำนาจของรัฐบาลแล้ว (หน้า 3-4, 23)

Social Cultural and Identity Change

ในที่บางแห่งหญิงม้งขาวจะสวมกระโปรงผ้าป่านดิบยาวลงมาจนถึงในที่บางแห่งหญิงม้งขาวจะสวมกระโปรงผ้าป่านดิบยาวลงมาจนถึงเข่าเช่นเดียวกัน แต่ทุกวันนี้หญิงม้งขาวเห็นว่า การใส่กระโปรงนั้นรุ่มร่ามทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก ในเมื่อราคาผ้าไม่แพงนักจึงหันมาใส่กางเกงดำกว้าง ๆ ตัดแบบจีน (หน้า 4)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

รูปภาพที่ 1-24 (ส่วนหน้าของหนังสือ)

Text Analyst จารุวรรณ เจนวณิชย์วิบูลย์ Date of Report 02 เม.ย 2548
TAG ม้ง, ประวัติความเป็นมา, จีน, เวียดนาม, ลาว, ไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง