|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลเวือะ,วันเดือนปี,วิถีชีวิต,ประเทศไทย |
Author |
จันทบูรณ์ สุทธิ, สมเกียรติ จำลอง |
Title |
วันเดือนปี ชาวเขา (ลัวะ และวัน เดือน ปี) |
Document Type |
เอกสารวิชาการ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
70 |
Year |
2539 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
ลัวะเป็นกลุ่มชนที่ถือกันว่าเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยมาก่อนที่คนเมืองจะเข้ามามีอิทธิพลเหนือพื้นที่แห่งนั้น ลัวะในปัจจุบันมีการผสมผสานกับคนเผ่าพันธุ์อื่นที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ ทำให้เกิดกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า คนเมือง ในปัจจุบัน แม้ว่าลัวะจะเป็นกลุ่มชนดั้งเดิม แต่ก็ไม่มีการรับเอาอิทธิพลในการลำดับวันเดือนปีมาใช้เหมือนกับกลุ่มชนอื่น ๆ ในปัจจุบันการลำดับวันรอบสัปดาห์หรือรอบ 7 วัน ได้เข้ามามีบทบาทมากในชีวิตประจำวันของลัวะทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ การพัฒนารูปแบบต่าง ๆ ในชุมชนลัวะจึงต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี คติความเชื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่และต้องสอดคล้องกับช่วงเวลาวิกฤตด้านแรงงานของชุมชนจึงจะประสบผลสำเร็จ |
|
Focus |
เป็นการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ วัน เดือน ปี ในชีวิตประจำวันตามคติความเชื่อของลัวะ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนดำเนินงานพัฒนา ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวเขา |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลัวะจัดอยู่ในกลุ่มชนที่พูดภาษาออสโตร - เอเชียติค (AUSTRO - ASIATIC) สาขามอญ - เขมร (MON - KHMER) แต่เนื่องด้วยพวกลัวะสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้หลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจึงมีภาษาพูดที่ต่างกัน ทำให้ลัวะบางแห่งต้องสื่อความหมายโดยใช้ภาษาของกะเหรี่ยงกลุ่มย่อยสะกอเป็นภาษากลาง และบางแห่งที่คุ้นเคยกับคนเมืองก็ใช้ภาษาคนเมืองเป็นภาษากลางในการสื่อความหมาย (หน้า 171, 175) |
|
Study Period (Data Collection) |
กันยายน พ.ศ. 2532 (หน้า 159) |
|
History of the Group and Community |
ลัวะเป็นกลุ่มชนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมีลัวะอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย อุทัยธานี ลำปาง และสุพรรณบุรี สำหรับ ชาวอูด ที่อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำแม่กลองตอนบนของจังหวัดกาญจนบุรี และ ชาวบน ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ก็ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มลัวะด้วยเช่นกัน ลัวะในจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน เรียกตนเองว่า เหล่อเวือะ หรือ เหล่อเวียะ และสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้หลายกลุ่มตามภาษาพูดและประเพณีบางอย่าง สำหรับลัวะ ในจังหวัดเชียงราย ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง เรียกตนเองว่า บีซู คนไทยภาคเหนือเรียก ลัวะ ว่า ลัวะ แต่คนภาคเหนือเฉพาะในจังหวัดน่านเรียก ถิ่น ว่า ลัวะ แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ได้แยกตัวออกจากกันและมีเอกลักษณ์ทางด้านสังคมวัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่เป็นของตนเอง ในปัจจุบันลัวะมีการผสมผสานกับคนเผ่าอื่นอีกหลายเผ่าพันธุ์จนรวมตัวขึ้นมากลายเป็นคนเมืองรุ่นใหม่(หน้า 171-172, 174, 177) |
|
Demography |
ในประเทศไทยมีจำนวนประชากรลัวะซึ่งรวบรวมโดยสถาบันวิจัยชาวเขาเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.2532 ทั้งหมดประมาณ 7,845 คน 41 หมู่บ้าน จำนวนประชากรคิดเป็นร้อยละ 1.42 ของจำนวนประชากรชาวเขาทั้งประเทศ (หน้า 176) |
|
Economy |
การทำกินของลัวะในภาคเหนือเป็นการทำกินแบบยังชีพ (subsistence agriculture) เป็นการผลิตเพื่อการยังชีพของตัวเองในแต่ละปีเท่านั้น ระบบการเกษตรเป็นระบบการเกษตรแบบตัดฟันโค่นเผา ใช้ประโยชน์จากพื้นที่เพาะปลูกเป็นเวลา 1 ปี แล้วจึงกลับมาทำใหม่ซึ่งเรียกว่า ไร่หมุนเวียน โดยทั่วไปแล้วชุมชนลัวะดั้งเดิมที่ตั้งมาเป็นเวลานาน ๆ พื้นที่ทำกินของหมู่บ้านจะถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของชุมชน ชุมชนมีหน้าที่จัดสรรให้แก่สมาชิกผู้อยู่ร่วมชุมชนทำกิน ผู้ถือครองพื้นที่ทำกินจะนำที่ไปซื้อขายโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากชุมชนไม่ได้ สำหรับหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาไม่นาน รูปแบบการถือครองที่ดินไม่สามารถจัดระบบได้อย่างสมบูรณ์ คงจัดให้พื้นที่บางแห่งเท่านั้นที่ถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชน ซึ่งการเข้าทำกินในพื้นที่ต้องมีการตัดสินใจร่วมของชุมชน แต่พื้นที่อื่นๆ ผู้ถือครองสามารถตัดสินใจซื้อขาย จ่ายโอน และจำนองได้เอง หมู่บ้านที่มีอายุการจัดตั้งน้อยจะไม่มีพื้นที่ที่ถือเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชน จะมีแต่พื้นที่ส่วนบุคคล ลักษณะการครองพื้นที่ทั้งสามรูปแบบนี้ ทำให้นักพัฒนามักประสบกับปัญหาการพัฒนาการเกษตรในพื้นที่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของชุมชน นอกจากนี้ลัวะยังมีอาชีพเสริมด้วยการเลี้ยงวัวและควายบนภูเขาในระบบการเลี้ยงแบบแบ่งครึ่งกับคนเมือง โดยคนเมืองและลัวะจะได้รับผลประโยชน์จากลูกสัตว์ที่เกิดมาเท่า ๆ กัน ในอดีตระบบเศรษฐกิจของลัวะเป็นแบบการยังชีพ (subsistence economy) สามารถถลุงเหล็กนำมาใช้เป็นเครื่องมือการเกษตร หาของป่า ทำเกลือสินเธาว์ แต่ในปัจจุบัน รัฐได้ตัดผ่านถนนเข้าถึงชุมชนลัวะ ทำให้ระบบการทำกินและระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปโดยรับจากสังคมภายนอกมากขึ้น เริ่มมีการปลูกกะหล่ำปลีซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ บางครอบครัวได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเต็มตัว (money economy) ด้วยการปลูกกะหล่ำปลีเพียงอย่างเดียว ลัวะในหมู่บ้านอื่น ๆ ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากรูปแบบการพัฒนาต่าง ๆ ที่เข้าสู่ชุมชนลัวะ (หน้า 179-182) |
|
Social Organization |
ลัวะเรียกกลุ่มเครือญาติว่า "เจ่อ" แต่บางแห่งเรียก "เจิง" มีการใช้แซ่เป็นสัญลักษณ์ร่วมของกลุ่มเครือญาติอันเป็นอิทธิพลจากจีน และมีกลุ่มเครือญาติย่อยที่มีคติความเชื่อแตกต่างออกไปแฝงอยู่ในแต่ละแซ่ กลุ่มเครือญาติของลัวะสืบเชื้อสายทางบิดาเมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้น ฝ่ายหญิงต้องไปอยู่ที่บ้านฝ่ายชาย ยกเว้นกรณีที่บิดามารดาฝ่ายหญิงไม่มีผู้สืบสกุลผู้ชายเลย หากเป็นบุตรสาวคนเดียวผู้ชายที่จะเป็นบุตรเขยต้องไปอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง และใช้คติความเชื่อของสายสกุลฝ่ายหญิงแทน กรณีที่มีบุตรสาวหลายคนโดยไม่มีบุตรชายเลย บุตรเขยคนใดคนหนึ่งจะถูกเลือกหรือถูกขอร้องให้อยู่ร่วมกับครอบครัวฝ่ายหญิง กลุ่มเครือญาติของลัวะที่บ้านละอูบ บ้านดง อำเภอแม่ลาน้อย บ้านป่าแป๋ บ้านอมพาย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีกลุ่มเครือญาติอยู่หลายกลุ่ม ซึ่งกลุ่ม สะมัง ถือว่าเป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาจาก คุณ หรือขุนวิลังก๊ะ อดีตผู้นำที่หายสาบสูญไป กลุ่มเครือญาติสะมังยังมีกลุ่มเครือญาติย่อยอันได้แก่ กลุ่มสะมังใหญ่ และกลุ่มสะมังเล็ก กลุ่มเครือญาติของลัวะมักจะใช้คำที่เป็นชื่อของหมู่บ้านมาเป็นชื่อของกลุ่มเครือญาติตนเอง เพื่อรักษาชีวิตในการหลบหนีแบบกลุ่มใครกลุ่มมัน เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ปกติจึงได้มีการอพยพแลกเปลี่ยนระหว่างคนต่างกลุ่มเครือญาติจนกลายเป็นรูปแบบของหมู่บ้านลัวะในปัจจุบัน ที่ประกอบขึ้นด้วยคนหลายกลุ่มเครือญาติ ในแต่ละกลุ่มเครือญาติจะมีข้อห้ามที่แตกต่างกันออกไปคือ ห้ามกินเนื้อสัตว์ได้แก่ แพะ สุนัข แมว งูเหลือม เป็นต้น แต่ไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างคนในกลุ่มเครือญาติต่าง ๆ ( หน้า 182-185) |
|
Belief System |
ประเพณีที่สำคัญของลัวะจะเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อเริ่มปีใหม่คือเดือน 4 หรือ ไค้ยเปาน์ เรื่อยไปจนถึงช่วงที่ถือเป็นการสิ้นสุดปีตามจารีตประเพณี พิธีกรรมที่สำคัญของลัวะในรอบปี ได้แก่ - นกต๊ะงอ หรือ พิธีเลี้ยงผีต๊ะงอ เป็นพิธีแรกสุดจะทำในเดือน 4 ของลัวะ เป็นการขอความคุ้มครองจากผีฟ้า และนิยมทำในวันอังคารข้างขึ้นไม่นิยมทำในวันเสาร์อาทิตย์ ในพิธีนกต๊ะงอจะมีการเลี้ยงผี 4 ประเภทคือ นกต๊ะงอ นกกุม นกตังเกย และนกอัดยา ทุกคนในหมู่บ้านจะต้องเฉลี่ยเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีทุกหลังคาเรือน เพราะถือเป็นพิธีร่วมของหมู่บ้าน และต้องนำไก่มาร่วมในการประกอบอาหารเซ่นผีและเลี้ยงคนทั้งชุมชน นกต๊ะงอจะทำเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวและนำเข้ายุ้งฉางแล้ว แต่หากปีใดเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการเกี่ยวข้าว หมู่บ้านนั้นจะต้องทำพิธีนกตะงอในเดือน บีติง หรือเดือน 3 เพราะเชื่อว่าผีต่าง ๆ ได้เตือนให้มีกรทำบุญ - นกต๊ะตู หรือ พิธีเลี้ยงผีตะดู ซึ่งแปลว่าผีบนสันเขา เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของลัวะทุกคน หากไม่มีพิธีนี้จะไม่สามารถทำไร่ในปีนั้นๆ ได้ การทำพิธีนกต๊ะตูจะทำในเดือน 4 หรือ ไค้ยเปาน์ นิยมทำในวันอังคารข้างขึ้น ไม่นิยมทำในวันเสาร์อาทิตย์ ในพิธีนี้จะมีการนำมันหมูที่ใช้เซ่นผีมาแจกจ่ายให้แก่เด็กวัยรุ่นผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุสมควรที่จะเป็นหนุ่มสาวแล้ว ถือเป็นการยอมรับของชุมชนว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านี้เริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลังจากพิธีเลี้ยงผีต๊ะตูแล้วประมาณ 1 อาทิตย์ กลุ่มเครือญาติที่ทำการเกษตรในบริเวณเดียวกันจะทำพิธีเสี่ยงทาย เรียกว่า ซะโป๊ก ว่าพื้นที่ทำกินแห่งนี้จะมีผลดีผลเสียอย่างไร หากผลเสี่ยงทยไม่ดีก็จะมีการแลกเปลี่ยนที่ทำกินในระหว่างกลุ่มเครือญาติ หากผลเสี่ยงทายดีถือว่าสามารถไปทำที่ไหนก็ได้ - นกไกย์ฮปาย หรือ พิธีเลี้ยงผีไฟ เพื่อช่วยคุ้มครองป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามออกจากพื้นที่ที่เผา ถือเป็นพิธีกรรมร่วมของชุมชน ในวันที่จะทำการเผาไร่ลัวะจะให้เด็กๆ ของทุกหลังคาเรือนในชุมชนปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาพร้อมกับภาชนะบรรจุน้ำ เพื่อเตรียมดับไฟหากเกิดไฟไหม้บ้านเรือน - นกฮละ หรือ พิธีเลี้ยงผีไร่ เป็นการชดใช้แก่ผีไร่ในการมาขอใช้พื้นที่ เป็นพิธีที่ทำภายหลังจากการเผาไร่และก่อนที่จะมีการทำไร่ แต่ละครัวเรือนจะทำพิธีของตนเองในไร่ที่จะใช้เพาะปลูกประจำฤดูกาล การเลี้ยงผีไร่มีอยู่ 2 ชนิดคือ ฮละลา หรือการเลี้ยงผีไร่อย่างใหญ่ เพราะถือว่าพื้นที่แห่งนั้นถือกันว่ามีผีแรง มักจะทำให้ผู้ที่ไปทำไร่มีอันเป็นไปเสมอ ฮละเตี้ยะ หรือการเลี้ยงผีไร่อย่างเล็ก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผีธรรมดาไม่ใช่ที่ผีแรงของเซ่นไหว้จึงมีเพียงหมู 1 ตัว และไก่ 3 ตัว การเลี้ยงผีไร่จะทำในเดือน 6 หรือ 7 แต่ต้องก่อนที่จะมีพิธีสงกรานต์ของคนเมืองอย่างน้อย 1 - 2 อาทิตย์ และไม่นิยมทำในวันเสาร์อาทิตย์ - ดวน เป็นพิธีเลี้ยง ผีละมัง หรือ ผีละมาง ของหมู่บ้าน บางหมู่บ้านเรียก ผีอะมัง อันได้แก่ ผีของบรรพบุรุษ การเลี้ยงผีละมังถือเป็น การบน ต่อผีบรรพบุรุษให้ดูแลรักษาข้าวและพืชผลที่ปลูกร่วมกันในพื้นที่ ซึ่งจะมีการแก้บนอีกครั้งภายหลังที่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว - นกจาวตี หรือ พิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ เป็นพิธีกรรมที่มีการเลี้ยงข้างที่นาและที่ไร่ เป็นพิธีกรรมของแต่ละครัวเรือนเพื่อให้ผีเจ้าที่คุ้มครองการทำนาทำไร่ การทำพิธีสามารถกระทำได้ตั้งแต่ปลูกข้าวเป็นต้นไปจนถึงการเกี่ยวข้าว - นกละมัง หรือ พิธีการเลี้ยงผีละมัง เป็นการบอกกล่าวแก่ ผีละมัง หรือ ผีบรรพบุรุษ ให้ช่วยคุ้มครองในการทำนา ขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งโดยปกติจะทำพิธีในวันเดียวกับ นกฮ๊อกกรง หรือ นกฟาย หรือ พิธีเลี้ยงผีฝาย บริเวณที่ใช้ประกอบพิธีทั้งสองนั้นถ้าเริ่มประกอบพิธี ณ ที่ใด บริเวณนั้นจะถูกใช้ในการประกอบพิธีทุก ๆ ปีห้ามเปลี่ยนสถานที่ เดิมพิธีเลี้ยงนกฝายจะกระทำโดยกลุ่มชาวบ้านที่ใช้ฝายร่วมกัน แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นการทำพิธีของแต่ละครัวเรือนหรือกลุ่มเครือญาติที่ใช้ฝายร่วมกันแทน พิธีนี้จะทำก่อนการตกกล้าประมาณเดือน 9 หรือ ไค้ยซะไตม์ - นกซะอ๊อป หรือ พิธีเลี้ยงผีร้ายผีตายโหง เป็นพิธีเลี้ยงผีต่าง ๆ ที่ลัวะถือว่าเป็นผีไม่ดีผีร้ายตลอดจนผีตายโหง แต่ละครัวเรือนจะทำพิธีนี้ในวันเดียวกับ พิธี นกละมัง ในปีหนึ่งจะมีพิธีนกซะอ๊อปหลายครั้ง เช่น เมื่อมีการเจ็บป่วยและไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อกลับมาแล้วยังไม่หายขาดจะต้องมีการเลี้ยงผีอีกครั้งหนึ่ง หรือมีการเจ็บป่วยเรื้อรังก็จะมีการทำ นกซะอ๊อปหลายครั้ง - นกกายบง หรือ พิธีเลี้ยงผีหัวบันได หรือ พิธีเสาเอกของบ้าน เพื่อให้ผีคุ้มครองเป็นพิธีกรรมรวมของชุมชน นิยมทำพิธีในวันอังคารข้างขึ้นหรือวันข้างขึ้น 3 หรือ 5 ค่ำ ของเดือน 10 หรือ ไค้ยกาว มักจะทำหลังพิธี นกฮ๊อกกรง หรือ พิธีเลี้ยงผีฝายแล้วประมาณ 7 วัน และจะห้ามคนออกจากหมู่บ้านในวันทำพิธี - นกซะมา หรือ พิธีเลี้ยงผีประตู ที่อยู่ตรงข้ามกับบันไดบ้าน เป็นการขอโทษต่อผีประตูที่ได้ล่วงเกินและขอให้ผีคุ้มครอง บางหมู่บ้านเลิกประกอบพิธีนี้แล้ว นิยมทำในเดือน 10 ของลัวะ - นกจู หรือ พิธีเลี้ยงผีหัวเสา ซึ่งจะทำพิธีนี้เมื่อเกิดมีคนในครัวเรือนไม่สบาย และห้ามคนภายนอกเข้าบ้านจนกว่าจะผ่านวันที่มีพิธีกรรมไปแล้ว - นัง (นา - อัง) หรือ พิธีการข่มขวัญผี คำว่า นัง แปลว่า ไม่ได้ให้ผุดให้เกิด พิธีจะทำในเดือน 10 ของลัวะ หรือ ไค้ยกาว วันแรม 15 ค่ำ โดยทุกหลังคาเรือนจะเคาะอะไรก็ได้ให้เกิดเสียงดังที่สุด การกระทำเพื่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องทั้งหมู่บ้านจะกระทำนานประมาณ 1 นาทีแล้วจึงหยุด พิธีจะเริ่มในตอนกลางวันโดยผู้อาวุโส 4 คน นำไก่ไปทำพิธีเลี้ยงผีไร่ในบริเวณที่ปลูกข้าวไร่ของปีนั้น ๆ ในระหว่างทำพิธีจะห้ามพูดกันและห้ามพูดกับบุคคลอื่นด้วยอย่างเด็ดขาด - นกพูกเต่ยเกี้ยก หรือ นกลำบุ้กครัก หรือ พิธีมัดมือควาย แต่ละหลังคาเรือนที่เลี้ยงควายและทำนาจะมีการขอขมาควายพร้อมทั้งทำขวัญควายไปด้วย เป็นพิธีกรรมที่รับมาจากคนเมือง พิธีมัดมือควายจะทำหลังการทำนาปลูกข้าวแล้ว จะทำในวันใดก็ได้ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ ก่อนพิธีมัดมือควายจะมีการดำหัวควายด้วยน้ำส้มป่อย หลังจากนั้นก็จะนำด้ายดิบมัดที่โคนเขาหรือปลายเขา และมีการกล่าวขอขมาลาโทษที่ได้กระทำต่อควายตลอดมา เป็นพิธีที่ต้องกระทำทุกปี - พิธีจ้า (จา + อ้ะ) ซึ่งแปลว่า แก้บน เป็นพิธีเลี้ยงผีบรรพบุรุษของแต่ละกลุ่มเครือญาติ ส่วนใหญ่จะนิยมทำในเดือน 3 ของลัวะ หรือ บีติง ซึ่งเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว เป็นพิธีที่สืบเนื่องมาจากการบนที่ได้ทำไว้ใน พิธีดวน พิธีแก้บนจะต้องกระทำให้แล้วเสร็จก่อนที่หมู่บ้านจะมีการเลี้ยงผีต๊ะงอของหมู่บ้าน ช่วงระยะเวลาตั้งแต่การประกอบพิธีดวนจนกระทั่งถึงเวลาประกอบพิธีจ้า ลัวะเปรียบเทียบว่าเสมือนการเข้าพรรษาของคนไทยชาวพุทธที่ละเว้นกิจกรรมหลายอย่าง ในระหว่างนี้พวกลัวะต้องทำตัวให้ดีเพราะได้ให้คำรับรองไว้กับผีบรรพบุรุษแล้วในพิธีดวน - นกซะไป๊ค์ หรือ การเลี้ยงผีใหญ่ของหมู่บ้าน หรือ ผีเจ้านาย เดิมพิธีนี้จะทำกัน 5 - 10 ปีต่อครั้ง ทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านจะนำไก่มาร่วมพิธีและเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่ง ปู่แก่ จะเป็นผู้ที่จ่ายมากกว่าคนอื่น เครื่องประกอบไนพิธีนี้ได้แก่ เสาสะกัง เป็นเสาไม้แกะสลักฝังอยู่ที่หน้าศาลาประกอบพิธีของหมู่บ้าน พิธีนกซะไป๊ค์จะทำในฤดูแล้ง แต่ในปัจจุบันนิยมทำในวันพระ และไม่นิยมทำในวันเสาร์อาทิตย์ พิธีกรรมจะใช้เวลา 3 วัน - นกเหยอะเนอโม หรือ นกเหยอะกุมโม เป็นการเลี้ยงผีดอย ผีป่าที่สถิตย์อยู่บนดอยใหญ่ที่สูงที่สุดใกล้ๆ กับหมู่บ้าน เป็นการขออนุญาตใช้พื้นที่และขอความคุ้มครอง พิธีเลี้ยงผีดอยจะทำตอนไหนก็ได้แต่ต้องอยู่ภายในการลำดับเดือนในรอบปีของลัวะ ในการประกอบพิธีจะห้ามผู้หญิงและผู้ชายที่มีภรรยากำลังตั้งครรภ์เข้าร่วมพิธีโดยเด็ดขาด - นกตาวเคาะ หรือ พิธีส่งเคราะห์ พิธีนี้จะทำก็ต่อเมื่อหมู่บ้านเกิดโรคระบาดในคนและสัตว์ หรือบุคคลในหมู่บ้านเจ็บป่วยมาก ๆ เป็นพิธีที่ได้รับอิทธิพลจากคนเมือง วันทำพิธีโดยมากจะกำหนดวันแรม 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ บริเวณที่ใช้ประกอบพิธีจะอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านซึ่งถือเป็นเคล็ดว่าเคราะห์กรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะได้หายไปเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ตกดิน - นกลำบุ้ก หรือ พิธีสู่ขวัญสำหรับผู้อาวุโส ซึ่งจะทำให้กับชายและหญิงของหมู่บ้านที่มีอายุเลยวัย 60 ปีแล้ว นิยมทำในวันอังคารข้างขึ้น เดือน 4 หรือ ไค้ยเปาน์ ในพิธีจะมีการสู่ขวัญผู้อาวุโสด้วยพิธีมัดข้อมือ หลังจากนั้น ก็จะมีการกล่าวอวยพรให้ผู้มาทำพิธีอยู่เย็นเป็นสุข - นกอลาจุ้ก เป็นพิธีกรรมที่ทำเฉพาะในครัวเรือน และจะอยู่กรรมเฉพาะตอนกระทำพิธีเท่านั้น นกอลาจุ้กเป็นพิธีกรรมเพื่อลี้ยงผีเรือน ในกรณีที่มีการนอนหลับฝันไม่ดี ขอให้ผีเรือนช่วยดูแลให้บุคคลในบ้านอยุ่ดีมีสุข นิยมทำในวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ - นกลำบุ้กกูลุ้ย หรือพิธีเลี้ยงผีที่มารบกวนเด็กในขณะที่เด็กคลอดออกมาและมีอายุไม่กิน 2 ปี ซึ่งจะทำเฉพาะในครัวเรือน เป็นการทำพิธีเลี้ยงผีหัวเสาเรือนที่อยู่ในห้องลูกชายและลูกสะใภ้ ในวันประกอบพิธีบุคคลภายนอกห้ามเข้าบ้านโดยเด็ดขาด สำหรับครอบครัวที่แต่งงานใหม่ผ่านพ้นไป 1 ปีแล้วยังไม่มีบุตร ฝ่ายหญิงจะต้องทำพิธีบนผีหัวเสาในห้องของคู่แต่งงานเพื่อขอลูก และญาติฝ่ายหญิงก็จะต้องมาเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการทำพิธีด้วย (หน้า 193 - 206) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ตำนานสิงหนวัติ ได้กล่าวถึง มิลักขุชน (ลัวะ) ที่อาศัยอยู่ในบริเวณ ดอยสามเส้า (ดอยทา ดอยญ่าเถ้า และดอยปู่เจ้า ซึ่งเป็นบริเวณตั้งแต่ดอยตุงในปัจจุบันนี้ขึ้นไปทางเหนือในบริเวณรัฐฉานของสหภาพพม่า) ที่มีผู้นำชื่อ ลาวจก มีการค้าขายกับ ขอมชาวเมือง ที่ตีนดอยทา และได้กล่าวถึง สิงหนวัติกุมาร มีบริวารเป็น ขุนมิลักขุ ทั้งหลาย และได้ยกกองทัพไปปราบ ขอมดำ ตามตำบลต่าง ๆ ทั่วทั้งล้านนาไทย ภายหลังต่อมาในปี พ.ศ. 900 ขอมกลับยึดนครโยนกนาคบุรี และครอบครองอยู่นานถึง 19 ปี จึงถูกพรหมกุมารตีเมืองคืน และรุกไล่ขอมไปถึงกำแพงเพชรและได้สร้างเมืองชัยปราการ (ฝาง) ไว้เป็นด่านหน้า ป้องกันขอมเข้ามาโจมตี (หน้า 159) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เมื่อถึงวันประกอบพิธีกรรมที่สำคัญในรอบปี ลัวะทุกคนในหมู่บ้านจะเข้าร่วมพิธีและช่วยกันออกค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม นอกจากนี้ระบบการแลกเปลี่ยนแรงงานในชุมชนลัวะในกิจกรรมการเกษตรซึ่งเป็นจารีตโดยทั่วไปของชุมชนยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ภายในชุมชนอีกด้วย |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากการที่ภาครัฐได้นำเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานอันได้แก่ การตัดถนนเข้าถึงชุมชนลัวะ จึงมีผลทำให้ลัวะเปลี่ยนแปลงระบบการดำรงชีวิต การทำกิน และระบบเศรษฐกิจของตนเองตามอิทธิพลที่ได้รับจากสังคมภายนอก จากเดิมที่เป็นระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเต็มตัว บางหมู่บ้านที่อยู่ติดกับทางหลวงมีรูปแบบการดำรงชีวิตแบบคนเมืองเกือบทั้งมด นอกจากนี้ผลจากการศึกษาของลัวะรุ่นใหม่ได้รับเอาอิทธิพลจากคนไทยเกี่ยวกับการลำดับวันเดือนปีไปใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น (หน้า 181, 186, 188, 191) |
|
Other Issues |
การลำดับวัน เดือน ปีของลัวะ พบว่าไม่มีการรับเอาอิทธิพลจากจีนหรือมอญโดยตรงเหมือนกับกลุ่มชนอื่น ลัวะมีการลำดับวันตามแบบจันทรคติ และรับอิทธิพลระบบการนับแบบสัปดาห์ที่มี 7 วัน จากคนไทยภาคเหนือรุ่นใหม่เข้าไปใช้ ลัวะเรียกวันว่า ซาเงะ หรือ ซางิ ซึ่งแปลว่า พระอาทิตย์ แต่เดิมลัวะมีการลำดับวันเป็นตัวเลขตามมาตราหน่วยนับของลัวะ แต่ต่อมาได้ใช้ระบบการลำดับวันที่เลียนแบบจากคนเมืองรุ่นใหม่ เพียงแต่อ่านออกเสียงเป็นสำเนียงลัวะ การลำดับวันตามแบบคนเมืองได้เข้าไปมีบทบาทอย่างมากในเรื่องการทำพิธี เช่น ในวันเสาร์ วันอาทิตย์ จะไม่นิยมทำพิธีกรรมหลาย ๆ อย่าง แต่ยังคงให้ความสำคัญเรื่องดวงจันทร์ซึ่งสังเกตได้จากบางพิธีกรรมจะต้องกระทำในวันข้างขึ้น และบางพิธีกรรมจะต้องทำเฉพาะวันข้างแรมเท่านั้น ลัวะเรียกเดือนว่า ไค้ย หรือ เค้ย หรือ เค้ะ แปลว่า พระจันทร์ หรือ เดือน เดิมลัวะอาจเคยมีการลำดับเดือนเป็นของตนเอง และกำหนดการลำดับเดือนที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากินและสภาพความเป็นอยู่ และในปัจจุบันเดือนยังคงมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการกำหนดเวลาในการประกอบพิธีกรรมบางพิธีด้วย จากการลำดับเดือนตามอิทธิพลคนเมืองทำให้ลัวะรุ่นใหม่เกิดความสับสนในเดือนที่ 1 ถึง เดือนที่ 3 ซึ่งไม่มีตัวเลขกำกับการลำดับเดือน ในบางปีลัวะจะมีเดือนทั้งหมด 13 เดือน เดือนลำดับที่ 13 เรียกว่า เชงกง๊อ ซึ่งลัวะกล่าวว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่หายไปของลำดับการนับเดือนในรอบปีของลัวะ ลัวะเรียกปีว่า เนิม เป็นอิทธิพลอย่างหนึ่งของคนไทยภาคเหนือที่มีต่อลัว ซึ่งลัวะเพียงแต่รับเอาคำว่า ปี ไปอย่างเดียวเท่านั้นแต่ไม่ได้นำเอาชื่อและสัญลักษณ์ประจำปีไปด้วย การลำดับปีของลัวะจะเป็นการลำดับปีของพื้นที่ทำกิน มีการจดจำเหตุการณ์สำคัญ ๆ ในชีวิตแต่ละคนแต่ละครัวเรือน และของชุมชน ซึ่งมักจะต้องมีการนำเอาชื่อพื้นที่ทำไร่ในแต่ละครั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการจดจำด้วย เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนจะถูกต้องแม่นยำเป็นกรณีพิเศษเพราะทุกคนในชุมชนจะจดจำร่วมกัน ทั้งนี้ก็ต้องนำเอาพื้นที่ไร่เข้ามาร่วมในการจดจำด้วย ในปัจจุบัน คนลัวะรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาได้รับเอาอิทธิพลจากคนไทยเกี่ยวกับการลำดับวันเดือนปีไปใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้การลำดับปีแบบเดิมลดความสำคัญลงไป (หน้า 185 - 191) สำหรับวันหยุดตามจารีตประเพณีของลัวะ เป็นการรับเอาอิทธิพลจากคนไทยภาคเหนือหรือคนเมืองคือ จะหยุดอยู่กรรมในวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 14 หรือ 15 ค่ำ ลัวะบางหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับคนเมืองก็จะถือเอาวันขึ้น 8 ค่ำ และแรม 8 ค่ำ เป็นวันกรรมของชุมชนด้วย ในวันประกอบพิธีกรรมของครัวเรือนก็ถือเป็นวันหยุดงานหรือวันกรรมด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ลัวะยังมี วันหยุดจร ซึ่งเป็นวันหยุดที่ไม่ได้กำหนดขึ้นในชุมชน ได้แก่ การมีบุคคลในหมู่บ้านเสียชีวิต ทุกหลังคาเรือนจะต้องไปช่วยกันทำพิธีศพถือเป็นการอยู่กรรมอย่างหนึ่ง สำหรับวันหยุดจรของครัวเรือน ได้แก่ การประกอบพิธีแต่งงาน ซึ่งจะเป็นวันหยุดของกลุ่มเครือญาติของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และวันหยุดจรที่เป็นของกลุ่มเครือญาติหรือทั้งชุมชนได้แก่ วันขึ้นบ้านใหม่ (หน้า 206, 207, 208) ลัวะได้รับอิทธิพลการลำดับวันรอบ 7 วัน จากคนไทยภาคเหนือจึงมีการกำหนดวันดีและวันไม่ดีในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ในรอบ 7 วัน ได้แก่ วันดีและวันไม่ดีในการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับวันเสาร์อาทิตย์ ส่วนการแต่งงานจะห้ามกระทำพิธีในวันเสาร์ และห้ามแต่งในเดือน 3 สำหรับเดือน 6 และ เดือน 7 ถือเป็นเดือนที่ไม่นิยมแต่งงาน เดือนที่นิยมแต่งงานกันมาก ได้แก่ เดือนที่ 4 หรือ ไค้ยเปาน์ การขึ้นบ้านใหม่จะถือว่าวันพฤหัสของเดือนที่ 4 หรือ เดือนที่ 5 ของลัวะเป็นวันดี นอกจากนี้จะไม่มีการฝังศพของผู้เสียชีวิตในวันเสาร์ เช่นเดียวกับลัวะที่นับถือศาสนาคริสต์ ก็จะไม่มีการฝังศพในวันเสาร์เช่นเดียวกัน ในการประกอบพิธีกรรมหลายพิธีกรรมของลัวะจะไม่นิยมทำในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ด้วยเช่นกัน (หน้า 209-211) ลัวะเป็นกลุ่มชนที่ประกอบการเกษตรเพื่อการยังชีพ ในแต่ละรอบปีจึงมีช่วงเวลาของการแลกเปลี่ยนแรงงาน ซึ่งจะมี 5 ช่วงเวลาด้วยกัน โดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวลัวะที่อยู่ในวัยแรงงานทุกคนจะต้องเข้าร่วมในการแลกเปลี่ยนแรงงานเป็นประจำทุก ๆ วันที่มิใช่วันกรรมตามปกติ และวันที่มีพิธีกรรมของชุมชนหรือของครัวเรือนและกลุ่มญาติ (หน้า 211-213) |
|
Map/Illustration |
การลำดับวัน (หน้า 186) การลำดับเดือน (หน้า 188) |
|
|