ภาษาลาวโซ่ง
อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลไทย (Tai Family ) สาขาตะวันตกเฉียงใต้ (Southwestern Branch) ซึ่งในการศึกษาผู้เขียนได้ใช้ สัญลักษณ์ทางเสียงตามแบบของกาญจนา พันธุ์ค้า ที่ได้วิจัยเรื่องเสียงภาษาของลาวโซ่งไว้ก่อนแล้วซึ่งระบุว่า (หน้า 33)
เสียงพยัญชนะ มี 19 หน่วยเสียงได้แก่ p , ph , b , t, th, k, kh, ?, c, f, s, h,m,n, N, J, l, w , j (หน้า 34)
เสียงสระ แบ่งออกเป็นสระเดี่ยว มี 18 เสียง คือสระเสียงยาว 9 เสียง สระเสียงสั้น 9 เสียง (ไม่อาจแสดงได้ด้วยตัวพิมพ์ธรรมดา) สระประสมแบ่งออกเป็น 1 ) สระประสมสองเสียงมี 15 เสียง เช่น ia iu eu wa ui ua oi ai a:I au a:u เป็นต้น (ตัวอักษรที่เหลือใช้ตัวเขียนที่ไม่สามารถพิมพ์ให้เห็นด้วยตัวอักษรทางคอมพิวเตอร์) 2 ) สระประสมสามเสียงมี 3 เสียงเช่น iau uai เป็นต้น (หน้า 35)
เสียงวรรณยุกต์ แบ่งเป็น 6 หน่วยเสียงได้แก่
1) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 1 คือเสียงต่ำ – ขึ้น เสียงเริ่มจากระดับต่ำ จากนั้นก็เลื่อนขึ้นสูงถึงระดับเสียงสูง เสียงจะใช้หมายเลข 1 เป็นสัญลักษณ์ ตัวอย่างเช่น kha: 1(หน้า 36)
2) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 2 คือเสียงวรรณยุกต์กลาง ขึ้น – ตก เสียงเริ่มจากระดับกลาง ขึ้นสูงแล้วตก จากนั้นก็เลื่อนขึ้นสูงถึงระดับเสียงสูง เสียงจะใช้หมายเลข 2 เป็นสัญลักษณ์ เช่น pha:n 2 พาน
3) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 3 คือ กลาง - ขึ้น เสียงเริ่มจากระดับกลาง ขึ้นสูง ใช้หมายเลข 3 เป็นสัญลักษณ์ ตัวอย่างเช่น kha: 3(หน้า 36)
4) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 4 คือ เสียงเริ่มจากระดับเสียงที่จุดเริ่มต้น ถึงเสียงสูง เป็นเสียงที่เกิดในพยางค์เป็นมีรูปวรรณยุกต์เอกกำกับ กับพยางค์ตายเสียงยาวกับพยางค์ตายเสียงสั้น โดยมีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ ใช้หมายเลข 4 เป็นสัญลักษณ์ ได้แก่ ka: 4ค่า
5) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 5 คือ เสียงที่อยู่ระดับกลางตลอด คำพยางค์กำกับด้วยรูปวรรณยุกต์โท มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรสูงและอักษรต่ำที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษรต่ำ แทนเสียงด้วยเลข 5 เช่น khau5 ข้าว (หน้า 36)
6) หน่วยเสียงวรรณยุกต์ที่ 6 คือ เสียงสูง-เลื่อนลง เสียงเริ่มในระดับเสียงสูงแล้วจบลงด้วยระดับเสียงต่ำกว่า แทนเสียงด้วยเลข 6 เช่น kam 6 ค้ำ (หน้า 37)
ลักษณะคำภาษาลาวโซ่ง แบ่งออกเป็น 2 อย่าง ได้แก่
คำพยางเดียว เช่น คำเรียกเครือญาติ อวัยวะ คำเรียกชื่อตามธรรมชาติ สภาพภูมิศาสตร์ คำเรียกสิ่งของ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
?a:I 5 พ่อ ?em 1 แม่
pa: 5 ป้า pi: 4 พี่
na: 6 น้า lu? 4 ลูก
pum 1 ท้อง po:m 1 ผม
ta:1 ตา kiu6 คิ้ว
pa: 3 ป่า lep 4 เล็บ (ดูตัวอย่าง หน้า 38)
คำสองพยางค์แบ่งเป็น คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (หน้า 43)
คำประสม แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ (หน้า 44)
คำนาม
คำนามประสมกับคำนาม เช่น
pe:5 kalep 3 กระเป๋า ตะกร้า ย่ามสะพายหลังเป็นเครื่องจักสานเอาไว้ใส่สิ่งของ (หน้า 44)
pha: 5 piau 1 ผ้าแถบ ผ้าคาดอก
pha: 5 ha:I 6 ผ้าขี้ริ้ว
khan 1 ma? 3 ขันหมาก (ดูตัวอย่าง หน้า 45)
lu? 4 la: 5 ลูกคนเล็ก, ลูกคนสุดท้อง
jim 2 ta: 1 ขอบตา (หน้า 46)
คำนามประสมกับคำกริยา เช่น
pha: 5 hom 3 ผ้าห่ม
khau 5 suk 3 ข้าวสุก (ดูตัวอย่างทั้งหมด หน้า 46)
mu: 1 cup 3 หมูจุ๊บ หรือหมูยำที่ใช้ในพิธีเสนเรือน (หน้า 47)
คำกริยาประสมกับคำนาม เช่น
khut 3 lin 1 ขุดดิน
?et 4 wia 4 ทำงาน
ca:u 3 khau 5 หุงข้าว (หน้า 47)
lap 4 pa 6 ลับมีด
lui 2 na:m 6 ลุยน้ำ (ดูตัวอย่าง หน้า 48)
คำนามประสมกับคำกริยาและคำนาม เช่น
ka:n 2 ha:p 3 kasa? 3 ไม้คานหาบสาแหรก
khu? 4 tak 3 na: m 6 กระป๋องตักน้ำ
sa ? 3 tam 1 khau 5 สากตำข้าว (ตัวอย่างหน้า 48)
คำกริยา
คำกริยาประสมกับคำนาม เช่น
tam 1 som 5 ตำส้มตำ (หน้า 48)
cep 3 kham 2 pum 1 ปวดตามหน้าท้อง
com 1 na:m 6 จมน้ำ
kham 3 kiau 2 ถือเคียวเกี่ยวข้าว (ดูที่หน้า 49)
คำกริยาประสมกับคำกริยา คือการที่เอาคำกริยามาประสมกับคำกริยา เป็น กริยาอกรรม (ดูตัวอย่างภาษาลาวโซ่งที่หน้า 49)
คำนามประสมกับคำกริยา คือคำนามเป็นคำตั้ง คำกริยาเป็นคำขยาย เช่น
nam: 6 khun 3 น้ำขุ่น (ตัวอย่างหน้า 49)
คำซ้ำ คือ การนำคำเดียวกันหรือมีความหมายเหมือนกันโดยนำมาเขียนติดกัน โดยแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ คำซ้ำที่ใช้ไม้ยมก เช่น ดำๆ แดงๆ กับคำซ้ำที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน เช่น จิตใจ บ้านเรือน ทรัพย์สิน เป็นต้น (หน้า 51) ตัวอย่างคำซ้ำมีดังนี้ (หน้า 52)
คำซ้ำที่สื่อความหมายพหูพจน์ เช่น
pi: 4 pi: 4 พี่ๆ
lek 3 lek 3 เด็กๆ
ba:u 3 ba:u 3 หนุ่มๆ
sa:u 1 sa:u 1 สาวๆ (ดูตัวอย่างทั้งหมดที่หน้า 52)
คำซ้ำที่แสดงความไม่แน่ใจในความรู้สึก เช่น
pi: 2 pi: 2 อ้วนๆ
phet 3 phet 3 เผ็ดๆ
khom 1 khom 1 ขมๆ
som 5 som 5 เปรี้ยวๆ (ตัวอย่างหน้า 53)
คำซ้ำที่เน้นความหมาย โดยจะเน้นคำในบางส่วน ซ้ำเสียงพยัญชนะหรือเสียง
สระ ส่วนเสียงวรรณยุกต์นั้นมีความแตกต่างกัน วรรณยุกต์คำหน้าจะสูงกว่าเสียงวรรณยุกต์คำหลัง เช่น
Lam 5 Lam 1 ดำมาก
Kem 6 Kem 2 เค็มมาก
Can 5 Can 1 สวยมาก
Wa:n 5 Wa:n 1 หวานมาก (หน้า 54)
คำซ้อน คือ การเอาคำเดี่ยว 2 คำ ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกันมาซ้อนกันเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ซึ่งในบางครั้งความหมายอาจไม่ต่างจากเดิม คำซ้อนในภาษาลาวโซ่งมี 2 อย่างคือ (หน้า 55)
คำซ้อนที่มี 2 คำ
ta:p 3 ti: 1 ทุบตี
?a:I 5 ?em1 พ่อแม่
ta:1 na:I 2 ตายาย
ju: 3 kin 1 อยู่กิน (หน้า 56)
cep 3 sai 5 เจ็บไข้
lu?4 la:n1 ลูกหลาน (หน้า 57)
คำซ้อนที่มี 4 คำ
คำซ้อนประเภทคำที่หนึ่งซ้ำกับคำที่สาม เช่น
phit 3 hu: 1 phit 3 ta: 1 ผิดหูผิดตา (หน้า 57)
kin 1 ?e:1 kin1 la:I 1 กินมาก หรือกินฟุ่มเฟือย (หน้า 58)
คำซ้อนประเภทคำที่สองสัมผัสกับคำที่สาม เช่น
cep 3 sai 5 lai 5 puai3 เจ็บไข้ได้ป่วย (ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 59)
คำสรรพนาม แบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ ดังนี้
คำสรรพนามบุรุษที่ 1 ตัวอย่างเช่น
ku:1 เป็นคำแทนตัวผู้พูดแสดงถึงความเป็นกันเองไม่ได้หมายถึงความไม่สุภาพอ่อนโยน คนที่สูงวัยเช่น พ่อ แม่อาจใช้เป็นสรรพนามแทนตนเองหากพูกกับลูกๆ ส่วนลูกหลานก็ใช้คำนี้พูดกับคนในวัยเดียวกันหรืออายุน้อยกว่า (หน้า 60)
hau2 เป็นคำที่แสดงความสนิทชิดใกล้ แต่น้อยกว่า ku:1 ส่วนใหญ่คนที่พูดจะเป็นวัยเดียวกันหรืออายุน้อยกว่า บางครั้งอาจใช้เป็นคำสรรพนามบุรุษที่ 1 พหูพจน์ เหมือนกับคำว่า “เรา”ที่หมายถึงคนกลุ่มใหญ่ในภาษาไทย (หน้า 62) เช่น เราอยู่ใกล้วัด, เราไปช่วยงานเสนเรือนพรุ่งนี้ เป็นต้น (หน้า 63)
คำสรรพนามบุรุษที่ 2 คือคำที่ใช้แทนผู้ฟังหรือผู้พูดด้วยเช่น มึง,สู su: 1, เจ้า cau5 ,ท่าน ta:n 4 (หน้า 63) ตัวอย่างเช่น
su : 1 pen 1 ku:2 le 4 เธอเป็นครูหรือ (หน้า 64)
คำสรรพนามบุรุษที่ 3 เป็นคำสรรพนามแทนตัวผู้ที่ถูกกล่าวถึงได้แก่ มัน man 2, เขา sau 1 ตัวอย่างเช่น
man 2 kin1 khau 5 ju:3 มันกำลังกินข้าวอยู่ (ดูที่หน้า 66) |