|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์มุสลิม,ชาวจีน,ปรัมปรานิยาย,พิธีกรรม,กรือเซะ,ปัตตานี |
Author |
ชุตินธรา วัฒนกุล |
Title |
กรือเซะ : ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ ปรัมปรานิยายและพิธีกรรม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
153 |
Year |
2537 |
Source |
หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ปรัมปรานิยายเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างความผูกพันกับท้องถิ่น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ดินแดนปัตตานี มาเลย์มุสลิมที่สิทธิเหนือกว่าในฐานะผู้ค้นพบปัตตานี ในขณะที่จีนและไทยต่างพยายามนำปรัมปรานิยายของตนมากล่าวอ้างสิทธิประโยชน์ทางสังคมเช่นเดียวกัน จึงเป็นเสมือนการถ่วงดุลย์อำนาจซึ่งกันและกัน อันนำไปสู่ดุลยภาพและสามารถรักษากฏระเบียบในสังคมไว้ได้ แต่ในกรณีไทยไม่ได้นำปรัมปรานิยายเข้ามาเรียกร้องสิทธิเพียงอย่างเดียว ยังมีการใช้กำลังทางทหารเข้าครอบครองปัตตานี อำนาจการปกครองของไทยมีส่วนช่วยให้ปรัมปรานิยายและการประกอบพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จีนให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แตกต่างไปจากเดิมที่เรื่องราวความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่มีอยู่เฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น ส่งผลให้โครงสร้างปรัมปรานิยายต้องแปรเปลี่ยนไป คือ เข้าไปทำลายพลังทางประวัติศาสตร์ของมาเลย์มุสลิมให้ถดถอย ด้วยการจัดการปกครองขึ้นใหม่ พยายามใช้วัฒนธรรมไทยเข้าครอบงำ ส่งเสริมประวัติศาสตร์จีนด้วยการท่องเที่ยวโดยหยิบยกเรื่องราวของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ทำให้พลังอำนาจของมาเลย์มุสลิมที่หลงเหลืออยู่คือ การต่อต้าน ยับยั้งอำนาจรัฐ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ในกลุ่มของตน อันจะทำให้เกิดดุลยภาพในสังคมคืนสู่ดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง (หน้า 146) |
|
Focus |
ศึกษาบทบาทและหน้าที่ของปรัมปรานิยายเมืองปัตตานีและเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งเกี่ยวข้องกับมัสยิดกรือเซะ ที่มีต่อการธำรงเอกลักษณ์ในกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์มุสลิมและจีน และพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขสำคัญของการอ้างความเหนือกว่าทางประวัติศาสตร์ (บทคัดย่อ,หน้า 6) |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาใช้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปรัมปรานิยาย ของ Malinowski ที่มีต่อพฤติกรรมการรวมกลุ่ม ปรัมปรานิยายไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่ถูกสร้างขึ้นตอบสนองความจำเป็นหรือความต้องการบางอย่าง เช่น การแสดงความยิ่งใหญ่ของกลุ่ม หรือให้ความชอบธรรมแก่สิ่งผิดปกติ (anomalous) ถึงแม้ว่าปรัมปรานิยายจะไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เราอาจสร้างภาพประวัติศาสตร์ได้จากปรัมปรานิยาย โดยอาศัยเนื้อเรื่องและข้อเท็จจริงทางสังคมประกอบ Malinowski ได้วิเคราะห์ในเชิงการหน้าที่ต่อการดำรงอยู่ของสังคม นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในเชิงโครงสร้างนิยม (Structuralism) ของ Claude Levi-Strauss ซึ่งได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีภาษาศาสตร์ โครงสร้างที่ศึกษาภาษาในฐานะที่เป็นระบบสัญลักษณ์ ที่ผู้ศึกษาได้นำแนวคิดมาวิเคราะห์ปรัมปรานิยายในแง่สัญลักษณ์ ค้นหาความหมาย และกฏเกณฑ์ที่แอบแฝงอยู่ รวมทั้งค้นหาหลักความสัมพันธ์ของหน่วยต่างๆ และคู่ของสิ่งตรงกันข้าม (หน้า 8-10) ผู้ศึกษาเลือกใช้แนวคิดการหน้าที่นิยมเป็นหลัก และเสริมบางส่วนด้วยแนวคิดโครงสร้างนิยม และนำการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ที่เน้นการแสดงออกของกลุ่มคนในท้องถิ่น ในรูปของเทพนิยาย ปรัมปรานิยาย นิทานพื้นบ้าน ฯลฯ เข้ามาเชื่อมโยงด้วยในระดับหนึ่ง ใช้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นกลุ่มที่แตกต่างกันแต่มีการกระทำระหว่างกัน มีทั้งการธำรงเอกลักษณ์และการผสมผสานกลมกลืนทางวัฒนธรรม ผู้ศึกษายังได้ใช้แนวคิดของ G.W. Skinner ที่ศึกษาชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย ผู้ศึกษายังได้นำเสนอคำจำกัดความของ "ชาติพันธุ์" โดยนักมานุษยวิทยาหลายท่าน เช่น Frederic Barth, Abner Cohen, Charles F. Keyes เป็นต้น และใช้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม โดยใช้แนวทางการศึกษาของ Emile Durkheim ที่ให้ค้นหารูปแบบความสัมพันธ์และหน้าที่ทางสังคม แนวคิดของ A.R Radcliffe-Brown ซึ่งศึกษาพิธีกรรมว่าเป็นการกระทำทางศาสนา แนวคิดของ Clifford Geertz กล่าวถึงศาสนาและพิธีกรรมในฐานะที่เป็นระบบสัญลักษณ์ซึ่งมีความหมาย จากแนวคิดที่กล่าวมาผู้ศึกษาเห็นว่ามัสยิดกรือเซะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอิสลามมีความเป็นมาที่แสดงให้เห็นได้ในรูปของประวัติศาสตร์ ปรัมปรานิยาย พิธีกรรมและเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับมัสยิดแห่งนี้ (หน้า 7-19) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชุมชนจีนในเขตอำเภอเมือง บริเวณศาลเจ้าเล่งจูเกียง ถนนอาเนาะรู และชุมชนมาเลย์มุสลิม ซึ่งมีมุสลิมเชื้อสายจีนอาศัยรวมอยู่ด้วย บริเวณบ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลุโละ ทั้งสองชุมชนนอกจากเป็นที่อาศัยแล้วยังเป็นสถานที่ตั้งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อจากปรัมปรานิยายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและเมืองปัตตานี (หน้า 25-26) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
มาเลย์มุสลิมในจังหวัดปัตตานีส่วนใหญ่ใช้ภาษามาเลย์ในชีวิตประจำวัน ไม่นิยมพูดภาษาไทย มีภาษาเขียนเป็นตัวอักษรยาวีหรือตัวอาหรับแปลง รัฐบาลพยายามส่งเสริมภาษาไทย พวกเขาจึงต้องเรียนภาษาไทย และภาษามาเลย์พื้นถิ่น รวมทั้งภาษาอาหรับ เพราะเป็นภาษาสำหรับอ่านคัมภีร์อัล-กุรอาน (หน้า 55) |
|
Study Period (Data Collection) |
10 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤศจิกายน พ.ศ.2536 (หน้า 28) |
|
History of the Group and Community |
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และเอกสารบันทึกเรื่องราวของประเทศจีน อินเดียและอาหรับ สันนิษฐานว่า มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณปัตตานีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12-13 (คริสตศตวรรษที่ 7-8) เรียกอาณาจักรแห่งนี้ว่า "ลังกาสุกะ" จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 9-10 อาณาจักรลังกาสุกะได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย แล้วเรื่องราวของลังกาสุกะก็ขาดหายไป รัฐปัตตานีน่าจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างกลางพุทธศตวรรษที่ 19 ถึงกลางพุทธศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นเวลาที่รัฐไทยกำลังแผ่ขยายอาณาจักรมาทางใต้ รัฐปัตตานีเคยมีกษัตริย์ปกครอง จนปี พ.ศ.2231 สิ้นสุดยุคการปกครองของราชวงศ์ปัตตานี จากนั้นราชวงศ์กลันตันได้เข้ามาปกครอง หลังจากนั้นไม่ปรากฏกษัตริย์ปกครอง และในที่สุดก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของประเทศไทยอย่างแท้จริงในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี (หน้า 30-37) เมืองปัตตานีเคยเป็นรัฐอิสระประกอบด้วย ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีฐานะเป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นถิ่นอาศัยของมุสลิม ภายหลังรัฐปัตตานีถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไทย รัฐปัตตานีจึงได้แยกออกเป็น 3 จังหวัด มาเลย์มุสลิมเป็นชนส่วนใหญ่ของจังหวัดปัตตานี นอกนั้นเป็นคนไทยพุทธและคนจีน คนจีนได้อพยพเข้าสู่จังหวัดปัตตานีเมื่อประมาณคริสตศตวรรษที่ 16 และพบเรื่องของคนจีนในปรัมปรานิยายที่กล่าวถึงการเข้ามาของลิ้มเต้าเคี่ยน ลิ้มกอเหนี่ยว สองพี่น้องซึ่งเป็นบรรพบุรุษของคนจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในที่แห่งนี้ และการอพยพครั้งใหญ่ในครั้งหลังนั้นเข้ามาสมัยรัชกาลที่ 3 ปัจจุบัน ลูกหลานของลิ้มเต้าเคี่ยน และลิ้มกอเหนี่ยว อาศัยอยู่บริเวณชุมชนหมู่บ้านกรือเซะ นับถือศาสนาอิสลาม มีวิถีชีวิตเช่นมาเลย์มุสลิมเกือบทุกด้าน (หน้า 3-4) ชุมชนหมู่บ้านกรือเซะและบริเวณใกล้เคียงเป็นชุมชนเก่าแก่ ตั้งถิ่นฐานอยู่มาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ เล่าถึงดินแดนแห่งนี้ว่า เคยมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีผู้คนตั้งบ้านเรือนอาศัยอย่างหนาแน่น หมู่บ้านกรือเซะยังเคยเป็นสถานที่ตั้งพระราชวังของกษัตริย์ในราชวงศ์ปัตตานี แต่ปัจจุบันไม่มีร่องรอยของพระราชวังโบราณให้เห็นอีกแล้ว ยังคงเหลือเพียงมัสยิดกรือเซะ (หน้า 51) |
|
Settlement Pattern |
ในเขตอำเภอเมืองมีสภาพความเป็นเมืองอยู่ในย่านธุรกิจและบริเวณโดยรอบ เมื่อพ้นจากบริเวณนี้ไประยะทางประมาณ 1-2 กิโลเมตร จะพบกับสภาพบ้านเรือนตามลักษณะสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เรือนรูปทรงตามแบบเรือนไทยมุสลิมปลูกสร้างด้วยไม้ กระจัดกระจายกันออกไปแวดล้อมด้วยทุ่งนา สวนยางและสวนมะพร้าวแตกต่างไปจากบริเวณในเมืองโดยสิ้นเชิง (หน้า 44) ชุมชนที่อยู่อาศัยของคนจีนในระยะแรกตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี ตั้งแต่บริเวณหัวถนนปัตตานีภิรมย์ จากถนนอาเนาะรู สมัยก่อนเรียกว่า "หัวตลาด" หรือ "ตลาดจีน" เป็นแหล่งประกอบธุรกิจการค้า มีการปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ลักษณะการปลูกสร้างบ้านเรือนล้วนแต่ก่อสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งยังคงสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน ชุมชนจีนขยายออกไปจากชุมชนเล็ก ๆ บริเวณตลาดจีน กลายเป็นชุมชนใหญ่กระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง (หน้า 44,45) มุสลิมเชื้อสายจีนอาศัยอยู่รวมกันเป็นชุมชนที่หมู่บ้านกรือเซะและบริเวณหมู่บ้านตันหยงลุโละ ซึ่งมีเพียงไม่กี่ครอบครัวมีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น แต่ละครอบครัวมีสมาชิกอยู่รวมกันหลายคน ญาติพี่ต้องจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันหรือในอาณาบริเวณเดียวกัน (หน้า 50) ชุมชนตั้งขนานไปกับถนนเพชรเกษมและลำคลองซึ่งเป็นทางออกไปสู่ทะเลได้ มีบ้านเรือนเรียงรายขนานไปตามแนวถนนและซอยที่ตัดผ่านในหมู่บ้าน ตลอดจนบริเวณใกล้ลำคลองและรอบมัสยิด สภาพบ้านเรือนมีความหลากหลายรูปแบบทั้งรูปทรงทันสมัย และเรือนไม้ตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิม เรือนไม้สองชั้นติดดินและแบบยกพื้นสูงมีใต้ถุน (หน้า 52) |
|
Demography |
จังหวัดปัตตานีประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์มุสลิม 76.95% คนไทยนับถือศาสนาพุทธประมาณ 21.79% ในกลุ่มคนไทยนี้มีคนจีนปะปนรวมอยู่ด้วย (หน้า 4) ส่วนที่เหลือเป็นผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 1.26 นอกจากนี้ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มี 3 พวก คือ นิกริโต (Nigrito) โปรโตมาเลย์ (Proto Malay) และติวเทอโร มาเลย์ (Teutero Malay) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่เหลืออยู่จำนวนน้อยมาก (หน้า 53) ประชากรในชุมชนหมู่บ้านกรือเซะ มีจำนวน 1,680 คน เป็นชาย 836 คน หญิง 844 คน จำนวนครัวเรือน 224 ครัวเรือน (หน้า 52) |
|
Economy |
คนจีนมักประกอบอาชีพค้าขาย นอกจากนั้นยังทำเหมืองแร่ดีบุก ทำเครื่องจักสานและรับราชการ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา คนจีนได้รับการแต่งตั้งให้มียศฐาบรรดาศักดิ์เป็นผู้ผูกขาดการเก็บภาษีอากรในเมืองปัตตานี ปัจจุบันคนจีนในรุ่นต่อมาก็ยังคงสืบทอดธุรกิจการค้าของบรรพบุรุษ (หน้า 45) การประกอบธุรกิจส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตตัวเมือง เขตธุรกิจมีคนจีนมากกว่ามุสลิม เศรษฐกิจยังคงตกอยู่ในมือของคนจีน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสวนยางพารา อสังหาริมทรัพย์ ส่วนมาเลย์มุสลิมยังคงประสบปัญหาความยากจน (หน้า 57) การประกอบอาชีพของชาวบ้านกรือเซะมีความหลากหลาย ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง โดยเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองและประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมีการรับจ้างทำขนมหวาน ข้าวเกรียบปลาภายในหมู่บ้าน ส่วนมากเป็นแรงงานสตรี อาชีพค้าขายก็เป็นอีกอาชีพที่ทำกันมาก ทั้งการเปิดร้านขายของชำ ร้านอาหาร ภายในหมู่บ้าน และเดินทางไปค้าขายตามตลาดนัด (หน้า 52) สินค้าที่นำมาขายมีหลากหลายชนิด เช่น ผักสด ผลไม้ ของแห้ง อาหารทะเล เป็นของที่มีอยู่ในท้องถิ่น (หน้า 41) ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งทำอาชีพเกษตรกรรม ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าวและทำประมงชายฝั่ง จับได้จำนวนไม่มากนำมาบริโภคภายในชุมชน (หน้า 52) จากปรัมปรานิยาย มาเลย์มุสลิม ได้อ้างถึงการเข้าครอบครองดินแดนปัตตานีครั้งแรกก่อนคนกลุ่มอื่น มีสิทธิในดินแดนเต็มที่ไม่ว่าการอยู่อาศัยหรือการทำมาหากิน การกล่าวอ้างว่าปัตตานีเป็นสถานที่ดั้งเดิมที่บรรพบุรุษมาเลย์มุสลิมเป็นผู้ค้นพบและครอบครองสืบมา มีความสัมพันธ์กับสิทธิในการใช้ที่ดิน นำไปสู่การแบ่งแยกการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มาเลย์มุสลิมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เพาะปลูก หรือทำการประมง เพราะมีอยู่ในฐานะของการผลิต คนจีนในปัตตานีจึงประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่ (หน้า 92) |
|
Political Organization |
ชุมชนจีนในอดีตจะมีการปกครองกันเองภายในชุมชน การประกอบธุรกิจ การเข้ารับราชการตลอดจนการเป็นผู้ผูกขาดเก็บภาษีอากร ทำให้คนจีนมีบทบาททางสังคมและอำนาจต่อรองกับชนส่วนใหญ่ (หน้า 45) ส่วนมุสลิมเชื้อสายจีนก็ไม่นิยมแต่งงานนอกกลุ่มเพื่อต้องการรักษาความเป็นเอกลักษณ์ในกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนาของตนเองไว้ (หน้า 51) ปรัมปรานิยายของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่เกี่ยวข้องกับมัสยิดกรือเซะ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนจีนและมุสลิม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นตลอดเวลาในปัจจุบัน ด้วยการตีความสัญลักษณ์ในปรัมปรานิยายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มุสลิมตีความหมายว่าเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นองค์พระอัลลอฮ์ อันเป็นสิ่งที่เคารพสูงสุด แต่คนจีนตีความในลักษณะเป็นการสร้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ตามความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องเทพเจ้าของคนจีน ปรัมปรานิยายจึงมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์มุสลิมและคนจีนในปัตตานี (หน้า 114) |
|
Belief System |
ความเชื่อของคนจีนจะเห็นได้ชัดในเรื่องของศาลเจ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่รวมกันของชุมชน เป็นศูนย์รวมจิตใจและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อดั้งเดิม ศาลเจ้าเล่งจูเกียงเป็นศาลเจ้าที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ศาลเจ้าเล่งจูเกียงมีองค์พระหมอเป็นองค์ประธาน และยังมีรูปจำลองของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งคนจีนในจังหวัดปัตตานีให้ความเคารพนับถือเป็นเทพเจ้าประจำท้องถิ่น มีพิธีบวงสรวงประจำปี พร้อมด้วยการละเล่นและมหรสพต่าง ๆ มากมาย (หน้า 45) การประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยในแต่ละปีจะมีการจัดพิธีสำคัญทั้งหมด 3 ครั้ง คือ พิธีสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้าย มีพิธีที่สำคัญคือการหามเกี้ยวเทพเจ้าต่างๆ ลุยน้ำและลุยไฟ ตั้งเครื่องเซ่นไหว้หน้าบ้านและจุดประทัดถวาย พิธีเชงเม้ง (ไหว้ศพ) จัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นพิธีระลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ มีการเตรียมข้าวปลาอาหาร กระดาษเงินกระดาษทอง ไปเซ่นไหว้ ณ ฮวงซุ้ยเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และพิธีวันเกิดเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว (ทิ้งกระจาด) จันขึ้นในวันที่ 27 เดือน 7 มีการเซ่นไหว้เจ้าแม่ การทิ้งกระจาด การทำบุญบริจาคทาน และมีมหรสพในช่วงเย็น (หน้า 94-101) ความเชื่อของคนจีนมีลักษณะผสมผสานระหว่างพุทธศาสนานิกายมหายาน ลัทธิเต๋าและขงจื้อ ให้ความสำคัญในเรื่องการนับถือผู้อาวุโสและความกตัญญูกตเวที จึงมีพิธีกรรมเซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษ เป็นหน้าที่ที่พึงปฏิบัติต่อวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว (หน้า 65) ชุมชนหมู่บ้านกรือเซะ เป็นหมู่บ้านมุสลิมเชื้อสายจีน นับถือศาสนาอิสลาม และยังคงปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก เช่น การระลึกถึงบรรพบุรุษชาวจีน การรับประทานข้าวต้ม เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นพวกเขามีวิถีการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตามวัฒนธรรมมาเลย์เช่นเดียวกับมาเลย์มุสลิม (หน้า 49) มีมัสยิดเป็นศูนย์รวมการประกอบศาสนกิจ (หน้า 52) มุสลิมเชื้อสายจีน ถึงแม้จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีความเชื่อถือในเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว และบรรพบุรุษชาวจีนโดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ มีการเตรียมข้าวต้ม เป็ด ไก่ ไปให้กับคนเฝ้าสุสานลิ้มกอเหนี่ยว เพื่อให้คนเฝ้าสุสานนำไปเซ่นไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว หรือออกไปชมขบวนพิธีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในวันพิธีสมโภช ฯ ก็เป็นการระลึกถึงอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันความเชื่อถือศรัทธาของมุสลิมเชื้อสายจีนต่อบรรพบุรุษชาวจีนได้เสื่อมถอยลง เพราะกระแสความศรัทธาในศาสนาอิสลามที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ไม่สนใจการประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษชาวจีน ยกเว้นในกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ที่ยังมีความเคารพเชื่อถือศรัทธาอยู่ (หน้า 103,104) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาหาความรู้ในกลุ่มเด็กและเยาวชนมุสลิม จะได้รับการสั่งสอนในเรื่องของศาสนาตลอด ตั้งแต่เช้าตรู่หลังจากทำละหมาดครั้งแรกสิ้นสุดลง พวกเขาต้องไปเรียนศาสนาที่บ้านของโต๊ะครู เป็นสถาบันการศึกษาที่เรียกว่า ปอเนาะ สอนแต่วิชาศาสนาอิสลาม ภาษาที่ใช้สอนมี 2 ภาษา คือ ภาษามลายู เขียนด้วยอักษรยาวี เพื่ออ่านบทอธิบายคัมภีร์อัล-กุรอานที่เขียนไว้เป็นตำรา และภาษาอาหรับซึ่งเป็นภาษาในคัมภีร์โดยตรง หลังจากนั้นจึงไปโรงเรียนเพื่อเรียนวิชาในสายสามัญ เมื่อกลับจากโรงเรียนจะต้องไปเรียนศาสนาต่อในตอนเย็น (หน้า 52,59) |
|
Health and Medicine |
ในบางครั้งเมื่อเกิดการเจ็บป่วยและรักษาด้วยแพทย์ปัจจุบันไม่หาย จะไปหาบอมอ หรือพ่อหมอมาดูทางในและให้ไปสักการะบูชาเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวก็จะหายจากอาการเจ็บป่วย (หน้า 104) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
กรือเซะ คือชื่อมัสยิดซึ่งเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีอายุเก่าแก่มากกว่า 300 ปี เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน รูปแบบของเสา ช่องประตูและหน้าต่างมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมตามแบบสถาปัตยกรรมโกธิคในยุโรป ส่วนบริเวณโดมและหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ (หน้า 5) การแต่งกาย ผู้หญิงมาเลย์มุสลิมจะแต่งกายปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อแขนยาว โสร่งสีสันสวยงามและผ้าคลุมผม ส่วนผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืด นุ่งโสร่งลวดลายเป็นตาราง สวมหมวก ส่วนคนไทยหรือคนจีนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามลักษณะสากลทั่วไป |
|
Folklore |
ปรัมปรานิยายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวในกลุ่มชาติพันธุ์จีน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าซื่อจงฮ่องเต้แห่งราชวงหมิง ลิ้มกอเหนี่ยวและลิ้มเต้าเคี่ยนเกิดในครอบครัวตระกูลลิ้ม ภายหลังจากบิดาเสียชีวิต ลิ้มเต้าเคี่ยนได้เข้ารับราชการอยู่ที่เมืองจั่วจิว มณฑลฮกเกี้ยน เป็นที่รักนับถือของชาวบ้าน ในช่วงที่รับราชการอยู่มีโจรสลัดชาวญี่ปุ่นเข้ามาปล้นบ้านเรือนราษฎร ทางเมืองหลวงได้ส่งกำลังเข้ามาช่วย และเป็นโอกาสที่ขุนนางผู้พยาบาทใส่ความลิ้มเต้าเคี่ยนว่าสมคบกับพวกญี่ปุ่น ลิ้มเต้าเคี่ยนถูกประกาศจับตัวจึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศโดยชักชวนสมัครพรรคพวกพร้อมเรือ 30 ลำ มุ่งไปยังเกาะไต้หวัน เดินทางต่อไปยังเกาะลูซอน หรือฟิลิปปินส์ เวียดนาม และเข้าสู่ปัตตานีในที่สุด บางตำนานเล่าว่า เมื่อลิ้มเต้าเคี่ยนมาอยู่ไต้หวัน ได้เปลี่ยนมาเป็นพ่อค้า และนำสินค้าจากประเทศจีนบรรทุกใส่เรือสำเภามาขายยังประเทศไทย ท่าเรือสุดท้ายที่เดินทางไปค้าขาย คือ ท่าเรือกรือเซะ ลิ้มเต้าเคี่ยนได้เปลี่ยนศาสนามานับถืออิสลามและแต่งงานกับพระธิดาของเจ้าเมือง และบรรดาพรรคพวกที่ติดตามก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเช่นกัน ต่อมาลิ้มกอเหนี่ยวผู้เป็นน้องสาวได้เดินทางมาติดตามหาพี่ชาย คือลิ้มเต้าเคี่ยน เพื่อนำพี่ชายกลับไปพบกับมารดาซึ่งแก่ชรามากแล้ว ลิ้มกอเหนี่ยวเดินทางมายังปัตตานี ได้พบกับลิ้มเต้าเคี่ยน แต่ลิ้มเต้าเคี่ยนไม่สามารถกลับไปได้ จึงจัดสัมภาระและของมีค่าให้น้องสาวนำไปฝากมารดาและญาติพี่น้อง ลิ้มกอเหนี่ยวได้พักอยู่ที่ปัตตานีชั่วคราวเพื่อจะอ้อนวอนให้พี่ชายกลับเมืองจีนอีกครั้ง เมื่อเจ้าเมืองปัตตานีถึงแก่อนิจกรรม เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์และกบฏขึ้น ลิ้มกอเหนี่ยวได้เข้าไปช่วยเหลือจนกบฏพ่ายแพ้ไป ลิ้มกอเหนี่ยวรบเร้าให้พี่ชายกลับเมืองจีน แต่ลิ้มเต้าเคี่ยนปฏิเสธ ลิ้มกอเหนี่ยวเสียใจจึงผูกคอตายใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มเต้าเคี่ยนได้จัดปลงศพอย่างสมเกียรติ และสร้างฮวงซุ้ยปรากฏมาจนทุกวันนี้ ส่วนผู้ติดตามลิ้มกอเหนี่ยวมาก็ไม่คิดจะกลับเมืองจีนอีก สำหรับการตายของลิ้มกอเหนี่ยว มีเรื่องเล่าของคนจีนปัตตานีที่แตกต่างกันโดยเล่าว่า ในขณะที่ปราบกบฏลิ้มกอเหนี่ยวและลิ้มเต้าเคี่ยนตกอยู่ในวงล้อมกบฏ ลิ้มกอเหนี่ยวได้ทำอัตวิบากกรรมที่สนามสู้รบ เมื่อปราบกบฏสำเร็จ บุตรีของเจ้าเมืองได้เป็นนางพญาขึ้นครองเมือง ได้มอบหมายให้ลิ้มเต้าเคี่ยนเป็นนายช่างคุมการก่อสร้างมัสยิด ขณะที่สร้างที่คาบบนและโดมถูกอัสนีบาตทำลายเสียหายถึง 3 ครั้ง ลิ้มกอเคี่ยนคิดว่าเป็นผลที่ตนอกตัญญู และทำให้น้องสาวต้องเสียชีวิต จึงถูกฟ้าดินลงโทษ จึงล้มเลิกการสร้างมัสยิด ปล่อยให้ร้างจนถึงทุกวันนี้ ลิ้มเต้าเคี่ยนได้สิ้นชีวิตด้วยปืนใหญ่ที่หล่อให้นางพญาไว้ป้องกันเมือง ซึ่งปืนแตกระเบิดใส่ลิ้มเต้าเคี่ยน ปัจจุบันยังปรากฏสถานที่หล่อปืน และที่ฝังศพลิ้มเต้าเคี่ยนอยู่ที่สุสานเก่ากูโบร์ตันหยงลุโละ ต่อมาลิ้มกอเหนี่ยวได้สำแดงความศักดิ์สิทธิ์ให้ประจักษ์แก่ชาวเรือและผู้คนที่สัญจรไปมา เป็นเหตุให้ประชาชนเลื่อมใสและสร้างศาลขึ้นที่หมู่บ้านกรือเซะ ปัจจุบันความเชื่อในเรื่องการสร้างมัสยิดไม่สำเร็จ ไม่ใช่เพราะอาถรรพณ์ของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แต่มีผู้สันนิษฐานว่า เป็นเพราะรากฐานของอาคารไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของโดมและหลังคาด้านบนได้ (หน้า 70-84) ปรัมปรานิยายเมืองปัตตานีในกลุ่มชาติพันธุ์มาเลย์มุสลิม ประวัติความเป็นมาของเมืองปัตตานี ไ ด้กล่าวถึงเมืองโกตามะลิฆัยมีผู้ครองนคร คือ พญาท้าวนักกะพา พญาท้าวนักกะพาได้ออกล่าสัตว์ ไปพบกระจงตัวหนึ่งขนสีขาว ได้ไล่ตามไปแต่แล้วก็อันตรธานหายไป จากนั้นได้พบกับกระท่อมของชายชราหลังหนึ่งที่ชื่อเจ๊ะตานี ที่เคยเป็นผู้ติดตามสมเด็จพระอัยกาของพญาท้าวนักกะพา พญาท้าวนักกะพาจึงสร้างเมืองขึ้น ณ บริเวณริมทะเลที่กระจงป่าตัวนั้นหายตัวไป และขนามนามเมืองใหม่ว่า "เมืองปัตตานี ดารุสลาม" ตามชื่อของชายชรา ต่อมาท้าวพญานักกะพาได้ป่วยเป็นโรคผิวหนังร้ายแรง จึงประกาศหาผู้ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้ ผู้อาสารักษา คือ เช็ค ซาอิด หรือ แซะฟาฟิยัลดิน เป็นชาวเมืองปาไซ แต่มีเงื่อนไขว่า เมื่อรักษาหายแล้ว พระองค์ต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมื่อรักษาจนหายแล้ว พระองค์ไม่ปฏิบัติตามทำให้ประชวรด้วยโรคเดิมถึง 3 ครั้ง จนในที่สุดต้องหันมานับถือศาสนาอิสลาม และเปลี่ยนชื่อเป็นสุลต่านอิสมาอิล ซิลลุลลอฮ ฟิลอาลาม ส่วนพระโอรสองค์โตให้ชื่อว่า สุลต่านมุสตาฟาร์ ชาฮ์ พระธิดาองค์รอง ชื่อ ซีตี อาอีซะต์ พระโอรสองค์สุดท้ายชื่อ สุลต่าน มันโซร์ ชาฮ์ พระองค์ได้พระราชทานทรัพย์สินเงินทองให้กับเช็คซาอิดเป็นจำนวนมาก หลายปีต่อมาพ่อค้าจีนได้นำลูกปืนทำด้วยหินมาถวาย แต่ไม่มีปืนใช้สำหรับยิง จึงประกาศให้ราษฎรทราบว่าภายในระยะเวลาสามปีไม่ให้นำทองเหลืองออกขายให้ชาวเมือง จนสามารถสร้างปืนใหญ่ได้สำเร็จ เมื่อสุลต่านอิสมาอิลสิ้นลง สุลต่านมุสดาฟาร์ ชาฮ์ พระโอรสองค์โตขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระบิดา ได้สร้างมัสยิดสำหรับราษฎร และชาวเมืองต่างก็หันมานับถือศาสนาอิสลาม ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่สำหรับการเยี่ยมเยียนครั้งที่ 2 พระองค์ได้ยกกองทัพเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา ในที่สุดพระองค์พ่ายแพ้ และสละชีวิตให้พระอนุชาฝ่าวงล้อมนำทัพลงเรือกลับมายังเมืองปัตตานี แล้วสุลต่านมันโซร์ ชาฮ์ ได้สถาปนาตนเองขึ้นสืบราชสมบัติ พระองค์มีพระโอรสและพระธิดารวม 7 พระองค์ ภายหลังพระโอรสทั้ง 2 พระองค์สิ้นพระชนม์เหลือเพียงพระธิดา ทำให้มีปัญหาแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเชื้อพระวงศ์เสมอ และได้มีศึกสงครามกับกรุงศรีอยุธยาครั้งใหญ่ เรียกว่า "ศึกสยาม" โดยกองทัพอยุธยายกทัพมาตีปัตตานี แต่ก็ต้องยกทัพกลับไปเพราะขาดเสบียงอาหาร เจ้าเมืององค์สุดท้ายที่ปกครองเมืองปัตตานี คือ รายากูนิง จากนั้นราชวงศ์กลันตันเข้ามาปกครอง หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์กลันตัน ปัตตานีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของไทย (หน้า 85-90) ยังมีเรื่องราวกำเนิดเมืองปัตตานีอีกเรื่องหนึ่งแต่ไม่เป็นที่แพร่หลาย มีเรื่องราวคล้ายกัน โดยเปลี่ยนจากท้าวพญานักกะพา เป็นนางจายัน พระกนิษฐาของเจ้าเมืองปกครองเมืองไทรบุรี ที่ได้หาชัยภูมิอันเหมาะสมเพื่อสร้างเมือง ได้พบกระจงเผือก และสร้างเมืองบริเวณที่กระจงเผือกอันตรธานหายไป ชื่อว่า "นครปะตานิง" เมื่อสร้างเมืองปัตตานีเสร็จได้จัดสร้างมัสยิดขึ้นแห่งหนึ่งที่ตำบลกรือเซะ (หน้า 90-91) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ศาสนาอิสลามถือเป็นหลักแห่งการแสดงตนให้เกิดความเป็นเอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งในด้านของการศึกษาศาสนา ความเชื่อความศรัทธาในพระอัลลอฮ์และนบีมูฮัมมัด ความเชื่อและคำสอนที่มีผลต่อการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการพูดภาษามาเลย์ (หน้า 117) และด้วยเหตุที่มาเลย์มุสลิมเป็นชนกลุ่มใหญ่ในจังหวัดปัตตานี จึงทำให้สภาพสังคมและวัฒนธรรมมีความเด่นชัดมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยหรือคนจีน ซึ่งเป็นชนส่วนน้อยของจังหวัด ซึ่งมีวัฒนธรรมอยู่เฉพาะในกลุ่มของตนเท่านั้น (หน้า 58) ถึงแม้รัฐบาลพยายามทำให้เกิดความผสมกลมกลืนระหว่างมุสลิมกับวัฒนธรรมไทย แต่กลายเป็นปัญหาความขัดแย้ง เพราะสังคมมุสลิมเป็นสังคมที่มีความเคร่งครัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีมากยากที่จะก่อให้เกิดการผสมกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมไทย (หน้า 59) ส่วนคนจีนในจังหวัดปัตตานีก็ยังคงธำรงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตน มีการนับถือเทพเจ้าท้องถิ่น คือ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งเทพเจ้าอันสืบเนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษชาวจีน ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญ งานเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ ที่ประพฤติปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณ และมีการถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังต่อไป โดยที่วัฒนธรรมไทยไม่มีผลมากนักต่อคนจีนในปัตตานี (หน้า 116) ส่วนปรัมปรานิยายเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่อธิบายต้นกำเนิดของคนจีน ได้แสดงถึงความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยการอธิบายการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ระหว่างมาเลย์มุสลิมและคนจีน การก่อสร้างมัสยิดกรือเซะและปืนใหญ่ของชาวจีน เป็นการแสดงความผูกพันกับท้องถิ่นแทรกตัวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทำให้คนจีนสามารถอาศัยอยู่ในปัตตานีท่ามกลางมาเลย์มุสลิมซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของพื้นที่ได้ (หน้า 93) พิธีกรรมลิ้มกอเหนี่ยวของคนจีน เป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว ทำให้สมาชิกในสังคมรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง (หน้า 101) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมและวัฒนธรรมในจังหวัดปัตตานีและจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ภายใต้อิทธิพลของศาสนาอิสลาม มีแบบแผนการดำเนินชีวิตคล้ายกับประชาชนในประเทศมาเลเซีย เนื่องจาก มีอาณาเขตติดต่อกันทำให้มีการรับถ่ายทอดวัฒนธรรมจากมาเลเซียได้ง่าย (หน้า 57) สำหรับมุสลิมเชื้อสายจีนนั้นได้ผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมและวัฒนธรรมมาเลย์ไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเผยแพร่ศาสนาของขบวนการดะวะห์ แต่จากการศึกษาพบว่า ในกลุ่มมุสลิมเชื้อสายจีนยังมีความสำนึกในชาติพันธุ์ดั้งเดิมอยู่ อันเป็นปัจจัยภายในที่สำคัญ ทำให้พวกเขายังคงลักษณะเฉพาะในกลุ่มของตน ความสำนึกนั้นคือ การรับรู้ในความเป็นมาของกลุ่มตน ซึ่งเชื่อว่าพวกเขาเป็นลูกหลานของลิ้มเต้าเคี่ยนและลิ้มกอเหนี่ยว ในกลุ่มผู้สูงอายุยังมีความเคารพศรัทธาต่อลิ้มเต้าเคี่ยนและลิ้มกอเหนี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประกอบพิธีงานมงคล พิธีสุหนัด พิธีแต่งงาน จะต้องมีการตระเตรียมอาหารบูชาเจ้าแม่และบรรพบุรุษชาวจีน (หน้า 119-120) |
|
|