|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท การรักษาโรค สมุนไพร ยโสธร |
Author |
พิสิฎฐ์ บุญไชย |
Title |
ความรู้ ความเชื่อ ในการใช้สมุนไพรรักษาสุขภาพของชาวผู้ไทยจังหวัดยโสธร |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
129 |
Year |
2542 |
Source |
สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึงพฤติกรรมการใช้สมุนไพรซึ่งเป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน การใช้ดูแลสุขภาพการทำยา วิธีเก็บสมุนไพร วิธีปรุงยา การใช้สมุนไพร ชนิดประเภทของยาสมุนไพรแหล่งที่เก็บสมุนไพร โรคที่รักษาของผู้ไทยบ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
จากการศึกษาพบว่า ผู้มารับการรักษาจากหมอสมุนไพรหรือหมอฮากไม้(รากไม้) ส่วนใหญ่เคยไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐมาก่อนแต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้นจึงหันมารักษาด้วยสมุนไพรเช่นโรคเบาหวาน เอดส์ ริดสีดวงทวาร มะเร็งและอื่นๆ |
|
Focus |
ศึกษาพฤติกรรมการใช้สมุนไพรของผู้ไทย ในการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ขบวนการเรียนการสอน ตำรายา วิธีการเก็บ การเตรียมยา เครื่องมือปรุงยา อุปกรณ์ วิธีหรือขบวนการปรุง วิธีการเก็บรักษา และวิธีใช้สมุนไพร ในการดูแลสุขภาพรักษาอาการเจ็บป่วย และศึกษาชื่อ ชนิด ประเภท แหล่งที่มาของสมุนไพรที่ผู้ไทยใช้รักษาโรคต่างๆตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและศึกษากลุ่มอาการของโรคต่างๆ ที่ผู้ไทยรักษาด้วยสมุนไพรในปัจจุบัน (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไทยมีชื่อเรียกต่างๆ เช่น ภูไท ภูไทย ภู่ไท พูไทย เป็นหนึ่งในสาขาชนชาติไทย เมื่อก่อนตั้งรกรากอยู่สิบสองจุไทย โดยได้อพยพเข้ามาอยู่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในช่วง พ.ศ.2387-2421 (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
เมื่อก่อนผู้ไทยมีตัวหนังสือเป็นของตนเอง ดังจะเห็นได้จากพงศาวดารเมืองไลระบุว่า ตัวหนังสือผู้ไทยคล้ายกับตัวหนังสือลาวและไทยโบราณ ตัวหนังสือของผู้ไทยสูญไปเพราะศึกสงครามและภัยธรรมชาติ ทุกวันนี้เหลือเฉพาะภาษาพูดเท่านั้น (หน้า 43) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของผู้ไทย
ผู้ไทยที่อยู่ในจังหวัดยโสธรสันนิษฐานว่ามาจากกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1 ) กลุ่มผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ที่จังหวัดมุกดาหารส่วนมากอพยพมาจากเมืองวัง หลังจากมีการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ของประเทศลาว เมื่อ พ.ศ.2387 โดยได้อพยพมาอยู่ที่เมืองหนองสูง เมื่อมีประชากรเพิ่มขึ้นจึงแยกย้ายไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ เช่น ยโสธร ร้อยเอ็ด สำหรับการตั้งถิ่นฐานนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้ภูเขาเพราะปลูกพืช ทำไร่ได้ดี
2) ผู้ไทยที่อยู่ในตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา คาดว่าเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากกลุ่มที่มาตั้งเมืองอยู่ที่เมืองเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากเมืองตะโปน(เซโปน) ที่เข้ามาเมื่อ พ.ศ.2387 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3
ส่วนอีกกลุ่มมาจากเมืองคำเขื่อนแก้วซึ่งทุกวันนี้คือ ตำบลคำเขื่อนแก้ว อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ ที่อพยพมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เช่นเดียวกัน (หน้า 48) |
|
Demography |
บ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร มีจำนวนครัวเรือน 230 ครัวเรือน โดยแบ่งออกเป็น 2 หมู่ได้แก่ หมู่ 11 มี 115 ครอบครัว และหมู่ 17 มี 115 ครอบครัว (หน้า 90) |
|
Economy |
อาชีพหลักคือการทำการเกษตรกรรมเช่น ทำนา ทำไร่ หาของป่า ล่าสัตว์นอกจากนี้ยังทำอาชีพเสริมเช่น ทอผ้า รับจ้างในช่วงหน้าแล้ง (หน้า 90) |
|
Political Organization |
บ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร แบ่งออกเป็น 2 หมู่ได้แก่ หมู่ 11 และหมู่ 17 ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2525 ตามนโยบายของรัฐบาลในโครงการพัฒนาชาติไทย โดยได้จัดสรรที่ทำกินให้ผู้ไทยที่เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยซึ่งในบริเวณนี้เรียกว่าเขตงาน 444 โดยทางการได้จัดที่อยู่ให้จำนวน 2 งานและเป็นที่ดินเพาะปลูก8 ไร่รวมทั้งสร้างบ้านให้อีก 1 หลัง ซึ่งในเวลานั้นมีผู้ไทยจำนวน 90 ครอบครัว (หน้า 90) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ
ผู้ไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย แต่เดิมจะอยู่ที่เมืองแถง นับถือผีภายหลังจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ (หน้า 43) ประเพณีของผู้ไทยจะเหมือนกับชาวอีสานซึ่งในแต่ละเดือนจะมีประเพณีต่างๆ ที่เรียกว่า ”ฮีตสิบสอง” ดังนี้
เดือนอ้าย บุญเข้ากรรม (หน้า 49)
เดือนยี่ บุญคูณลาน
เดือนสาม บุญข้าวจี่
เดือนสี่ บุญผะเหวด
เดือนห้า วันสงกรานต์
เดือนหก บุญบั้งไฟ วันวิสาขบูชา
เดือนเจ็ด บุญซำฮะ(บุญชำระ) (หน้า 49)
เดือนแปด เข้าพรรษา
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
เดือนสิบ บุญข้าวสาก
เดือนสิบเอ็ด ออกพรรษา
เดือนสิบสอง บุญกฐิน (หน้า 50) |
|
Education and Socialization |
จังหวัดยโสธร มีโรงเรียนที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับเตรียมอุดมศึกษา มีโรงเรียน 431 แห่ง มีนักเรียน 98,116 คน ครู 5,540 คน (ข้อมูล พ.ศ.2538) (หน้า 37) |
|
Health and Medicine |
หมอสมุนไพรและการรักษา
ในงานเขียนได้กล่าวว่า หมอสมุนไพรนั้นมีชื่อเรียกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หมอยาฮากไม้(รากไม้) หมอยาชุม หมอยาเย็นหรือหมอกลางบ้าน ส่วนยาสมุนไพรจะได้จากพืชและสัตว์โดยแบ่งออกเป็น ยาฮากไม้(รากไม้)ส่วนใหญ่จะนำมาฝนผสมน้ำดื่ม บางส่วนใช้ฝนทาแผล ฝี ส่วนยาซุมหมายถึงตำรับยาสมุนไพรที่มาจาก พืช เช่น แก่น ราก ใบ ดอก ผล อวัยวะสัตว์ เช่น กระดูก งา เขา และแร่ธาตุ หิน เกลือ สาร และอื่นๆ (หน้า 59) สำหรับหมอสมุนไพรกรณีศึกษานั้นได้เรียนรู้การรักษาด้วยสมุนไพรมาจากตาซึ่งเคยเป็นหมอสมุนไพรมาก่อน (หน้า 60)
นอกจากนี้ยังศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง(หน้า 61) สำหรับคนที่มารักษาส่วนใหญ่จะเคยไปรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐมาก่อนแต่เมื่อไม่หายจึงหันมารักษาด้วยสมุนไพรสำหรับผู้ป้วยมชที่มารักษาประกอบด้วยผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคเอดส์ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้และอื่นๆ (หน้า 64)
การเรียนเป็นหมอสมุนไพร
งานเขียนบอกว่า ประวัติชีวิตของหมอสมุนไพรมีความสำคัญและจะเป็นตัวกำหนดบทบาทของหมอสมุนไพร ซึ่งจากการศึกษาประวัติพบว่า ในงานเขียนหมอสมุนไพรชื่อ นายประกาศน์ ใจทัศน์ เกิด พ.ศ.2470 ที่บ้านโคกพัฒนา ตำบลนาสะเม็ง อำเภอตอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ในวัยเด็กไม่เคยเรียนหนังสือในโรงเรียน เพราะบ้านอยู่ไกลจากโรงเรียน เริ่มรักษาผู้ป่วยครั้งแรกโดยเป็นผู้ช่วยของตา เมื่ออายุ 14 ปี ขณะนั้นได้เรียนรู้การเก็บสมุนไพร และจำชื่อพืชสมุนไพรและคุณสมบัติในการรักษาโรค กระทั่ง อายุ 17 ปี เมื่อตาเสียชีวิตจึงได้มาเป็นหมอสมุนไพรเต็มตัว (หน้า 60) ในช่วง พ.ศ.2517 ได้ร่วมขบวนการกับพรรคคอมมิวนิสต์ ในเขตจังหวัดมุกดาหาร ยโสธร กับจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้กลับมาร่วมโครงการพัฒนาชาติไทย เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2525 แต่งงานมีครอบครัวซึ่งทุกวันนี้ มีลูก 2 คน อยู่ที่บ้านน้อมเกล้า (หน้า 60)
สำหรับการเรียนเป็นหมอสมุนไพรนั้นได้เรียนจากตาจึงไม่ต้องทำพิธียกครูและมีเวลาเรียนจากตาที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังได้ความรู้ขณะทำการเคลื่อนไหวร่วมกับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นเวลา 10 กว่าปี จึงทำให้มีความรู้ ความชำนาญในการดูและสังเกตพืชสมุนไพร ประกอบกับในภายหลังได้เข้าร่วมอบรมสัมมนาเกี่ยวกับสมุนไพรที่จัดโดยโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทาอีกหลายครั้ง สำหรับคนที่จะมาเป็นหมอสมุนไพรจะต้องมีความแน่วแน่ อดทนต่อความยากลำบากต่างๆ ไม่รังเกียจผู้ป่วยแม้บางครั้งร่างกายจะเต็มไปด้วยเลือดและหนองไม่น่าดู นอกจากนี้จะต้องขยันไปเก็บสมุนไพรและขยันจำชื่อให้ได้ว่าพืชสมุนไพรแต่ละอย่างชื่ออะไร และมีคุณสมบัติในการรักษาโรคอย่างไร (หน้า 61)
การถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร
หมอสมุนไพรได้ทำการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้ที่สนใจกว่า 10 ปี ในตอนแรกมีคนมาเรียนกว่า 50 คน แต่มีคนสนใจไม่มากจึงมีคนที่สนใจความรู้เรื่องสมุนไพรประมาณ 10 คนเท่านั้น (หน้า 62) สำหรับคนที่มาเรียนนั้นเนื่อจากมีความสนใจเรื่องสมุนไพรประกอบกับเคยเจ็บป่วยมาก่อน การมาเรียนอาจารย์จะแบ่งรายได้ให้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่มาช่วยเหลือคืออาจารย์ ได้ 2 ส่วนสำหรับลูกศิษย์ได้ค่าแรง 1 ส่วน สำหรับคนที่เรียนเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรยังไม่มีใครแยกตัวไปเป็นหมอสมุนไพร เนื่องจากยังขาดความมั่นใจว่าจะรักษาผู้ป้วยได้ดีเท่าอาจารย์ ดังนั้นจึงยังอยู่ช่วยอาจารย์เท่านั้น (หน้า 63)
การรักษาผู้ป่วย
ผู้เขียนบอกว่า หมอสมุนไพรส่วนใหญ่มักจะไม่ได้เงิน ส่วนมากจะได้รับสิ่งของ ข้าวหรือเสื้อผ้าและอื่นๆ ในแต่ละปีจะมีคนมาเข้ารับการรักษา 500-1000 คน คนที่มาส่วนมากจะไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือไม่อยากผ่าตัดจึงมารับการรักษาด้วยสมุนไพร ได้แก่คนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์ มะเร็ง ฯลฯ (หน้า 64)
การตรวจอาการผู้ป่วย
การตรวจโรค หมอสมุนไพรจะกดดูเส้นเลือดที่บริเวณข้อมือของผู้ป่วย ดูสีผิวตรวจสอบโดยถามอาการเช่น การกินข้าว การนอน การขับถ่ายและอาการของโรคนั้น (หน้า 65) เมื่อตรวจแล้วก็จะจ่ายยาสมุนไพร สำหรับการกดดูเส้นเลือดข้อมือขวา ผู้เขียนบอกว่ามี 8 เส้นซึ่งจะบอกอาการของโรคต่างๆ ดังนี้ (หน้า 66)
เส้นแรกกดตรวจอาการเกี่ยวกับไตและลมในร่างกาย
เส้นที่ 2 ดูอาการเกี่ยวกับโรคริดสีดวง ลำไส้และลมในร่างกาย
เส้นที่ 3 กดดูเกี่ยวกับโรคตับอักเสบและลมในร่างกาย
เส้นที่ 4 กดดูโรคเลือดหรือเลือดไม่ดีในร่างกาย
เส้นที่ 5 กดดูเกี่ยวกับโรคปอด
เส้นที่ 6 เกี่ยวกับโรคเอดส์ กับภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เส้นที่ 7 กดดูเกี่ยวกับโรคเอดส์กินเม็ดเลือด
และเส้นที่ 8 ตรวจดูโรคเอดส์กินน้ำเหลือง (หน้า 66 ดูภาพหน้า 67)
ส่วนเม็ดสีของเลือดของแต่ละเส้นจะบอกว่าคนป่วยไม่สบายเพราะอะไร ตัวอย่างเช่น
เลือดสีแดง บอกว่าอาการปกติ
เลือดสีเหลือง บอกว่าธาตุในร่างกายลดลง อ่อนเพลีย
เลือดดำคล้ำบอกว่า ป่วยหนัก ธาตุในร่างกายลดลง
เลือดสีเหลืองผสมสีแดง บอกว่า ป่วยหนัก ธาตุในกายลดลง เหนื่อยอ่อน
เลือดสีดำคล้ำมาก มีอาการป่วยหนัก อ่อนแอ (หน้า 66)
การเก็บสมุนไพร
การเก็บจะไปหาที่ป่า ส่วนมากจะเป็นสมุนไพรที่ใช้รักษาที่มีคนป่วยมากๆ ที่เตรียมไว้มี 14 โรค ส่วนใหญ่จะเก็บสมุนไพรสดๆ เพื่อให้มีคุณภาพในการรักษา สำหรับการเก็บสมุนไพรปัญหาที่พบคือ ต้นสมุนไพรที่ถูกตัด ถาก จะตาย ทำให้จำนวนสมุนไพรลดจำนวนลง (หน้า 68)
การปรุงยา
ตำรับยาที่คนนิยมมากกว่าชนิดอื่นคือตำรับยาต้ม เมื่อต้มแล้วหมอสมุนไพรก็จะให้คนป่วยนำไปต้มดื่มที่บ้าน สำหรับยาบำรุงร่างกาย มีชื่อว่า “ยาหม้อใหญ่” จะปรุงจากสมุนไพรกว่า 50 อย่าง ต้มแล้วใส่ขวดขนาด 750 ซีซี.โดยจะใส่ยา 50-70 ลิตร ขายขวดละ 30 บาท ส่วนยาแบบขี้ผึ้งขายตลับละ 10 บาท ใช้สำหรับทาแผลเปื่อย ส่วนยาต้มที่รักษาโรคแต่ละอย่างจะขายมัดละ 20 บาท ให้คนป่วยนำไปต้มที่บ้านกินเอง (หน้า 69)
แหล่งสมุนไพร
สมุนไพรในอดีตจะหาง่าย เพราะมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่ทุกวันนี้ป่าไม้มีน้อยจึงหาได้ยากกว่าในอดีต เพราะแหล่งสมุนไพรถูกทำลาย จากการทำไร่ ทำสวน รวมทั้งการตัดถนนเพื่อพัฒนาชุมชน เป็นต้น (หน้า 69)
ข้อห้ามหรือของแสลง
ข้อห้ามหรือผู้ไทย เรียกว่า “ขลำ” เพราะอาหารจะเป็นอันตรายกับการรักษาโรคหรือแม้การกระทำเช่น ผู้หญิงหลังคลอดตอนอยู่ไฟไม่ให้อาบน้ำเย็น ส่วนโรคที่ห้ามเช่น ถ้าเป็นงูสวัด แผลตุ่ม ไม่ให้กินหนอไม้ ส่วนคนที่เป็นโรคเอดส์ มะเร็งลำไส้ เบาหวาน อาหารแสลง เช่น ไข่ มะเขือ แตงโม กล้วย มะละกอ เป็นต้น (หน้า 70)
โรคและการเจ็บป่วย
จากการศึกษาผู้เขียนบอกว่า แต่ก่อนผู้ไทยเชื่อว่าโรคเกิดจากผีทำ การรักษาต้องทำพิธีเลี้ยงผี และโรคเกิดจากธรรมชาติเพราะร่างกายของแต่ละคนมีสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน ส่วนความเชื่อทุกวันนี้มี 2 อย่างคือโรคมาจากการกินเพราะมีสารพิษที่เป็นอันตรายเจือปนจึงทำให้เจ็บป่วย และโรคมาจากการทำหมัน ส่วนโรคแบ่งเป็น 2 อย่างคือโรคที่รักษาได้ เช่นโรคล่องแก้ว งูสวัด กามโรค ส่วนโรคที่รักษาไม่ได้ หรือรักษายากเช่น มะเร็ง ลำไส้ มะเร็งตับ เว้นแต่รักษาเริ่มแรกอาจมีสิทธิ์รักษาได้ (หน้า 72)
ผู้ไทยเชื่อว่าการติดต่อของโรคเกิดจาก “แม่” คือ “ตัวเชื้อโรค” ที่แพร่ระบาดไปติดคนอื่น โรคที่มีแม่กระจายเช่น ขี้ทูด ขี้เฮื้อน เป็นต้น
ส่วนการเกิดโรคมาจากความผิดปกติต่างๆของร่างกาย เช่น การย่อยอาหารโดยเชื่อว่าโรคมาจาก ไก่ หมู ที่เลี้ยงจากฟาร์มกินหัวอาหาร จึงทำให้ป่วยเป็น เบาหวาน ริดสีดวงลำไส้ มะเร็งตับ ฯลฯ
ส่วนระบบเลือดและน้ำเหลือง ถ้าผิดปกติก็จะเกิดโรคเช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
สำหรับคนที่ป่วยเกี่ยวกับเลือด ตามผิวหนังจะเป็นจ้ำ เม็ดดำๆ บางครั้งอาจเป็นเหน็บชา หรือวัณโรค หากน้ำเหลืองไม่ดีร่างกายจะซูบผอม หากระบบลมในร่างกายบกพร่อง หน้าตาจะหมองคล้ำ เป็นต้น
ส่วนโรคริดสีดวงลำไส้ โรคนิ่ว ริดสีดวงทวารเกิดจากการกินเป็นต้น (หน้า 73)
สำหรับโรคที่เป็นมากอันเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมในทุกวันนี้เช่น แพ้อากาศจะทำให้เป็นอักเสบ ส่วนคนที่เป็นโรคเอดส์ ทุกวันนี้จะมารับการรักษาจากหมอสมุนไพรเป็นจำนวนมาก มีบางรายที่รักษาหาย แต่บางรายรักษาไม่หายเนื่องจากกินของแสลง สำหรับคนที่เป็นเอดส์ระยะสุดท้ายถ้ารักษาที่โรงพยาบาลไม่หายก็จะเปลี่ยนมารักษาด้วยสมุนไพร (หน้า 74)
การดูแลหลังคลอด
งานเขียนได้กล่าวถึงการพักฟื้นหลังคลอด หรือการอยู่กรรมว่ามี 2 อย่างได้แก่
1) การอยู่กรรมร้อน คือการอยู่ไฟจะผิงไฟ 7-15 วัน ช่วงนี้ให้งดอาหารแสลงกินและอาบสมุนไพร
2) อยู่กรรมเย็น คือ คนที่ไม่อยู่ไฟ ให้งดอาหารแสลงและกินพืชสมุนไพร สำหรับสมุนไพรที่นำมาต้มดื่มและอาบระหว่างอยู่ไฟ เช่น เครือแมงกระเบี้ย,เครือควายด่อน เครือเขาโมก (หน้า 75)
โรคและความหมายของโรค
โรคที่กล่าวไว้เช่น ไข้หมากไม้หรือไข้รากสาด อาการมีตุ่มตามตัว ตำรับยาสมุนไพร เช่น รากเครือกระแด่ง(เครือหนองซุ่ม) รากมะขาม รากแมงลัก ฯลฯ วิธีปรุง นำมาฝนรวมกันผสมน้ำดื่ม ส่วนของแสลงเช่น ผลไม้ ไก่ หมู (หน้า 75 ดูตัวอย่างหน้า 75-88) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ตำนานลูกน้ำเต้าบุ้ง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทวดาพี่น้องจำนวน 5 องค์ตกลงกันว่าจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงชวนนางฟ้าไปด้วยอีก 5 องค์ ทั้งหมดได้เข้าไปอยู่ในลูกน้ำเต้าบุ้งแล้วลอยลงมาจากสวรรค์ลูกน้ำเต้ามาตกที่บริเวณภูเขา ทุ่งนาเตา ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกของเมืองแถง เมื่อลูกน้ำเต้าแตกเทวดาและนางฟ้าจึงเกิดเป็นมนุษย์ 5 ชาติพันธุ์ได้แก่ ข่าแจะ ไทยดำ ลาวพุงขาว ฮ่อ และแกว(ญวน)จากนั้นชายหญิงที่ออกจากลูกน้ำเต้าบุ้งได้ลงไปอาบน้ำในหนองน้ำศักดิ์สิทธิ์ คนที่ลงอาบน้ำก็จะทำให้รูปร่างหน้าตาดีปัญญาฉลาดเฉลียว ส้วนข่าแจะไม่อาบน้ำเพราะกลัวว่าจะหนาวผิวจึงดำคล้ำ สำหรับผู้ไทย ลาว ญวน ฮ่อ หลังจากอาบน้ำแล้วจึงทำให้มีผิวพรรณผุดผาดงดงาม (หน้า 41)
ข่าแจะออกจากลูกน้ำเต้าก่อนคนอื่นๆ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นพี่คนโต ชอบอยู่ป่าจึงไม่ยอมตั้งเมืองต่อมาจึงกลายเป็นทาสรับใช้ทำงานหนักลำเค็ญ ส่วนน้องๆ อีก 4 ชาติพันธุ์ก็ได้แบ่งดินแดนตั้งบ้านเมืองของตนเช่นเมืองหัวพันทั้งหก สิบสองจุไทย และเมืองแถง (หน้า 42) |
|
Folklore |
การแต่งกายของผู้ไทย
ผู้ชาย สวมกางเกงขาแคบ
ผู้หญิง สวมผ้าซินผมยาวแล้วมวยผมเอาไว้
การแต่งกายในพิธีศพนั้นจะต่างกันคือผู้ไทยดำจะสวมชุดดำ ส่วนผู้ไทยขาวจะแต่งกายด้วยชุดสีขาว (หน้า 43) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
สมุนไพร
ในพื้นที่ศึกษามีสมุนไพรที่ผู้เขียนยกตัวอย่างไว้ดังนี้
ตาไก้ ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 10-20 เมตร นำแก่น กิ่ง ตัดเป็น
ท่อนใช้ได้ทั้งสดและแห้งนำมาต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น คุณสมบัติเป็นยาระบาย ขับลม (หน้า 99)
หมูมุก เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1 เมตร นำรากมาบดผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
ใช้ทา รักษาโรคล่องแก้ว งูสวัด (หน้า 100)
พังคี ลักษณะเป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1 เมตร นำรากมาต้มรวมกับสมุนไพรอื่น
สรรพคุณขับลม (หน้า 101)
ตูมตัง เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-20 เมตรนำกิ่งและแก่นมาต้มสรรพคุณแก้
โรคเบาหวาน (หน้า 102)
ตับเต่า เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-20 เมตร ลำต้นสีดำ เปลือกชั้นในลักษณะสีแดง นำ
แก่นและกิ่งมาต้มเป็นยาแก้ท้องอืด (หน้า 103)
ตากวาง เป็นไม้เถาสูง10-20 เมตร นำเครือมาต้มสรรพคุณเป็นยาระบาย ถอน
พิษ (หน้า 104)
เปล้าน้อย เป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่ม นำรากมาต้มกินเป็นยาขับลม (หน้า 105)
เร่ว เป็นไม้ล้มลุกสูง 1-2 เมตร นำรากมาต้มทำเป็นยาขับลม (หน้า 106)
เกียงปืน เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 50 เมตร นำรากมาต้มกับสมุนไพรชนิดอื่น
รักษาโรคไต นิ่วในไต (หน้า 107)
ตั้งตุ่น เป็นไม้เถา เปลือกสีขาวเขียว นำรากมาต้มรักษากามโรค (หน้า 108)
กวางตื่น เป็นไม้เถาสูง 20-30 เมตร เปลือกสีแดง เนื้อในลำต้นสีเหลือง นำราก
มาต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่นกินเป็นยาขับลม (หน่า 109)
โป้งกิ่ว ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นกึ่งไม้พุ่ม สูง 5-10 เมตรเปลือกสีน้ำตาลใช้รากมา
ต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่นเป็นยาขับลม (หน้า 110)
ขมิ้นเครือ เป็นไม้เถาขนาดใหญ่สูง 20-30 เมตร เปลือกสีน้ำตาล ใช้ลำต้นหรือ
เครือนำมาต้มรวมกับสมุนไพรอื่นสรรพคุณรักษาโรคริดสีดวงลำไส้ (หน้า 111)
ช้างสาร เป็นไม้เถาขนาดใหญ่สูง 20-30 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเหลือง เนื้อในสี
เหลืองขาว การใช้จะนำลำต้นหรือเครือ นำมาต้มรวมกับสมุนไพรอื่นเป็นยารักษาโรคเบาหวาน (หน้า 112)
ปะดงเหลือง ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นสูง 10-20 เมตร เปลืกสีน้ำตาล เนื้อในสี
เหลืองแก่นดำ ใช้เปลือกนำมาต้มรวมกับสมุนไพรชนิดอื่น เป็นยาแก้ร้อนใน (หน้า 113)
ขี้มด เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-20 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแดง แก่นสีแดง นำแก่นมา
ต้มรวมกับสมุนไพรอื่น สรรพคุณรักษา โรคตกขาว โรคเอดส์ (หน้า 114)
ข่าโคม ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกสูง 1-2 เมตร ใบเรียวแหลมสีเขียว ใช้รากนำมาต้ม
รวมกับสมุนไพรอื่น ดื่มเป็นยาขับลม (หน้า 115)
ราชสีห์ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ใบรีแหลมสีเขียว ฝักคล้ายฝักถั่ว นำรากมาต้ม
หรือฝนดื่มรักษาโรคริดสีดวงลำไส้ (หน้า 116)
เครือเขาปอก ลักษณะเป็นไม้เถาขนาดใหญ่สูง 20-30 เมตรเปลือกสีแดง ใบรี
มนสีเขียว ใช้เครือและแก่นต้มรวมกับสมุนไพรอื่นดื่มเป็นยาขับลม (หน้า 117)
ปะดงขาว เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง 10-20 เมตร ใช้แก่นหรือกิ่งนำมาต้มรวม
กับสมุนไพรชนิดอื่นดื่มเป็นยารักษาโรคไข้หมากไม้ (หน้า 118) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ บ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งคล้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร (หน้าบทคัดย่อ)
ตาราง ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชสมุนไพรที่สำคัญ (หน้า 94-97)
ภาพ ตำแหน่งเส้นเลือดในการตรวจหาอาการป่วย(หน้า 67) ตาไก้ (หน้า 99)
หมูมุก (หน้า 100) พังคี (หน้า 101) ตูมตัง (หน้า 102)ตับเต่า (หน้า 103) ตากวาง
(หน้า 104) เปล้าน้อย (หน้า 105) เร่ว (หน้า 106) เกียงปืน (หน้า 107) ตั้งตุ่น (หน้า 108) กวางตื่น (หน้า 109) โป้งกิ่ว (หน้า 110) ขมิ้นเครือ (หน้า 111) ช้างสาร (หน้า 112) ปะดงเหลือง (หน้า 113) ขี้มด (หน้า 114) ข่าโคม (หน้า 115) ราชสีห์ (หน้า 116) เครือเขาปอก (หน้า 117) ปะดงขาว (หน้า 118) |
|
|