|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยใหญ่,วัฒนธรรมพื้นบ้าน, การคงอยู่, แม่ฮ่องสอน |
Author |
สุทัศน์ กันทะมา |
Title |
การคงอยู่ของวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
110 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เงื่อนไข ปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมไทยใหญ่คงอยู่คือ การเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ที่อยู่ในรูปของความเชื่อซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านพิธีกรรม จนกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ และมนุษย์กับมนุษย์ ศาสนาและความเชื่อได้ให้ความสำคัญของคำสอนโดยมีพิธีกรรมเป็นส่วนเชื่อมโยง ผ่านการกล่อมเกลาโดยชุมชน ทำให้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา เป็นการกระทำซ้ำจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง
ส่วนกลไกที่ทำให้วัฒนธรรมพื้นบ้านของชุมชนไทใหญ่คงอยู่ ประกอบด้วย ครอบครัวจะทำหน้าที่ถ่ายททอดภาษาพูด แบบแผน ความประพฤติตามวิถีชีวิตแก่ลูก ผุ้อาวุโสทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดพิธีกรรมต่างๆ พระทำหน้าที่ถ่ายทอดศีลธรรมและการศึกษา ผู้ชำนาญการถ่ายทอดภูมิปัญญาต่างๆ เช่น พิธีกรรม ความรู้ทางช่าง หัตถกรรม ผู้นำในชุมชนเป็นผู้จัดและสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน เครือญาติทำหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือในการทำพิธีกรรมต่างๆ วัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวไทยใหญ่ที่คงอยู่นั้น ไม่ได้คงอยู่เหมือนเช่นในอดีต มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของคุณค่าของวัฒนธรรมและรูปแบบ (หน้า ง-จ) |
|
Focus |
ศึกษาเงื่อนไข ปัจจัย และกลไกที่ทำให้วัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยใหญ่คงอยู่ (หน้า ง) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยใหญ่ (ชาวล้านนาเรียก “เงี้ยว” พม่าเรียก “ฉาน” หรือ “ชาน”)เป็นคำเรียกชื่อชาติพันธุ์โดยคนไทย แต่พวกเขาเรียกตัวเองว่า “คนไต” |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทยใหญ่มีภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาพูดคือ “ภาษาไต” คล้ายกับภาษาไทย ส่วนภาษาเขียน เรียกว่า “ลีกไต” ลักษณะคล้ายกับอักษรมอญและพม่า ภาษาไทยใหญ่มี 2 ระดับ คือระดับร้อยแก้ว และระดับร้อยกรอง ภาษาไทยใหญ่ไม่มีวรรณยุกต์กำกับ และสระบางรูปใช้แทนเสียงได้หลายคำ บางคำออกเสียงได้ถึง 15 เสียง (หน้า 47-48) ภาษาไทยใหญ่เป็นลักษณะคำโดด พยางค์เดียว หากมีคำหลายพยางค์จะนำคำโดดมาผสมกัน สำเนียงภาษาไทยใหญ่มีลักษณะคล้ายภาษาไทยลื้อ คือจะออกเสียงคล้ายๆกัน เช่น สระอัว ออกเสียงเป็นสระโอ สรอียออกเสียงเป็นสระเออ ตัว”ฟ” ออกเสียงเป็น ตัว “พ” เป็นต้น (หน้า31, 52) |
|
Study Period (Data Collection) |
สิงหาคม 2540 – เมษายน 2541 (หน้า 29) |
|
History of the Group and Community |
ไทยใหญ่ เป็นชื่อเรียกในภาษาไทย ชาวล้านนาเรียกว่า “เงี้ยว” พม่าเรียกว่า “ฉาน” หรือ “ชาน” แต่เรียกตนเองว่า “กนไต” เป็นชนชาติเก่าแก่ที่มีถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉานของประเทศพม่า ไทยใหญ่ที่อาศัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอนของประเทศไทย อพยพมาจากรัฐฉานในประเทศพม่า โดยมาปลูกสร้างบ้านเรือนเป็นหย่อมๆ เมื่อราวปี พ.ศ. 2374 ตรงกับรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในปี พ.ศ.2443 เจ้าอินทรวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ เห็นว่ามีความสำคัญ จึงก่อตั้งเป็นเมืองแม่ฮ่องสอนขึ้น และได้จัดระเบียบการปกครองเป็นหน่วยปกครองใหม่ เรียกว่า “บริเวณเชียงใหม่ตะวันตก” พ.ศ.2466 เปลี่ยนชื่อจากบริเวณเชียงใหม่ตะวันตก เป็น บริเวณพายัพเหนือ และเปลี่ยนมาเป็น”จังหวัดแม่ฮ่องสอน” ตามระบบการบริหารราชการแผ่นดินในปี พ.ศ.2476 จนปัจจุบัน
ไทยใหญ่บ้านขุนยวม ก่อตั้งเมื่อราวปี พ.ศ. 2390 เดิมเป็นชุมชนเล็กๆมี 20 หลังคาเรือน ต่อมาในปี พ.ศ. 2409 ชานกะเลและปู่ขุนโท้ะ ได้อพยพครอบครัวจากเมืองแม่ฮ่องสอนมาอยู่ที่บ้านขุนยวม เพื่อทำการค้าไม้สักกับชาวอังกฤษซึ่งมายึดครองประเทศพม่า ชาวบ้านจึงยกให้ชานกะเลเป็นผู้ปกครองหมู่บ้าน ส่วนปู่ขุนโท๊ะ เป็นผู้ช่วยเหลือ ชานกะเลสร้างความเจริญให้กับบ้านขุนยวม เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่จึงแต่งตั้งให้เป็นพญาสิงหนาทราชา ไปปกครองเมืองแม่ฮ่องสอน และแต่งตั้งปู่ขุนโท๊ะ เป็นพญาเสมาราชานุรักษ์ปกครองเมืองขุนยวมต่อไป พ.ศ.2427พญาสิงหนาทราชาถึงแก่กรรม ทางเมืองเชียงใหม่จึงแต่งตั้งเจ้านางเมี๊ยะ ภรรยาของพญาสิงหนาทราชา เป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอน โดยมีพญาเสนาราชานุรักษ์เป็นผู้ช่วยเหลือ และให้พญาพะก่าตองเป็นผู้ปกครองเมืองขุนยวม กระทั้งปี พ.ศ.2453 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองแม่ฮ่องสอน เมืองขุนยวม เมืองปาย และเมืองยวม(แม่สะเรียง) เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงกับมณฑลพายัพ ต่อมาได้ยกฐานะเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขึ้นต่อกระทรวงมหาดไทย เมืองขุนยวม เป็นอำเภอขุนยวม และแต่งตั้งให้ขุนเดชประชารักษ์เป็นนายอำเภอขุนยวมเป็นคนแรก โดยใช้หมู่บ้านขุนยวมเป็นสถานที่ตั้งอำเภอ และตั้งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลอำเภอ (หน้า 2,31-34) |
|
Settlement Pattern |
การเลือกทำเลที่ตั้งบ้านเรือนของไทยใหญ่บ้านขุนยวม โดยทั่วไปนิยมตั้งบ้านเรือนใกล้แหล่งน้ำ เนื่องจากต้องใช้น้ำเพื่อการเกษตร (หน้า 37) |
|
Demography |
หมู่บ้านขุนยวมมีประชากร 2,036 คน จำแนกเป็นชาย 1,566 คน และหญิง 1,470 คน รวม 726 หลังคาเรือน (หน้า 34) |
|
Economy |
ไทยใหญ่บ้านขุนยวมประกอบอาชีพทำนาเป็นหลัก โดยหลังจากทำนาจะปลูกกระเทียมและถั่วเหลืองสำหรับบริโภค ข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวจ้าว เนื่องจากไทยใหญ่บริโภคข้าวจ้าวเป็นหลัก นอกจากนี้มีการปลูกข้าวเหนียวและข้าวแสง(ข้าวกล่ำ)สำหรับทำขนม นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ ปลูกไม้ผลและค้าขาย ไม้ผลที่ปลูก อาทิ ต้นหมาก ขนุน มะม่วง มะขาม และมะพร้าว สำหรับบริโภคในครัวเรือน ส่วนการค้าขายนั้น ในอดีตจะซื้อของจากเชียงใหม่มาจำหน่ายในหมู่บ้าน เช่น ตะปู ผ้า เกลือ น้ำมันก๊าด ทองรูปพรรณ และวัสดุทางช่าง โดยแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินแถบ (เงินรูปี 1แถบ(เหรียญ) เท่ากับเงินไทยมูลค่า 5 บาท ) บ้างก็แลกเปลี่ยนด้วยข้าว ปัจจุบันสินค้าจะซื้อมาจากแม่ฮ่องสอน หรือเชียงใหม่ โดยนำรถส่วนตัวไปซื้อเพื่อมาจำหน่ายในหมู่บ้าน (หน้า37-39) |
|
Social Organization |
ครอบครัวไทยใหญ่เป็นครอบครัวใหญ่ที่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย อาศัยในบ้านเดียวกัน โดยฝ่ายชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงเป็นหลัก บ้างก็ได้รับแบ่งปันที่ดินจากครอบครัวของพ่อแม่ แล้วแยกไปประกอบอาชีพเลี้ยงครอบครัวของตน แต่ก็อยู่ในเขตหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงกับบ้านเดิม หรือภายในอาณาเขตบ้านเดิม
ไทยใหญ่บ้านขุนยวม มีเชื้อสายดั้งเดิมมาจากตระกูลเดียวกัน เช่น ตระกูลบุญพิทักษ์ ตระกูลนุชจิโน ตระกูลอุประ นับถือเครือญาติจากการแต่งงานโดยใช้นามสกุลฝ่ายชาย นอกจากนี้ยังมีการนับถือญาติโดยทางวัฒนธรรม คือ ไทยใหญ่จะมีการบวชเณร หากไม่มีบุตรชายก็จะขอเป็นเจ้าภาพบวชกับลูกชายของคนอื่น เรียกว่า พ่อข่าม แม่ข่าม สำหรับเด็กผู้ชายที่บวช เรียกว่า ลูกข่าม เมื่อสึกออกมาจะนับถือเรียก พ่อแม่ และลูกกัน
ในส่วนของกลุ่มทางสังคมนั้น มีทั้งกลุ่มที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ กลุ่มที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการ เช่นกลุ่มฌาปณกิจ ส่วนกลุ่มที่จัดตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มศรัทธาวัด และกลุ่มเหมืองฝาย กลุ่มแม่บ้าน เป็นกลุ่มแม่บ้านอายุ 20-45 ปี ทำหน้าที่ช่วยเหลือเวลามีงานบุญหรืองานประเพณีต่างๆของหมู่บ้าน กลุ่มศรัทธาวัด หรือ “ตะก่าจอง” เป็นกลุ่มที่จะไปวัดเพื่อฟังธรรมในวันพระ และจะนอนวัดในช่วงเข้าพรรษา เรียกว่า “การนอนจอง” ส่วนกลุ่มเหมืองฝาย จัดขึ้นเพื่อการจัดการเรื่องน้ำสำหรับการทำนา โดยจะมีหัวหน้ากลุ่มเรียกว่า “แก่ฝาย” ทำหน้าที่จัดสรรน้ำให้กับลูกน้องฝายโดยเท่าๆกัน (หน้า 40-42) |
|
Political Organization |
ในอดีตตั้งแต่สมัยที่ก่อตั้งเป็นเมืองขุนยวม ไทยใหญ่มีการปกครองโดยเรียกผู้ปกครองว่า “เจ้าฟ้า” หรือไทยใหญ่บางที่ เรียกว่า “ปู่แหง”(คล้ายกับตำแหน่งกำนันในปัจจุบัน) โดยมีผู้ช่วยสองคนคือ “ปู่ก๊าง”(คล้ายกับผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบัน) และมี “สล่าส่อ” ทำหน้าที่ป่าวประกาศต่างๆ การเลือกปู่แหง เดิมจะเลือกคนที่มีฐานะดีและมีความเหมาะสมกับการเป็นผู้นำในการปกครอง มีความยุติธรรม มีคนเคารพนับถือ เจ้าฟ้าคนสุดท้ายของบ้านขุนยวมคือ ท้าวคำนวณกิจประชากร เจ้าฟ้าจะมีรายได้จากการเก็บข้าวเปลือกครอบครัวละสองหลังต่อปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2453 บ้านขุนยวมมีระบบการปกครองขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทย มีนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านปกครอง โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกำนันคนแรกของ้านขุนยวมคือ นายคำนวน (ท้าวคำนวณกิจประชากร) กำนันคนปัจจุบันคือ นายอมร ศรีเมือง ส่วนผู้นำที่ไม่เป็นทางการของบ้านขุนยวม ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ชำนาญด้านต่างๆที่ให้การถ่ายทอดวัฒนธรรม โดยเฉพาะผู้นำทางพิธีกรรม ประเพณีด้านต่างๆ รวมถึงการซ่อมแซมบำรุงศาสนสถาน หรือหอเจ้าเมือง(หน้า 42) |
|
Belief System |
ไทยใหญ่นับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด โดยมีวัด (จอง) เป็นที่ประกอบศาสนพิธีและทำบุญ มีความเชื่อว่า วัดถือเป็นที่อาศัยของผู้มีบุญ เป็นหน่อเนื้อพระมหากษัตริย์ ดังนั้นการสร้างจึงต้องสร้างให้เหมือนกับพระราชวัง นอกจากนี้ไทยใหญ่ยังมีความเชื่อเรื่องผีเจ้าเมือง และเรื่องฤกษ์ยาม ไทยใหญ่ไม่มีการนับถือผีบ้าน มีแต่เพียงผีเจ้าเมืองเท่านั้น ไทยใหญ่เชื่อว่าผีเจ้าเมืองเป็นเทพยดาที่ปกปักรักษาหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ราวเดือนเมษายนของทุกปีจะต้องประกอบพิธีเลี้ยงผีเจ้าเมือง ณ บริเวณภายในหอเจ้าเมือง ที่สร้างแบบหลังคาซ้อนชั้น แต่ไม่วิจิตรพิสดารเท่าวัด ส่วนความเชื่อเรื่องฤกษ์ยามนั้น ไทยใหญ่เชื่อว่า ก่อนจะทำการมงคลใดๆ เช่น การปลูกเรือน แต่งงาน หรือขึ้นบ้านใหม่ จะต้องหาฤกษ์ยามที่ดีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว โดยจะไปหา “สล่า” เพื่อกำหนดฤกษ์ยามที่ดีให้ โดยจะเลือกทำงานมงคลในเดือนคู่ ยกเว้นเดือน 8 และเดือน10 เพราะเดือน 8 อยู่ในช่วงเข้าพรรษา จะไม่ทำการมงคลใดๆทั้งสิ้น ส่วนเดือน 10 (ไทยใหญ่ออกเสียงเป็น “ฉิบ”) ไม่เป็นมงคลเพราะชื่อเดือนหมายถึง ฉิบหาย นอกจากนี้ยังมีการกำหนดวันดีและวันไม่ดีในแต่ละเดือน เช่น เดือน 1 วันพฤหัสบดี กับวันเสาร์ เป็นวันเสีย ส่วนวันจันทร์กับวันศุกร์ เป็นวันดี เป็นต้น(หน้า 45,49-51)
การจัดงานศพ งานศพพระภิกษุมีการสวดพระอภิธรรม แสดงพระธรรมเทศนา และมีการถ่อมหลีกไต (ฟังธรรมไทยใหญ่) มีการทำปราสาทศพที่เรียกว่า “จองเม็ง” ขนาดใหญ่และสวยงาม มีล้อเลื่อนสี่ล้อ สำหรับลาก ในวันประชุมเพลิงจะเคลื่อนปราสาทศพสู่สุสานพระ (ซางแคงหมุนเจ้า) ซึ่งจะแยกจากสุสานของชาวบ้านทั่วไป เมื่อถึงเวลาประชุมเพลง ก็จะเผาทั้งปราสาท งานศพบุคคลทั่วไป จะคล้ายกับการจัดงานศพโดยทั่วไป แต่จะมีการถ่อมลีกไต หรือการฟังธรรมใหญ่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชาดกหรือเป็นนิทานธรรมมะ โดยก่อนเจเล(บัณฑิต ผู้มีความรู้ภาษาไทยใหญ่)จะอ่านลีก จะต้องสมาทานศีลห้า เมื่ออ่านจบจะมีการขอขมาโดยผู้ฟังขอขมาเจเล หากบุคคลที่ตาม เป็นที่เคารพของสมาชิกในชุมชน จะมีการจัดทำปอยเหลิม คล้ายกับจองเม็งของพระภิกษุ แต่จะแตกต่างกันที่ปอยเหลิมจะมีขนาดไม่ใหญ่โต สวยงามเท่า และไม่มีล้อหมุนอย่างจอมเม็ง (หน้า 55-58)
การกั๋นตอ คือการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อขอพรและขอขมาในสิ่งที่ล่วงเกิน โดยไทยใหญ่จะทำกั๋นตอ กับ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ก่อนวันไปทำบุญที่วัดหนึ่งวันทั้งนี้เพราะไทยใหญ่เชื่อว่าท่านเหล่านั้นเป็นพระองค์หนึ่งที่ได้เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอน ส่วนการกั๋นตอพระสงฆ์และเจ้าเมืองในหมู่บ้านจะทำเป็นอันดับท้ายสุดซึ่งจะต้องใช้น้ำส้มป่อยสำหรับกั๋นตอ (หน้า 61) |
|
Education and Socialization |
ไทยใหญ่จะอบรมสั่งสอนกันภายในครอบครัว ครอบครัวที่มีความรู้ทางช่างหรือด้านต่างๆ ตลอดจนภาษาไทยใหญ่นั้น ผู้เฒ่าผู้แก่จะสั่งสอนและสืบทอดให้กับลูกหลานของตน สมาชิกใหม่ในชุมชนจึงถูกกล่อมเกลาโดยชุมชนเองเพื่อให้สมาชิกใหม่ในชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนไทยใหญ่(หน้า 40,77)
ส่วนการเรียนการสอนในระบบโรงเรียน มีโรงเรียนสอนภาษาไทย เมื่อ พ.ศ. 2465 ชื่อว่า โรงเรียนบ้านขุนยวม สอนถึงชั้น ป.4 ในปี พ.ศ.2501 ได้จัดตั้งโรงเรียนขุนยวมเป็นแห่งที่สอง สอนถึงชั้น ป.7 สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่อมาสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ
ในปี พ.ศ. 2516 กรมสามัญศึกษา ได้เปิดโรงเรียนขุนยวมวิทยา ระยะแรกสอนเพียงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และขยายถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเมื่อ พ.ศ.2534 ปัจจุบันการจัดการศึกษาของหน่วยงานรัฐมีการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก โดยมีดรงพยาบาลขุนยวม สำนักงานพัฒนาชุมชน ศูนย์เด็กเล็กในวัดของกรมศาสนาที่วัดโพธาราม ซึ่งสอนเตรียมความพร้อมทางทักษะของร่างกาย ส่วนการศึกษานอกระบบนั้น ได้แก่ การศึกษาที่หน่วยงานรัฐดำเนินการจัด และการศึกษาของชุมชนผ่านวิถีชีวิต การศึกษาที่หน่วยงานรัฐดำเนินการจัด ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน อำเภอขุนยวม เมื่อปี พ.ศ. 2537 สอนผู้มีอายุ 14 ปีขึ้นไป โดยใช้หลักสูตรสายสามัญศึกษา ประเภททางไกล ระดับประถม ระดับมะยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
นอกจากนี้ยังมีการสอนวิชาชีพระยะสั้น โดยใช้วิทยากรท้องถิ่นเป็นผู้สอน เช่น การจักสาน การตัดเย็บผ้าไต การผลิตและถนอมอาหาร ส่วนการศึกษาของชุมชนผ่านวิถีชีวิตนั้น เนื่องจากไทยใหญ่ใช้ภาษาไตเป็นภาษาหลักสำหรับสื่อสาร ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาไต จึงเรียนรู้มาจากครอบครัวและภายในชุมชน (หน้า 46-47) ครอบครัวไทยใหญ่ที่ลูกชายจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว จะให้ไปบวชเรียนเพื่อศึกษาด้านภาษาไต เรียกว่า “บวชส่างลอง” และศึกษาพระธรรมวินัย (หน้า 76) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย เสื้อของผู้หญิงมีลักษณะคล้ายเสื้อของพม่า มีทั้งแขนสั้นและแขนยาว ป้ายจากซ้ายมาติดกระดุมด้านขวา ตามคอและชายเสื้อนิยมปักฉลุ ท่อนล่างนุ่งผ้าซิ่น ผู้ชายนิยมเสื้อสีดอกฝ้าย คอกลมผ่ากลาง ติดกระดุมผ้าแบบกระดุมจีน สวมกางเกงกว้างก้นหย่อน เมื่อออกนอกบ้าน ทั้งหญิงและชายจะสวมหมวกที่เรียกว่า “กุ๊บไต” ทำจากกาบไผ่หรือสานด้วยเส้นตอกเป็นปีกกว้างมียอดแหลม (หน้า 31-32)
การแต่งกายของชายสวมเสื้อ “เส้อแต๊กปุง” มีลักษณะคอกลมผ่ากลาง แขนยาว ติดกระดุมผ้าแบกระดุมจีน ลำตัวยาวถึงเอว มีกระเป๋าด้านข้างลำตัวข้างละใบ และมีกระเป๋าเล็กที่หน้าอกซ้ายหนึ่งใบ นุ่งทับกับเสื้อคอกลมผ่ากลาง แขนยาว มีกระดุมติดโดยตลอด กางเกงจะเป็นสีและใช้เนื้อผ้าแบบเดียวกับเสื้อ เป็นกางเกงขากว้าง ยาวถึงตาตุ่ม ก้นหย่อน คล้ายกางเกงสะดอของล้านนา ไม่มีกระเป๋า ไทยใหญ่เรียกว่า “ก๋นไต๋” หรือ “ก๋นห่งย่ง” เวลาออกจากบ้านจะมีผ้าโพกผม ส่วนการแต่งกายของหญิง สวมเสื้อ ที่เรียกว่า “เส้อกนญิง” ในอดีตมีลักษณะเป็นเป็นเสื้อคอกลม สาบเสื้ออยู่ด้านข้างซ้ายมาติดกระดุมด้านขวา มีทั้งแขนสั้นและแขนยาว ผ้าที่ใช้เป็นผ้าสีพื้น มีการปักฉลุด้วยด้ายเป็นลวดลายดอกไม้สีเดียวกับผ้าที่ใช้ตัดเย็บ ปักฉลุลายบริเวณคอ สาบเสื้อ และชายโดยรอบ ลำตัวยาวแค่เอว ท่อนล่างนุ่งซิ่นเป็นสีพื้น ไม่มีการต่อชายผ้าซิ่นด้วยการทอหรือปักชาย นอกจากเสื้อผ้าแล้วไทยใหญ่ทั้งหญิงและชายจะสวม “กุ๊บไต” มีลักษณะเดียวกังอบ มียอดแหลม ทรงกลมปีกกว้าง ทำด้วยไม้ไผ่สาน มีลวดลายในตัวหรือทำด้วยกาบไม้ไผ่ สำหรัสวมใส่เวลาออกนอกบ้าน (หน้า 53-55)
สถาปัตยกรรมประเภทศาสนสถานวัดในชุมชนบ้านขุนยวมมีลักษณะแบบสถาปัตยกรรมไต คือ หลังคาซ้อนกัน เรียกว่าสองคอสามชาย เชิงชายประดับด้วยปานซอย ไทยใหญ่เรียกว่า “เจตบุน” ส่วนอาคารที่มีสามคอจั่วและมีหลังคาซ้อนเป็นสี่ชาย ลักษณะคล้ายทรงปั้นหยา ไทยใหญ่เรียกว่า “ยอนแซก” ส่วนที่สูงไปกว่านั้นจะสร้างเป็นยอดปราสาท ซ้อนหลังคาขึ้นไปเป็น 5 หรือ 7 ชั้น ชายคาของหลังคาประดับด้วยสังกะสีแผ่นเรียเจาะฉลุลวดลาย หากลวดลายอยู่เหนือชายคาขึ้นด้านบนเรียกว่า “ปานถ่อง” แต่หากห้อยลงมาใต้ชายคา เรียกว่า “ปานซอย” ส่วนมุมหลังคาที่มาบรรจบกันจะฉลุสังกะสีเป็นปีกประกบกัน เรียกว่า “กะหลุ่งต่อง” อาคารหลักของวัด เรียกว่า “จอง”เป็นอาคารกึ่งโล่ง ยกพื้นสูง มีฝาสามด้านบนอาคารเป็นทั้ง วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิพระ โรงครัว หอฉัน และห้องน้ำ โดยจะจัดพื้นที่แยกส่วนสำหรับการใช้สอย ส่วนที่สูงที่สุดของพื้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป รองลงมาเป็นของพระสงฆ์ และส่วนที่ต่ำสุดเป็นของชาวบ้านทั่วไป
สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัย ไทยใหญ่เรียกบ้านว่า “เฮิน” มีลักษณะเป็นเรือนเครื่องผูก ใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น โดยเฉพาะไม้ไผ่ ส่วนหลังคามุงด้วยใบตองตึง (ใบพลวง) บ้านมีลักษระยกพื้นสุงประมาณ 2 เมตร หลังคาจั่ว ทำมุมชันและสูง มี 2 แบบ คือ “เฮินโหลงสองส่อง” เป็นบ้านหลังคาของทั้งสองหลังเชื่อมต่อกันด้วยรางริมตรงกลาง และมีส่วนประกอบอื่นคือ ชาน ครัว อาจรวมอยู่ในตัวเรือนหลังใดหลังหนึ่งหรือแยกครัวออกไปต่างหาก โดยมากจะเป็นบ้านของครอบครัวใหญ่ แบบที่สอง เรียกว่า “เฮินโหลงตอยเหลียว” คือบ้านที่มีหลังคาเดียว อาจมีชาน ครัว รวมอยู่ในเรือนหรือแยกออกต่างหาก บ้านทั้งสองแบบดังกล่าวมีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ทั้งนี้ขึ้นกับฐานะความเป็นอยู่ของเจ้าของเรือน ภายในเรือนมีการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ใช้สอย ได้แก่ ห้องนอน(ลุก) ห้องรับแขก(ห้องย่ามแขก) ครัว(ส่องไพ) ระเบียงหน้าบันได(หัวโข่งหมา) หิ้งหม้อน้ำ(เข่งน้ำ) หิ้งพระ(เข่งเจ้าพารา) บันได(ขึ้นไหล) สำหรับการใช้พื้นที่ส่วนใต้ถุนในส่วนที่ติดกับหิ้งพระนิยมต่อหลังคายื่นลงไปยกพื้นเป็นยุ้งข้าว(หยองข้าว) สำหรับเก็บข้าวเปลือก หากใครมีฐานะดีหรือมีบริเวณบ้านกว้าง ก็จะแยกออกไปต่างหาก (หน้า 49,58-60) |
|
Folklore |
การละเล่นนันทนาการของไทยใหญ่มีตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ การละเล่นของเด็ก เช่น ม้าโต้งต้าง ม้าก๊อบแก๊บ หมากกอน ตี่วิ่งไล่จับ ซ่อนหา ส่วนการละเล่นของผู้ใหญ่ เช่น การเล่นมะขี้ลุง(ตะกร้อ) หมากหนิม หมากข่าง หมากนิมโท โดยเอาลูกสะบ้ามาทอยแข่งกัน ใครทอยหรือดีดให้ลูกสะบ้าออกนอกเส้นเขตมากเป็นผู้ชนะ
การฟ้อนรำ หรือ “ก้า” ในภาษาไทยใหญ่ มีการฟ้อนรำรูปแบบต่างๆ เช่น “ก้าแลว” เป็นการฟ้อนดาบ “ก้าลาย” คือการฟ้อนรำที่ประยุกต์มาจากลีลาการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ”ก้าฆ้อน” (ค้อน แปลว่า กระบอง) คือการฟ้อนรำที่ประยุกต์มาจากการใช้กระบองเป็นอาวุธ “ก้ารูปสัตว์” คือการฟ้อนรำที่ผู้ฟ้อนรำแต่งกายเลียนแบบสัตว์ต่างๆทั้งจากของจริงและในนิยายของไทยใหญ่ เช่น รำกิงกะหร่า (กินรีหรือนางนก) กำเป้อ (ผีเสื้อ) รำโต (สิงห์โต) และรำกวาง การฟ้อนรำต่างๆนี้ นิยมแสดงกันในเหลินสิบเอ็ด นอกจากนี้ยังมีการฟ้อนรำชนิดต่างๆตามจังหวะดนตรี เช่น ฟ้อนรำตามจังหวะกลองก้นยาว เรียกว่า “ก้ากลองก้นยาว” ฟ้อนรำกลองมองเซิง เรียกว่า ก้ากลองมองเซิง การแสดงต่างๆเหล่านี้จะต้องประกอบไปด้วยจังหวะของ ฆ้อง กลอง และฉาบ เป็นสำคัญ ก้าแลว ก้าลาย และก้ารูปสัตว์ จะนิยมฟ้อนโดยเฉพาะในเหลินห้า และ เหลินสิบเอ็ด
นอกจากนี้ไทยใหญ่ยังมีการโต้กลอนสดเป็นภาษาไทยใหญ่ เรียกว่า “เฮดกวาม” คือการโต้คารมด้วยกลอนสดระหว่างชาย-หญิง จะนิยมเฮดกวามในยามค่ำของงานปอยส่างลอง หรืองานมงคลที่จัดที่บ้าน เช่น แต่งงาน และขึ้นบ้านใหม่ มีหลายทำนอง เช่น “ล่องคง” มีทำนองช้า จังหวะหวาน ใช้สรรเสริญยกย่องหรือเกี้ยวพาราสี เป็นต้น ในส่วนของงานประเพณีของไทยใหญ่บ้านขุนยวมนั้น มีแทบทุกเดือน ภาษาไทยใหญ่เรียกว่า “หย่าสี่สิบสองเหลิน”หรือ กำหนดการประเพณีประจำปี ซึ่งตรงกับคำว่า “ราศีสิบสองเดือน” โดยจะเน้นการทำบุญทำทานเป็นหลัก เช่น
เหลินเจี๋ยง(ตรงกับเดือนธันวาคม) มีการถวายข้าวใหม่ หรือ “ข้าวปุก” โดยจะนำข้าวเหนียวที่ออกใหม่มานึ่งตำให้ละเอียดคลุกกับงา นำมาจิ้มน้ำอ้อย สำหรับถวายพระ
เหลินก๋ำ(มกราคม) จะไม่ทำการมงคลใดๆ
เหลินสาม(กุมภาพันธ์) ตานก๋องโหลและตานข้าวหย่ากู๊ ตาลก๋องโหล (โหลแปลว่าฟืน) ไทยใหญ่แต่ละครัวเรือนจะหาไม้ฟืนไปถวายวัดเพื่อให้ลักษมา(ช่างไม้) ก่อแต่งให้เป็นรูปเจดีย์ ประดับด้วยกระดาษสีอย่างสวยงาม คืนหลังจากทำพิธีถวายกองโหล(ฟืน)แด่พระสงฆ์แล้ว จะจุดไฟเป็นพุทธบูชา ส่วนตานข้าวหย่ากู๊ คือนำข้าวเหนียวแดงนึ่ง กะทิ น้ำอ้อย งาคั่ว มะพร้าวขูดและถั่วลิสงต้มกวนผสมกัน สำหรับถวายพระสงฆ์ ส่วนที่เหลือจะนำใส่เกวียน ตั้งขบวนแห่แหนตีฆ้องกลองตามหมู่บ้าน จากนั้นก็ตักแจกจ่ายกันตามแต่ละครัวเรือน
เหลินสี่(มีนาคม) ปอยส่างลองหรือการบวชเณร การส่างลองจะต้องมีอย่างน้อยสามวัน วันที่หนึ่ง เรียกว่าวันแฮก หรือวันเริ่มงาน วันที่สอง เป็นพิธีแห่เครื่องไทยธรรม ไทยทาน เครื่องอัฏฐบริขาร และวันที่สาม เป็นวันบวช หรือวันบรรพชา เป็นพิธีทางศาสนา
เหลินห้า(เมษายน) มีเทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีสำคัญของไทยใหญ่ กินเวลานาน 1-2 สัปดาห์ ไทยใหญ่บ้านขุนยวมจะเล่นน้ำสงกรานต์ มีการถวายน้ำ ถวายดอกไม้ สรงน้ำพระพุทธรูปและพระสงฆ์ ทำขนมไปทำบุญผู้เฒ่าผู้แก่และพระสงฆ์ เพื่อขอให้พ้นจากบาปและได้รับความสุขความเจริญ
นอกจากนี้ยังประกอบพิธีเลี้ยงผีเจ้าเมืองปีละ 2 ครั้ง คือช่วงเหลินห้า หลังเทศกาลสงกรานต์ และเหลินสิบเอ็ด หลังถวายจองพารา (จอง แปลว่า วัดหรือปราสาท พารา แปลว่าพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้า) เป็นต้น (หน้า 44-45,62-71) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในอดีต มีม้งจากดอยปางอุ๋ง และดอยแม่อูคอ มาซื้อข้าวถึงบ้าน โดยม้งจะนำม้ามาต่างเอง นอกจากนี้ยังมีการค้าขายกับคนพม่า มีการซื้อน้ำมันงา ปลาแห้ง กุ้งแห้ง และเพชรพลอยต่างๆจากพม่าไปจำหน่ายที่เชียงใหม่ และซื้อของจากเชียงใหม่กลับมาขายที่บ้านขุนยวม (หน้า 39) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ในอดีต หากครอบครัวใดไม่มีบุตรชาย ก็จะขอเป็นเจ้าภาพบวชกับลูกชายของคนอื่น เรียกว่า พ่อข่าม แม่ข่าม สำหรับเด็กผู้ชายที่บวช เรียกว่า ลูกข่าม เมื่อสึกออกมาจะนับถือเรียก พ่อแม่ และลูกกัน แต่ปัจจุบัน หากมีการบวชใหม่จะไม่มีการรับเป็นพ่อข่าม แม่ข่ามกัน นอกจากจะเป็นญาติในวงศ์ตระกูลเดียวกันเท่านั้น (หน้า 40)
ปัจจุบันไทยใหญ่บ้านขุนยวม คนหนุ่มในชุมชนไม่แต่งกายด้วยชุดไทยใหญ่นอกจากในพิธีบวชส่างลอง แต่ก็ไม่ได้ใส่ทั้งเสื้อและกางเกง (หน้า 54) |
|
Map/Illustration |
แผนผัง
- อาณาบริเวณของชุมชนบ้านขุนยวม (หน้า 35)
รูปภาพ
- การแต่งกายของชาวไทยใหญ่ (หน้า 113)
- การจัดงานศพ (หน้า 114)
- สถาปัตยกรรม (หน้า 115)
- ประเพณีพิธีกรรม (หน้า 116)
- การละเล่น (หน้า 117) |
|
|