|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง การเมืองการปกครอง ความมั่นคง อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ภาคกลาง |
Author |
ชัชย์ รัตนสมบูรณ์ |
Title |
ชาวเขา เผ่าแม้วกับความมั่นคงภาคกลาง |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
59 |
Year |
2518 |
Source |
วิทยาลัยการทัพบก |
Abstract |
การศึกษาเรื่องของชาวเขาเผ่าแม้วกับความมั่นคงในภาคกลางของประเทศไทย
มีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบว่า ชาวเขาเผ่าแม้วทางภาคเหนือของไทยได้อพยพลงมาสู่ภาคกลางเฉพาะในเขตจังหวัดนครสวรรค์ติดต่อกับจังหวัดอุทัยธานีและกำแพงเพชรมีเหตุมาจากความคับแค้นในเรื่องการประกอบอาชีพ ขาดที่ทำมาหากิน ความยากจน ถูกกดขี่หรืออรบกวนจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ ไม่ได้รับความคุ้มครองและเหลียวแลจากทางการ ขาดการศึกษา ไม่ได้รับคำชี้แจงที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เป็นผลให้ชาวเขาเผ่าแม้วคิดแต่จะอพยพไปอยู่ในถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ ไม่คิดถึงผลเสียหายที่เกิดขึ้นแก่คนไทยบนพื้นราบ
รัฐบาลจะได้พยายามดำเนินการชี้แจงหรือทำการพัฒนาในเรื่องสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้ชาวเขาเผ่าแม้วคิดจะตั้งหมู่บ้านให้ถาวร หรือทำให้ชาวเขาเผ่าแม้วมีสิทธิเสรีเช่นเดียวกับคนไทยพื้นราบ |
|
Focus |
ศึกษาเรื่องของชาวเขาเผ่าแม้วกับความมั่นคงในภาคกลางของประเทศไทย
โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบว่า ชาวเขาเผ่าแม้วได้อพยพลงมาสู่ภาคกลางของไทยเฉพาะในเขตจังหวัดนครสวรรค์ ติดต่อกับจังหวัดอุทัยธานีและกำแพงเพชรนั้น ด้วยเหตุใดจึงอพยพลงมาสู่ภาคกลางของไทยโดยอาศัยในป่าทึบ ไม่อยู่บนภูเขาสูงเหมือนภาคเหนือของไทย(หน้า ง) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
แม้วมีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน แม้วพูดภาษาจีนได้ดี เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับจีน โดยเฉพาะจีนยูนนาน แต่ไม่นิยมเขียนภาษาแม้วด้วยอักษรจีนเช่นเย้า แม้วทุกกลุ่มมีภาษาพูดแบบเดียวกันแต่มีความผิดเพี้ยนแตกต่างกันบ้านในแต่ละกลุ่ม
(หน้า 15) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แม้ว เป็นสาขาหนึ่งของชนชาติจีน มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 4,000 ปี เล่ากันว่าเดิมแม้วมีภูมิลำเนาบนเขาทางทิศใต้ของมองโกเลีย ต่อมาเคลื่อนย้ายเข้าบริเวณตอนกลางของประเทศจีน มีอาณาจักรและมีกษัตริย์ปกครองตนเอง แม้วได้ต่อสู่กับจีนตั้งแต่ศตวรรษแรกของประเทศจีน บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำฮวน แต่แม้วสู้ไม่ได้ จึงต้องอพยพอยู่เสมอ โดยต้องถอยจากมณฑลไกวเจาและมณฑลยูนนานลงมาทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต่อมาได้กระจัดกระจายสู่เขตเวียดนามเหนือ ประเทศลาวตอนกลางและตอนเหนือ รัฐฉานของสหภาพพม่าและในประเทศไทย
แม้วในประเทศไทยส่วนใหญ่อพยพมาจากประเทศลาวและสหภาพพม่า อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย อาทิ ตอนใต้ของดอยอินทนนท์ ทางใต้ของจังหวัดตาก จังหวัดแพร่ และตอนเหนือของจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย กำแพงเพชร อุทัยธานี และจังหวัดนครสวรรค์ สำหรับแม้วในเขตจังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์และกำแพงเพชร อพยพมาจากหลายทาง เช่น หากมาจากอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก จะใช้วิธีการเดินเท้า หากมาจากจังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่านก็จะเหมารถยนต์เพื่อเดินทางมา ลักษณะสภาพพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นป่าซึ่งไม่ได้ถูกทำลายมาก่อน ทำการเพาะปลูกได้ผลดี อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองและคนไทยพื้นที่ราบเท่าใดนัก (หน้า 27-28)
การอพยพแม้วเมื่อปี พ.ศ.2517 ได้อพยพแม้วจากบ้านม่วงสามพัน และบ้านแม่ระฆัง ไปยังบ้านคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 86คน และมีการอพยพชาวเขาที่มาจากอำเภองาว อำเภอแจ้ห่ม อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง และอำเภอปง จังหวัดเชียงราย กลับภูมิลำเนาเดิม 283 คน และอพยพแม้วจากบ้านแม่ระมังอำเภออุ้มผาง จังหวัดตากไปยังบ้านคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร 233 คน (หน้า 42-44) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งหมู่บ้าน ตั้งหมู่บ้านบนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 5,000 ฟุตขึ้นไป ที่ตั้งหมู่บ้านมักจะลาดลงมาจากยอดเขา บริเวณหลืบเขาที่ไม่ชันนัก และอยู่ใกล้ต้นน้ำลำธารที่สามารถใช้น้ำได้อย่างสะดวก (หน้า 11-12)
การสร้างบ้านมักปลูกเรือนติดกับพื้นดิน ยกสูงเฉพาะที่นอนเท่านั้น ฝาเรือนใช้ไม้ฟากตั้ง พวกฐานะดีจะใช้ฝาไม้กระดาน หลังคาใช้ไม้ไผ่ผ่าครึ่งเป็นทางยาวเลาะข้อออกวางประกบกันโดยคว่ำและหงายสลับกัน บ้างก็มุงด้วยใบตองตึง ภายในบ้านมีเตาไฟอยู่กลางบ้านสำหรับผิงไฟ รอบเตาไฟใช้เป็นที่รับรองแขก มีครกตำข้าว ที่เก็บข้าวไร่ ข้าวโพดและเครื่องมือเพาะปลูก นอกจากนี้ยังมีแท่นบูชาดวงวิญญาณของบรรพบุรุษหรือผีเรือนอยู่ข้างฝา กลางเรือน (หน้า 12) |
|
Demography |
แม้วที่อาศัยในประเทศไทยมีประมาณ 53,031 คน(หน้า 11)
แม้วในประเทศไทยอาจแบ่งเป็นพวกใหญ่ๆคือ แม้วขาว(White Mea) แม้วน้ำเงิน (Blue Mea) และแม้วกัวมบา (Gua M’ba Mea) (หน้า 10-11)
|
|
Social Organization |
การแต่งงาน ชอบร้องเพลงเกี้ยวพาราสีกัน โดยต้องไปคุยเกี้ยวพาราสีทางชู้สาวในบ้านเรือนของหญิงสาว ซึ่งไม่ถือว่าผิดผี หญิงจะออกไปมีความสุขกับชายใดก็ได้ตามแต่ความสมัครใจ เมื่อฝ่ายหญิงตั้งท้องจะแจ้งให้ชายหนุ่มทราบและบอกบิดามารดาของตนให้ไปบอก บิดามารดาของฝ่ายชายมาจัดการสู่ขอตามประเพณี การแต่งงานจัดที่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อบุตรสาวแต่งงานออกจากบ้านไป ถือเป็นบุตรของคนอื่น โดยตัดขาดจากการเป็นบิดา มารดา และบุตรต่อกัน โดยไปรักนับถือบิดามารดาของฝ่ายชายแทน ภรรยาทำงานทุกชนิดที่เป็นหน้าที่ของหญิง หากหากินไม่พอเลี้ยงครอบครัวหรือไม่มีบุตรสืบสกุล สามีสามารถหาภรรยาเพิ่ม เพื่อช่วยภรรยาคนแรกทำงาน บางคนมีภรรยา 4-5 คน โดยภรรยาหลวงกับภรรยาน้อยจะอยู่กันอย่างญาติพี่น้อง ไม่มีการทะเลาะกัน นอกจากนี้ หญิงสาวแม้วจะไม่แต่งงานกับชาวเขาเผ่าอื่น (หน้า 14) |
|
Political Organization |
เดิมชาวแม้วอพยพอยู่ในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกของไทย ต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดนครสรรค์ กำแพงเพชร และสุโขทัย พื้นที่ที่แม้วอพยพเป้นเขตพื้นที่ป่าที่สำคัญ ทำให้พื้นที่ป่าบางส่วนถูกทำลาย ประกอบกับกับมีแนวโน้มที่ชาวเขาเผ่าม้งจะเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ รัฐจึงมีนโยบายในการดำเนินการอพยพชาวเขาเผ่าม้งเพื่อคววามมั่นคงของรัฐไทย
ความสัมพันธ์ของแม้วกับรัฐ มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ
ด้านความขัดแย้ง เช่น ชาวเขาเผ่าแม้วที่ไม่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ทางภาคเหนือที่อพยพมาสู่ภาคกลางนั้น บางคนเคยร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลมาแล้ว (หน้า 26) ชาวเขาทุกเผ่ารวมถึงแม้ว จะมีความรู้สึกว่าตนต่ำต้อยยากจน ไร้การศึกษา เจ็บป่วยบ่อยและขาดการรักษาพยาบาล จึงมีความรู้สึกว่าถูกคนไทยพื้นที่ราบเอารัดเอาเปรียบในการติดต่อค้าขาย ทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐห้ามปลูกฝิ่น และถูกจับกุมเมื่อสูบฝิ่นหรือมีฝิ่นไว้ในครอบครอง มีการเรียกเก็บภาษีต่างๆ ซึ่งชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องภาษี แม้แต่โค่นต้นไม้เพื่อปลูกบ้านก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นช่องว่างทางสังคมระหว่างชาวเขากับคนของรัฐบาลและคนไทยพื้นราบที่มีความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในกรณีที่แม้วไม่อพยพที่ทำกินตามที่ทางรัฐมีคำสั่ง(หน้า 32, 34)
ด้านความร่วมมือ เช่น ทางรัฐบาลมีโครงการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาสภาพเศรษฐกิจแก่ชาวเขาเผ่าแม้วให้มีมาตรฐานสูงขึ้น(หน้า 38, 50) |
|
Belief System |
การนับถือผี นับถือผีอย่างเคร่งครัด มีเพียงบางคนที่ถือธรรมเนียมจีน หรือนับถือคริสเตียน ผีที่แม้วนับถือมี 7 ชนิด คือ ผีฟ้า ผีเรือน ผีป่า ผีไร่ ผีสตุ่ง ผีกระสือ และผีดอยหลวง ผีฟ้า คือ ผู้สร้างแผ่นดิน มนุษย์และสัตว์ มีอำนาจ สามารถบันดาลให้เกิดหรือตายได้ ผีเรือน คือดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ผีป่า เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หมอผีประจำหมู่บ้านจะเสี่ยงทายว่าถูกผีป่าทำร้ายให้เจ็บป่วย ญาติผู้ป่วยต้องฆ่าไก่ หมู และสุนัขเซ่นผี ผีไร่ เป็นผีประจำไร่ เวลาถางป่าทำไร่จะต้องเซ่นผีด้วยไก่ และหากพืชไร่อุดมสมบูรณ์จะต้องตอบแทนผีไร่ด้วยการเซ่นไก่และหมูผีสตุ่ง เป็นผีที่ชอบทำร้ายเด็กเล็กให้เจ็บป่วย ผีกระสือ ชอบหากินในเวลากลางคืนตามป่าและลำห้วย ลักษณะเป็นดวงไฟล่องลอยในอากาศแล้วดับวูบลงและจะไปโผล่ที่ใหม่ ส่วน ผีดอย เป็นผีที่ร้ายกาจมาก ผู้ใดถูกผีดอยหลวงทำร้าย จะมีโอกาสรอดยาก นอกจากจะฆ่าสัตว์ใหญ่หลายตัวเป็นเครื่องเซ่น (หน้า 13-14)
การตาย เมื่อมีผู้ตายในบ้านเรือนจะมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่ ถ้าผู้ตายเป็นคนสำคัญในครอบครัว บุตรและภรรยาจะต้องซื้อโคหรือกระบือมาเซ่นดวงวิญญาณ และตั้งศพไว้ 6 วัน หากมีฐานะยากจนจะซื้อเพียงหมูและไก่มาเซ่นดวงวิญญาณ และตั้งศพไว้เพียง 2 วันก่อนที่จะนำไปฝัง
งานปีใหม่ เรียกว่า “งานดินฟ้า” หรือ “งานกินวอ” มีกำหนด 3-7 วัน โดยหมอผีประจำหมู่บ้านเป็นผู้กำหนด ซึ่งมักจะตรงกับช่วงตรุษจีน ทุกบ้านจะฆ่าไก่มากกว่า 10 ตัว หมู 1 ตัว เพื่อเซ่นผีเรือน ก่อนวันขึ้นปีใหม่
วันขึ้นปีใหม่ผู้คนจะแต่งกายที่ดูดีที่สุด มีการเล่นลูกข่าง และโยนลูกช่วง ชายหนุ่มหญิงสาวร้องเพลงรักโต้ตอบกัน มีการเลี้ยงสุรา อาหารแก่ผู้ไปเยี่ยมทำบุญทานเสื้อผ้าให้ผู้ล่วงลับ โดยเอากิ่งไม้ปักเป็นราวแล้วเอาเสื้อผ้าแขวนไว้ (หน้า 14-15) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย แม้วทั้งสามเผ่า มีภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเป็นอยู่ที่คล้ายกันมาก โดยแต่ละเผ่ามีความต่างกันด้านการแต่งกายสีดำเป็นสีที่ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของทั้งหญิงและชายมากกว่าสีขาวและดอกลวดลาย
เสื้อของผู้ชายตัดเย็บรัดตัว แขนยาวถึงข้อมือ พวกแม้วลายไม่ติดแถบผ้าสีขาวที่ปลายแขนเสื้อ แต่แม้วขาวบางคนติดแถบสีขาว 2-3 นิ้ว ปลายแขนเสื้อ ตัวเสื้อของแม้วดำยาวลงมาจากต้นคอถึงร่องกลางหน้าอก เปิดให้เห็นท้อง ชาวอาวุโสไม่เปิดหน้าท้อง แต่เว้นชายพกกางเกงขนาดสองนิ้วไว้ ส่วนชายแม้วลายไม่เปิดเสื้อให้เห็นท้องอย่างแม้วดำและแม้วขาว เสื้อของผู้ชายแม้วผ่าอกข้างจากต้นคอมาทางเอวซ้ายมากกว่าเอวขวา นุ่งกางเกงจีนยาวถึงข้อเท้า มีเป้ากว้าง ตัดหลวมๆ แม้วหนุ่มชอบคาดเอวด้วยผ้าแดงผืนใหญ่หรือดอกลวดลาย และนิยมสวมหมวกกลมรูปร่างคล้ายกาบมะพร้าว ทำด้วยผ้าสีดำ มีภู่แดงอยู่บนยอดหมวก สวมกำไลคอหรือห่วงคอทำด้วยโลหะเงิน สำหรับหญิงแม้ว จะเกล้าผมสูง ถอนไรผมบริเวณหน้าผากและข้างหู สวมหมวกรูปทรงกระสอบอย่างเดียวกับผู้ชาย แต่ใช้ผ้าสีดำ ดอกลวดลาย หรือริ้ว ตั้งตรงขึ้นไปหลายสี สวมเสื้อแขนยาวถึงข้อมือ ข้างหลังมีปกผ้าสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 1 คืบปิด ใส่กำไลแขนซ้อนกันหลายวง เสื้อยาว ไม่เปิดท้องอวดพุงอย่างผู้ชาย ผ่าอกกลางแล้วทับซ้อนไขว้กันเล็กน้อยโดยมีเข็มกลัดที่หน้าอก สำหรับกระโปรงของหญิงแม้ว ทอด้วยผ้าป่านชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ปาง” จับจีบโดยรอบ ดอกลวดลายที่เห็นบนกระโปรง ผ้าปิดใต้เอวหรือหมวกผ้าทรงกระสอบนั้น ส่วนใหญ่ใช้ย้อมสีเป็นดอกลวดลาย มีเพียงส่วนน้อยที่ปักลาย
(หน้า 12-13) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Critic Issues |
ผู้เขียนได้วิพากษ์ปัญหาการอพยพชาวเขาเผ่าแม้ง โดยเห็นว่า ปัญหาการอพยพของชาวเขาที่รุกล้ำในเขตพื้นที่ป่าและการเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์เสนอให้มีการแก้ไขโดยเร่งให้สัญชาติไทยแก่ชาวเขาเผ่าแม้วเพื่อสร้างความเสมอภาคและสร้างความเป็นความพลเมืองไทยให้มีที่อยู่อยู่อาศัยเพื่อจะได้มีความรักและหวงแหนในที่อยู่ไม่เร่ร่อนอพยพ เมื่อชาวเขาได้รับสิทธิพื้นฐานเป็นพลเมืองไทยแล้ว มีถิ่นที่อยู่ถาวร ได้รับการศึกษาในโรงเรียน ก็จะลดปัญหาการอพยพรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน การแทรกแซงจากคอมมิวนิสต์ได้ |
|
|