สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ,วิถีชีวิต, ตาก
Author ชลกาญจน์ ฮาซันนารี
Title การศึกษาสภาพการดำรงชีวิตของเผ่ากะเหรี่ยง กรณีศึกษาบ้านคำหวัน ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
Document Type ปริญญานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 78 Year 2538
Source สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

สารนิพนธ์ฉบับนี้เป็นการเสนอภาพรวมทั่วไปถึงการดำรงชีวิตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง  บ้านคำหวัน  ที่มีการสืบทอด  วัฒนธรรม  ขนบธรรมเนียมประเพณีจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะยึดเหนี่ยวให้ชุมชนดำรงมาจนถึงปัจจุบันนี้
      
บ้านคำหวันตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน  การคมนาคมไม่สะดวก  ประชากรเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ  มีจำนวนทั้งหมด 267 คน  จำนวน 51ครัวเรือน  มีอาชีพหลักคือการเกษตร ปลูกข้าวเป็นหลัก  ผลผลิตทั้งหมดปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน  อาชีพรองได้แก่  การหาของป่า รับจ้าง และค้าขาย  ชาวบ้านมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภาษา  เวลาติดต่อกับสื่อสารกับโลกภายนอก  อีกทั้งภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาที่ยากแก่การเข้าใจ จึงทำให้มีปัญหามาก  ชาวบ้านยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดแคลนในด้านต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง  แต่ในขณะเดียวกันชุมชนก็ยังดำรงอยู่มาได้นับร้อยปี

Focus

ศึกษาการดำเนินชีวิตของชุมชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และสภาพทั่วไปของชุมชน  เศรษฐกิจ  สังคม  ตลอดจนการดำรงชีวิตลักษณะกว้างๆ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ  ระบบครอบครัว  ลักษณะบ้านเรือน  ความเชื่อ และประเพณีของชุมชนบ้านคำหวัน  หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ตื่น  อำเภอแม่ระมาด  จังหวัดตาก

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยงสะกอ บ้านคำหวัน  ตำบลแม่ตื่น   อำเภอแม่ระมาด  จังหวัดตาก (หน้า 10)

Study Period (Data Collection)

กันยายน2537-มีนาคม 2538(คำนำ)

History of the Group and Community

ประวัติการอพยพกะเหรี่ยงเข้ามายังดินแดนแถบนี้ก่อนชนชาติไทย โดยอพยพเข้ามาภายหลังกลุ่มชนตระกูลมอญ-เขมร  อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกในเขตพม่ามากกว่าในเขตไทย กะเหรี่ยงอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในเขตไทยครั้งใหญ่คือ เมื่อครั้งพระเจ้าอลองพญาทำสงครามกับมอญ โดยกะเหรี่ยงให้ความช่วยเหลือมอญ และเมื่ออังกฤษยึดพม่าตอนเหนือในปี พ.ศ.2428  กะเหรี่ยงไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษและถูกอังกฤษปราบปราม(หน้า 9)
      
ประวัติหมู่บ้านจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุในหมู่บ้าน  หมู่บ้านคำหวัน ก่อตั้งมานานประมาณร้อยกว่าปีแล้ว  โดยนายคำหวัน  ใหม่โม่ง อดีตกำนันแม่ตื่น เป็นผู้ก่อตั้ง (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2519) นายคำหวันได้อพยพมาจากจังหวัดลำพูน  เขาเห็นว่า ลำห้วยแม่ตื่นมีน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำนา จึงจับจองที่ดินตั้งถิ่นฐาน ต่อมากะเหรี่ยงบ้านใกล้เคียง ได้ย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้น จึงกลายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ (หน้า 9-10)

Settlement Pattern

การตั้งหมู่บ้านและเรือน  กะเหรี่ยงบ้านคำหวัน  ตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มโดยปลูกเรือนเรียงเป็นแนวตรง ไม่มีรั้วกั้นเขตบ้าน ระหว่างบ้านแต่ละหลังเป็นสวนขนาดเล็ก มียุ้งข้าวปลูกอยู่ในบริเวณเรือนอาศัย ลักษณะบ้านเป็นเรือนยกพื้นสูง 6-7ฟุตเสาเรือนเป็นไม้ทั้งต้น พื้นเรือนและฝาผนังเป็นฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบตองตึงเป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 21 หลังคาเรือนที่มุงด้วยสังกะสี ตัวเรือนแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนชานบ้านมีบันไดขึ้นลง และส่วนภายในตัวเรือนเป็นห้องโถงไม่มีหน้าต่าง ตรงกลางเป็นที่ตั้งเตาไฟสำหรับทำอาหาร เหนือเตาไฟมีหิ้งไม้ไผ่สำหรับเก็บสิ่งของ(หน้า 22-23, 25)

Demography

ประชากรบ้านคำหวัน มีทั้งหมด 51 หลังคาเรือน  60 ครอบครัว มีทั้งหมด 267 คน จำแนกเป็นชาย 126 คน และหญิง 141 คน   ขนาดของครอบครัว แบ่งได้ 3 ขนาด คือ มีสมาชิก 8 คนขึ้นไป 8 ครัวเรือน 4-7 คน 36 ครัวเรือน และ 1-3 คน จำนวน 7 ครัวเรือน ในจำนวนประชากรทั้งหมด จำแนกเป็นช่วงอายุ  อายุ 1-5 ปี มี 17คน  6-13 ปี มี 37 คน  14-60 ปี มี 70 คน และ 61 ปีขึ้นไป มี 2 คน (หน้า10,17,19-20)

Economy

กะเหรี่ยงบ้านคำหวันมีความเป็นอยู่ที่แบบยังชีพ ทุกครัวเรือนปลูกข้าวไว้กินเอง มีรายได้เงินสดจากการทำนา เก็บของป่า รับจ้างและค้าขาย ชาวบ้านมีฐานะยากจน ส่วนใหญ่มีรายได้รวมต่อปีจำกว่า 10,000 บาท มีเพียง 2 ครัวเรือนที่มีรายได้รวมต่อไป 50,000 บาทขึ้นไป (หน้า55-56)
 
การใช้ที่ดินชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวน ลักษณะการใช้ที่ดินเป็นแบบหมุนเวียนที่ดินเพาะปลูกเมื่อพบพื้นที่เหมาะสมก็จะถางหญ้าและตัดไม้เล็กๆ ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่จะตัดกิ่งก้านออกโดยไม่โค่นต้น เพื่อจะได้แตกกิ่งก้านได้เหมือนเดิมหลังฤดูเพาะปลูก  ในฤดูถัดไป ชาวบ้านจะหาพื้นที่ใหม่และปล่อยให้ที่ดินเดิมพักฟื้น 3-5 ปี จึงกลับมาใช้ที่ดินนี้(หน้า 58) ทั้งนี้ชาวบ้านมีเกณฑ์การเลือกใช้ที่ดินเพาะปลูกดังนี้

1.         จำนวนข้าวที่คาดว่าจะต้องใช้บริโภคในรอบหนึ่งปี
2.         ความสามารถในการผลิตของครอบครัว ถ้าเป็นครอบครัวที่มีคนมากก็สามารถทำไร่ได้ในเนื้อที่มากกว่าครอบครัวที่มีคนน้อย
3.         คุณภาพที่ดินที่เลือก ที่ดินที่ทำประโยชน์ในรอบปี การเกษตรทุกแห่งไม่เคยมีคุณภาพบริบูรณ์ เนื้อดิน ความลาดชัน และชนิดพันธุ์ไม้ อาจมีผลต่อการผลิต
4.         ถ้าไร่ของครอบครัวหนึ่งอยู่ชิดกับอีกครอบครัวหนึ่ง การขยายไร่ก็ไม่สามารถทำได้ ถึงแม้ว่าจะต้องการทำเช่นนั้น (หน้า 68)

Social Organization

การเกี้ยวสาวและการแต่งงาน       หนุ่มสาวกะเหรี่ยงสามารถเลือกคู่ครองได้ตามความสมัครใจ ส่วนใหญ่มีโอกาสพบและทำความรู้จักกันในงานประเพณีต่างๆ และการลงแขกเกี่ยวข้าว  เนื่องจากเป็นโอกาสที่ได้แสดงความสามารถให้ฝ่ายหญิงเห็น      เช่น การร้องเพลงซอในงานประเพณีนั้นๆ      ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่นำมาพิจารณาเพื่อเลือกคู่ครอง   นอกจากนี้ ชายหนุ่มกะเหรี่ยงสามารถไปนั่งพูดคุยที่บ้านฝ่ายหญิงจนค่ำได้    กะเหรี่ยงนิยมแต่งงานในหมู่บ้านกะเหรี่ยงด้วยกัน          ไม่นิยมแต่งงานกับคนพื้นเมือง ไม่มีการหย่าร้าง และนิยมการครองเรือนแบบสามีภรรยาเดียว(หน้า 41-42)
    
การจัดงานแต่งงาน  กรณีหนุ่มสาวได้เสียกันก่อนการแต่งงานในพิธีการจะไม่มีงานสนุกสนานรื่นเริงมากนัก แต่จะทำเป็นพิธีเท่านั้น และบรรดาหนุ่มสาวที่ยังบริสุทธิ์จะไม่ยอมเข้าร่วมพิธีด้วย เนื่องจากผิดขนบธรรมเนียมประเพณี
สำหรับหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้เสียกันก่อนวันแต่งงาน  ฝ่ายชายจะแจ้งให้ผู้อาวุโส 2 คนไปสู่ขอหญิงสาวจากบิดามารดาฝ่ายหญิง เป็นครั้งแรกก่อน     การสู่ขอครั้งแรก ฝ่ายชายจะส่งคนไปสามคน คือผู้อาวุโสชาย สองคนและชายหนุ่มโสดหนึ่งคนซึ่งเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันกับเจ้าบ่าว พากันไปนัดหมายกำหนดการแต่งงาน  การไปสู่ขอครั้งที่สองต้องเอาชายหนุ่มคนหนึ่งไปด้วยเพื่อเป็นตัวประกันในการแต่งงาน เมื่อเจ้าบ่าวตัวจริงบิดพริ้วหรือขัดข้องใดใดก็ตาม ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องแต่งงานแทนเจ้าบ่าว   การสู่ขอของหนุ่มสาวกะเหรี่ยงบ้านคำหวันจะไม่มีสินสอดทองหมั้นใดๆทั้งสิ้นในงานพิธีจะจัดที่บ้านฝ่ายหญิง  เมื่อฝ่ายหญิงเต็มใจรับการสู่ขอ จะมีการฆ่าไก่อย่างน้อยสองตัวเพื่อประกอบอาหาร พร้อมด้วยสุราสองขวด เลี้ยงผู้มาสู่ขอเพื่อเป็นการสาบานว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญา ก็ให้รับเคราะห์กรรมแทนไก่ที่ถูกฆ่าเลี้ยง  สำหรับการหาฤกษ์พิธีแต่งงาน จะมีหมอผีเป็นผู้หาฤกษ์ให้ ซึ่งจะต้องเป็นวันคี่    ในวันแต่ง ฝ่ายหญิงเป็นผู้ประกอบอาหารเลี้ยง  มีการเลี้ยงเหล้า ร่วมร้องเพลง โดยทุกคนจะหยุดงานเพื่อมาร่วมฉลองสองวันสองคืน(หน้า 42-44)

Political Organization

บ้านคำหวันเป็นหมู่บ้านในเขตปกครองของตำบลแม่ตื่น  มีนายเมธา  ใหม่โม่ง เป็นกำนัน  นายแงแซ เป็นสารวัตรกำนันฝ่ายปกครอง นายหม่อโจ๋ยพอ  สวัสดิโรคา เป็นสารวัตรกำนันฝ่ายพัฒนา  นายประคอง  น้ำเงิน เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง  นายวิรัตน์   ใหม่โม่ง เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ  นายดิ๊เซ สะอาดเอี่ยมจิต เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายพัฒนา นอกจากนี้บ้านคำหวันยังมีคณะกรรรมการกลางหมู่บ้าน รวม 8 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายสวัสดิการ  ฝ่ายสาธารณสุข  ฝ่ายการคลัง ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายพัฒนา และฝ่ายส่งเสริมพัฒนาสตรี (หน้า 10,13)

Belief System

กะเหรี่ยงบ้านคำหวันส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีเพียง 9 ครัวเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์ พวกที่นับถือพุทธจะมีหิ้งพระไว้ในบ้าน ส่วนพวกที่นับถือคริสต์จะรวมตัวกันปฏิบัติศาสนกิจกับพวกคริสต์ในหมู่บ้านอื่นๆทุกวันอาทิตย์ที่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง (หน้า 35)
     
การนับถือผี
 ในกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ยังคงเชื่อและนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิม  ผีเหล่านั้นได้แก่

ผีบ้าน  บ้างเรียกว่า ผีเจ้าเมือง หรือผีเจ้าที่ ทำหน้าที่รักษาหมู่บ้าน (หน้า 35)

ผีเรือน  เป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาคนในบ้าน  ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีเรือนอย่างน้อยปีละสองครั้ง การเลี้ยงผีเรือนมีพิธีหลายขั้นตอน เช่น ลูกหลานที่นับถือผีเดียวกันจะต้องมานอนค้างที่บ้านอย่างน้อยหนึ่งคืน ในพิธีห้ามพูดมากหรือพูดพร่ำเพรื่อกัน มิฉะนั้นจะต้องยกเลิกพิธีแล้วทำพิธีใหม่ในเดือนต่อไป ก่อนพิธีสมาชิกในครัวเรือนต้องล้อมวงรับประทานอาหารอันได้แก่ข้าว เนื้อไก่ และน้ำ ไก่จะต้มกับน้ำเปล่าโดยไม่ใส่เครื่องปรุงใดๆทั้งสิ้น การทานอาหารจะทานข้าวได้เพียงคำเดียวพร้อมเนื้อไก่และน้ำ โดยผู้รับประทานจะเริ่มจากแม่บ้าน พ่อบ้าน ลูกหัวปีจนสุดท้อง และหลาน ตามลำดับ เป็นต้น

ผีไร่ ผีนาเป็นผีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกชาวบ้านทำพิธีเลี้ยงผีไร่ผีนา 2 ครั้งคือก่อนการเพาะปลูกและหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต

ผีป่า เป็นผีร้ายคอยทำอันตรายผู้คน มีสองชนิดคือ ผีป่าบกกับผีป่าน้ำที่อยู่ตามลำห้วย ลำธาร หนองน้ำ(หน้า 35-36)

พิธีกรรม พิธีกรรมของกะเหรี่ยงบ้านคำหวัน จำแนกเป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูกพิธีกรรมตามเทศกาล และพิธีกรรมความตาย
     
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูก เช่น
      
พิธีเลี้ยงผีจอมปลวกจัดปีละ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนก่อนปลูกข้าว เพื่อการบนบานศาลกล่าวขอให้ผีช่วยดูแลหมู่บ้านและช่วยให้การปลูกข้าวได้ผลผลิตมาก  และจะประกอบพิธีอีกครั้งราวเดือนมกราคมหลังจากทำนาเสร็จ(หน้า 61)

พิธีเลี้ยงผีนา เป็นการเลี้ยงผีเพื่อขอให้ผีดูแลข้าวในนาให้ได้ผลผลิตดี โดยใช้ไก่ สองตัวและเหล้าสองขวดเซ่นผีในช่วงก่อนปลูกข้าวราวเดือนกรกฎาคมและช่วงก่อนเกี่ยวข้าวราวเดือนพฤศจิกายน(หน้า 61,64) 

พิธีดำหัวควาย หรือ “สุหมะ ปะหน้า โคะ”  จัดพิธีขึ้นราวเดือนตุลาคม เพื่อขอโทษวัวควายที่ใช้งานและทุบตีมัน อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณวัวควายที่ช่วยทำนา(หน้า 62)

พิธีก่อนตีข้าว  เป็นพิธีที่จัดขึ้นราวเดือนธันวาคม โดยจะใช้ลูกชายคนโตที่อายุไม่เกิน15 ปี เป็นผู้ประกอบพิธี หากอายุเกินจะให้ลูกคนถัดไปทำพิธีซึ่งจะเรียกว่า “เจ้าผี”ในพิธีมีการจัดเตรียมหัวหมู เคียว รวงข้าว ข้าวสวย ไข่ กระดูกไก่ หมากพลูและเหล้าอย่างละเล็กน้อยให้เจ้าผีเป็นผู้วางเซ่นบูชา จากนั้นเจ้าผีตีข้าวบนแคร่ไม้ไผ่เป็นปฐมฤกษ์2-3 มัดพอเป็นพิธีแล้วให้คนอื่นตีข้าวต่อประมาณ 5 นาทีพอเป็นปฐมฤกษ์(หน้า 64)
       
การกินข้าวใหม่ เมื่อได้ข้าวจากนา จะนำมาทำพิธีเลี้ยงกันในระหว่างเพื่อนบ้านโดยต้องฆ่าไก่ หมู เป็นอาหาร สำหรับพวกที่นับถือศาสนาพุทธ จะนำอาหารไปถวายพระสงฆ์ที่สำนักสงฆ์บ้านแพะ(หน้า 40)
      
พิธีกรรมตามเทศกาล เช่น
       การขึ้นบ้านใหม่  ชาวกะเหรี่ยงสะกอทุกหมู่บ้านถือเป็นงานสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่จะทำให้ผู้อาศัยไม่มีความสุข ฉะนั้นเมื่อถึงฤกษ์ยามขึ้นบ้านใหม่ จะมีการจัดเตรียมสุรา หุงข้าว ฆ่าหมู ไก่  ขนมข้าวต้มมัด และข้าวเหนียวตำคลุกงาให้เพื่อนฝูง ญาติมิตรรับประทานร่วมกัน โดยแขกที่ได้รับเชิญจะร้องเพลงอวยพรแก่เจ้าของบ้าน(หน้า 40) 
     
พิธีกรรมความตาย
ประเพณีงานศพ  กะเหรี่ยงถือว่าเป็นงานสำคัญมาก   เมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงทุกคนต้องไปร่วมงาน  (โดยเฉพาะหนุ่มสาวจะถือโอกาสทำความรู้จัก สนิทสนม ชอบพอกันและแต่งงานกันในภายหลัง) ผู้มีฐานะดีจะเก็บศพไว้นานอย่างน้อย 2-3 วัน งานศพใหญ่โตจะเก็บไว้นาน ศพผู้มีฐานะดีจะบรรจุไว้ในโลงที่ประดับอย่างสวยงาม ส่วนผู้มีฐานะไม่ดีจะใช้เสื่อห่อศพโดยใช้ด้ายดิบมัดศพ ตอนไปฝังศพจะต้องฉีกทำลายบรรดาเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้สอยส่วนตัวของผู้ตายทิ้งไว้ในป่าช้า  
       
ยามค่ำของทุกคืนก่อนนำศพไปฝัง หนุ่มสาวจะร้องเพลงรำพันถึงผู้ตายโดยเดินเป็นแถวเรียงหนึ่งรอบศพ  การเฝ้าศพ จะให้ชายหนุ่มร้องเพลงนำก่อน จากนั้นหญิงสาวจะร้องต่อด้วยเสียงโหยหวน เดินกอดคอกันร้องตลอดคืนจนรุ่งเช้า โดยพวกผู้ชายจะมีการตีฆ้อง กลองประโคมเป็นช่วงๆ (หน้า 44-45)

Education and Socialization

ศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขาบ้านคำหวัน(ศ.ศช.)สอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 -6   ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนรวม 35 คน เป็นชาย 17 คน และหญิง 18 คน  ก่อนที่จะมีศูนย์ดังกล่าว นักเรียนจะเดินทางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแพะ  ส่วนชาวบ้านที่มีฐานะดี จะส่งลูกหลานของตนไปเรียนต่อที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ชาวเขา ที่จังหวัดตาก
      
ปัจจุบันประชากรบ้านคำหวัน จำนวน 8คน อ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้  จำนวน 182 คน อ่านได้แต่เขียนไม่ได้จำนวน 8 คน  อ่านและเขียนได้จำนวน 9 คน  กำลังเรียนจำนวน 17 คน และยังไม่ถึงวัยเรียนจำนวน 12 คน  (หน้า 27-28,31)

Health and Medicine

การรักษาการเจ็บป่วย  
แม้หมู่บ้านจะมีสถานีอนามัยแม่ตื่นให้บริการรักษาการเจ็บป่วย แต่ชาวบ้านยังมีปัญหาสาธารณสุขอยู่    มีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน โดยมีหมอผีเป็นผู้รักษา หากหมอผีไม่สามารถรักษาได้ จึงจะนำมาให้เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยรักษาต่อไป(หน้า 31)  ชาวบ้านเชื่อว่า การเจ็บป่วยเกิดจากผีทำร้าย

ดังนั้นการรักษาจึงต้องให้หมอผีเป็นผู้รักษา ถ้าเป็นโรคระบาดเจ็บป่วยกันมาก ผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผีหรือหมอผีจะทำการบนบานศาลกล่าวเพื่อขอให้ผีช่วยขจัดอันตรายและช่วยคุ้มครองแก่ชาวบ้าน  หากป่วยเพียงคนสองคนและมีฐานะยากจน สัตว์ที่นำมาฆ่าเซ่นผีมักจะเป็นไก่ ส่วนหมู วัว และควายโดยมากเป็นการเลี้ยงร่วมกัน(หน้า 38-39) 
      
กะเหรี่ยงบ้านคำหวันมักจะป่วยเป็นโรคที่เกิดจากการไม่รักษาความสะอาด เช่น โรคพยาธิ และโรคคันตามร่างกาย (หน้า 50)
      
ปัจจุบันความเชื่อเรื่องการเลี้ยงผีเพื่อรักษาโรคต่างๆของกะเหรี่ยงบ้านคำหวันเริ่มคลายความเชื่อลงมาก เนื่องจากมีสามี-ภรรยากะเหรี่ยงคู่หนึ่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3จากนั้นเข้ารับการอบรมวิชาเกี่ยวกับการสาธารณสุขเป็นเวลา 2 ปีที่จังหวัดตากและกลับมาทำงานที่สถานีอนามัยแม่ตื่น ได้พูดคุยให้ความรู้แก่ชาวบ้านในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจและคลายความเชื่อเก่าๆ (หน้า 39)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายด้วยกะเหรี่ยงบ้านคำหวันเป็นกะเหรี่ยงสะกอ การแต่งกายยังคงรักษาลักษณะดังกล่าวไว้ แต่ก็มีบ้างที่รับเอาเสื้อแบบชาวไทยพื้นราบมาใส่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น จะสวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืด  เด็กหญิงบางคนใส่กระโปรง เสื้อยืดที่มีคนบริจาคให้ (หน้า17)

 บ้านพักอาศัย กะเหรี่ยงบ้านคำหวัน ตัวเรือนยกใต้ถุนสูง 6-7 ฟุต ใช้ไม้ทั้งต้นเป็นเสา ใช้ฟากเป็นพื้นเรือนและฝาบ้าน ปัจจุบันบ้านของชาวบ้าน 51 หลังคาเรือน มุงสังกะสี 4 หลัง นอกนั้นมุงหลังคาด้วยใบตองตึง  ตัวเรือนมี 2 ส่วนคือส่วนที่ต่อจากหัวบันได และห้องเอนกประสงค์ขนาดใหญ่สำหรับนอน ประกอบอาหาร ทานอาหารและรับแขก  มีเตาไฟอยู่กลางห้องใหญ่ เหนือเตาเป็นชั้นทำด้วยไม้ไผ่สานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับวางของตัวเรือนไม่มีหน้าต่าง (หน้า 22)

การสักผู้ชายกะเหรี่ยงที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนนิยมสักสีดำตามตัวโดยเฉพาะตั้ง แต่เอวลงมาถึงเข่า ผู้ชายบ้านคำหวันบอกว่า เป็นประเพณีดั้งเดิมที่เชื่อว่า รอยสักเป็นของสวยงาม และบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ สำดำที่ใช้สักนั้นทำจาก ดีปลา ดีวัน ดีวายกับเขม่าที่ใช่ตะเกียงน้ำมันก๊าดลนไฟ กำมะถันและผงถ่านผสมกัน นำมาตั้งไฟเคี่ยวจนแห้ง  ปัจจุบันชายหนุ่มกะเหรี่ยงรุ่นใหม่ไม่นิยมสัก เนื่องจากคนรุ่นใหม่ อายรอยสักที่มองเห็นได้เมื่อสวมกางเกงขาสั้นเวลาเข้าไปติดต่อธุระที่อำเภอหรือในเมือง(หน้า 45)
         
หัตถกรรม   เครื่องจักสานที่ใช้ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำจากไม้และไม้ไผ่  อาทิ กระบุง  มีหลายแบบแล้วแต่จุดประสงค์ของการใช้ สานด้วยไม้ไผ่  กระบุงใช้ขนฟืน จะสานตาห่างประมาณ 2-3 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีกระบุงขนาดใหญ่(กะเหรี่ยงเรียกว่า แจพะโด)สำหรับใส่ข้าวเปลือกในยุ้งข้าว จุข้าวได้ประมาณ 100-200 ถัง    สานด้วยไม้ไผ่   ภายในฉาบด้วยน้ำมันยางผสมกับมูลวัวเพื่อไม่ให้ข้าวเปลือกรั่ว        กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ ใช้กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ตัดเป็นท่อน เจาะรูด้านข้างและใช้เชือกผูก ในการใช้จะนำเชือกที่ผูกโยงกับภาชนะคาดไว้ที่หน้าผากโดยให้กระบอกไม้ไผ่อยู่ด้านหลัง      

กระบวยตักน้ำ  ทำจากกะลามะพร้าวแก่ เจาะรูใส่ด้ามถือสำหรับตักน้ำดื่ม   

ครกกระเดื่อง  ทำด้วยไม้เนื้อแข็งสูงประมาณ 20 นิ้ว กว้าง 15 นิ้ว ตรงกลางเจาะรูสำหรับใส่ข้าวเปลือก มีกระเดื่องเป็นแกนกลาง จากกระเดื่องมีแกนไม้ยาวที่ปลายแกนไม้เจาะรู  และใส่สากไม้สำหรับตำข้าวติดอยู่ นอกจากนี้ยังมีสากไม้สำหรับมือตำอยู่ประจำครกกระเดื่องด้วย (หน้า 70-71)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

อาหารการกิน  อาหารที่กะเหรี่ยงกินในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ข้าวเจ้า โดยมีเกลือ และพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญ  กะเหรี่ยงชอบกินอาหารเผ็ด  ข้าวที่ใช้บริโภค เป็นข้าวเจ้าที่ปลูกในนามีเมล็ดค่อนข้างอ้วนกลม  สำหรับบ้านคำหวัน เนื้อสัตว์ที่กินส่วนใหญ่คือปลาทูเค็มหรือปลาแห้งที่ซื้อจากเมือง รองลงมาคือสัตว์น้ำที่หาได้จากลำห้วย และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกกบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก สำหรับหมูและไก่ เป็นสัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรมจึงมีโอกาสได้กินเฉลี่ยเดือนละ 2-3 ครั้ง ส่วนสัตว์ป่าที่หามาได้เป็นครั้งคราว โดยมากเป็นนก ไก่ป่า หมูป่า หนู กระรอก ฯ  ในแต่ละมื้อ ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงนิยมกินกับข้าวอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นน้ำพริกหรือแกง  

กะเหรี่ยงไม่มีของหวานที่กินหลังกินข้าวอย่างคนไทย แต่มีขนมซึ่งทำกินนานๆครั้ง นิยมทำในงานเลี้ยงหรือทำเพื่อประกอบพิธีกรรม เช่น ข้าวปุ๊ก  ข้าวต้มมัด  ข้าวหลาม  และกล้วยทอด เป็นต้น(หน้า46-48)

Map/Illustration

แผนที่แผนผัง
-             แผนที่แสดงภาพลักษณะทางกายภาพของตำบลแม่ตื่น(หน้า 5)
-             แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านคำหวัน(หน้า 11)
-             แผนผังหมู่บ้านคำหวัน(หน้า 12)
-             ผังแสดงการใช้พื้นที่ภายในบ้าน(หน้า 23)
รูปภาพ
-             ชุดเจ้าสาว (หน้า 16)
-             ชุดของเด็กชาย เด็กหญิง และสาวพรหมจรรย์ (หน้า 16)
-             ลักษณะบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยงบ้านคำหวัน (หน้า 24)
-             สภาพศูนย์การศึกษาชุมชนในเขตภูเขาบ้านคำหวัน(ศ.ศช.)(หน้า 29)
-             การประกอบอาหาร (หน้า 51)
-             การรับประทานสุราร่วมกัน (หน้า 52)
-             แสดงการลงแขกตีข้าว (หน้า 54)
-             ลานตีข้าว (หน้า 62)
-             พิธีเลี้ยงผี  ก่อนตีข้าว (หน้า 63)
-             “เจ้าผี” กำลังทำพิธีก่อนตีข้าว (หน้า 65)
ตาราง
-             ตารางแสดงการแยกเพศประชากร (หน้า 18)
-             แสดงขนาดครัวเรือนของประชาชนจำแนกตามจำนวนสมาชิก (หน้า 19)
-             แสดงจำนวนและร้อยละของประชากร จำแนกตามเพศและอายุ(หน้า 20)
-             แสดงความสามารถในการอ่าน เขียน ภาษาไทยของประชากรจำแนกตามเพศ(หน้า 31)
-             แสดงรายได้ต่อปีของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 56)
-             แสดงลักษณะภาวะหนี้สินจากกลุ่มหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 57)
-             ปฏิทินการดำเนินชีวิตในรอบปีของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านคำหวัน
       (หน้า 66-69)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 23 ก.พ. 2558
TAG ปกาเกอะญอ, วิถีชีวิต, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง