|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ,วิถีชีวิต, ตาก |
Author |
ชลกาญจน์ ฮาซันนารี |
Title |
การศึกษาสภาพการดำรงชีวิตของเผ่ากะเหรี่ยง กรณีศึกษาบ้านคำหวัน ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
78 |
Year |
2538 |
Source |
สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
สารนิพนธ์ฉบับนี้เป็นการเสนอภาพรวมทั่วไปถึงการดำรงชีวิตของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง บ้านคำหวัน ที่มีการสืบทอด วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีจากบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะยึดเหนี่ยวให้ชุมชนดำรงมาจนถึงปัจจุบันนี้
บ้านคำหวันตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน การคมนาคมไม่สะดวก ประชากรเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงสะกอ มีจำนวนทั้งหมด 267 คน จำนวน 51ครัวเรือน มีอาชีพหลักคือการเกษตร ปลูกข้าวเป็นหลัก ผลผลิตทั้งหมดปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน อาชีพรองได้แก่ การหาของป่า รับจ้าง และค้าขาย ชาวบ้านมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องภาษา เวลาติดต่อกับสื่อสารกับโลกภายนอก อีกทั้งภาษากะเหรี่ยงเป็นภาษาที่ยากแก่การเข้าใจ จึงทำให้มีปัญหามาก ชาวบ้านยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดแคลนในด้านต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่เป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง แต่ในขณะเดียวกันชุมชนก็ยังดำรงอยู่มาได้นับร้อยปี |
|
Focus |
ศึกษาการดำเนินชีวิตของชุมชนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง และสภาพทั่วไปของชุมชน เศรษฐกิจ สังคม ตลอดจนการดำรงชีวิตลักษณะกว้างๆ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ระบบครอบครัว ลักษณะบ้านเรือน ความเชื่อ และประเพณีของชุมชนบ้านคำหวัน หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงสะกอ บ้านคำหวัน ตำบลแม่ตื่น อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก (หน้า 10) |
|
Study Period (Data Collection) |
กันยายน2537-มีนาคม 2538(คำนำ) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการอพยพกะเหรี่ยงเข้ามายังดินแดนแถบนี้ก่อนชนชาติไทย โดยอพยพเข้ามาภายหลังกลุ่มชนตระกูลมอญ-เขมร อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกในเขตพม่ามากกว่าในเขตไทย กะเหรี่ยงอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาในเขตไทยครั้งใหญ่คือ เมื่อครั้งพระเจ้าอลองพญาทำสงครามกับมอญ โดยกะเหรี่ยงให้ความช่วยเหลือมอญ และเมื่ออังกฤษยึดพม่าตอนเหนือในปี พ.ศ.2428 กะเหรี่ยงไม่ยอมอ่อนน้อมต่ออังกฤษและถูกอังกฤษปราบปราม(หน้า 9)
ประวัติหมู่บ้านจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุในหมู่บ้าน หมู่บ้านคำหวัน ก่อตั้งมานานประมาณร้อยกว่าปีแล้ว โดยนายคำหวัน ใหม่โม่ง อดีตกำนันแม่ตื่น เป็นผู้ก่อตั้ง (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2519) นายคำหวันได้อพยพมาจากจังหวัดลำพูน เขาเห็นว่า ลำห้วยแม่ตื่นมีน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำนา จึงจับจองที่ดินตั้งถิ่นฐาน ต่อมากะเหรี่ยงบ้านใกล้เคียง ได้ย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้น จึงกลายเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ (หน้า 9-10) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งหมู่บ้านและเรือน กะเหรี่ยงบ้านคำหวัน ตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มโดยปลูกเรือนเรียงเป็นแนวตรง ไม่มีรั้วกั้นเขตบ้าน ระหว่างบ้านแต่ละหลังเป็นสวนขนาดเล็ก มียุ้งข้าวปลูกอยู่ในบริเวณเรือนอาศัย ลักษณะบ้านเป็นเรือนยกพื้นสูง 6-7ฟุตเสาเรือนเป็นไม้ทั้งต้น พื้นเรือนและฝาผนังเป็นฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยใบตองตึงเป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 21 หลังคาเรือนที่มุงด้วยสังกะสี ตัวเรือนแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนชานบ้านมีบันไดขึ้นลง และส่วนภายในตัวเรือนเป็นห้องโถงไม่มีหน้าต่าง ตรงกลางเป็นที่ตั้งเตาไฟสำหรับทำอาหาร เหนือเตาไฟมีหิ้งไม้ไผ่สำหรับเก็บสิ่งของ(หน้า 22-23, 25) |
|
Demography |
ประชากรบ้านคำหวัน มีทั้งหมด 51 หลังคาเรือน 60 ครอบครัว มีทั้งหมด 267 คน จำแนกเป็นชาย 126 คน และหญิง 141 คน ขนาดของครอบครัว แบ่งได้ 3 ขนาด คือ มีสมาชิก 8 คนขึ้นไป 8 ครัวเรือน 4-7 คน 36 ครัวเรือน และ 1-3 คน จำนวน 7 ครัวเรือน ในจำนวนประชากรทั้งหมด จำแนกเป็นช่วงอายุ อายุ 1-5 ปี มี 17คน 6-13 ปี มี 37 คน 14-60 ปี มี 70 คน และ 61 ปีขึ้นไป มี 2 คน (หน้า10,17,19-20) |
|
Economy |
กะเหรี่ยงบ้านคำหวันมีความเป็นอยู่ที่แบบยังชีพ ทุกครัวเรือนปลูกข้าวไว้กินเอง มีรายได้เงินสดจากการทำนา เก็บของป่า รับจ้างและค้าขาย ชาวบ้านมีฐานะยากจน ส่วนใหญ่มีรายได้รวมต่อปีจำกว่า 10,000 บาท มีเพียง 2 ครัวเรือนที่มีรายได้รวมต่อไป 50,000 บาทขึ้นไป (หน้า55-56)
การใช้ที่ดินชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะอาศัยอยู่ในเขตป่าสงวน ลักษณะการใช้ที่ดินเป็นแบบหมุนเวียนที่ดินเพาะปลูกเมื่อพบพื้นที่เหมาะสมก็จะถางหญ้าและตัดไม้เล็กๆ ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่จะตัดกิ่งก้านออกโดยไม่โค่นต้น เพื่อจะได้แตกกิ่งก้านได้เหมือนเดิมหลังฤดูเพาะปลูก ในฤดูถัดไป ชาวบ้านจะหาพื้นที่ใหม่และปล่อยให้ที่ดินเดิมพักฟื้น 3-5 ปี จึงกลับมาใช้ที่ดินนี้(หน้า 58) ทั้งนี้ชาวบ้านมีเกณฑ์การเลือกใช้ที่ดินเพาะปลูกดังนี้
1. จำนวนข้าวที่คาดว่าจะต้องใช้บริโภคในรอบหนึ่งปี
2. ความสามารถในการผลิตของครอบครัว ถ้าเป็นครอบครัวที่มีคนมากก็สามารถทำไร่ได้ในเนื้อที่มากกว่าครอบครัวที่มีคนน้อย
3. คุณภาพที่ดินที่เลือก ที่ดินที่ทำประโยชน์ในรอบปี การเกษตรทุกแห่งไม่เคยมีคุณภาพบริบูรณ์ เนื้อดิน ความลาดชัน และชนิดพันธุ์ไม้ อาจมีผลต่อการผลิต
4. ถ้าไร่ของครอบครัวหนึ่งอยู่ชิดกับอีกครอบครัวหนึ่ง การขยายไร่ก็ไม่สามารถทำได้ ถึงแม้ว่าจะต้องการทำเช่นนั้น (หน้า 68) |
|
Social Organization |
การเกี้ยวสาวและการแต่งงาน หนุ่มสาวกะเหรี่ยงสามารถเลือกคู่ครองได้ตามความสมัครใจ ส่วนใหญ่มีโอกาสพบและทำความรู้จักกันในงานประเพณีต่างๆ และการลงแขกเกี่ยวข้าว เนื่องจากเป็นโอกาสที่ได้แสดงความสามารถให้ฝ่ายหญิงเห็น เช่น การร้องเพลงซอในงานประเพณีนั้นๆ ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่นำมาพิจารณาเพื่อเลือกคู่ครอง นอกจากนี้ ชายหนุ่มกะเหรี่ยงสามารถไปนั่งพูดคุยที่บ้านฝ่ายหญิงจนค่ำได้ กะเหรี่ยงนิยมแต่งงานในหมู่บ้านกะเหรี่ยงด้วยกัน ไม่นิยมแต่งงานกับคนพื้นเมือง ไม่มีการหย่าร้าง และนิยมการครองเรือนแบบสามีภรรยาเดียว(หน้า 41-42)
การจัดงานแต่งงาน กรณีหนุ่มสาวได้เสียกันก่อนการแต่งงานในพิธีการจะไม่มีงานสนุกสนานรื่นเริงมากนัก แต่จะทำเป็นพิธีเท่านั้น และบรรดาหนุ่มสาวที่ยังบริสุทธิ์จะไม่ยอมเข้าร่วมพิธีด้วย เนื่องจากผิดขนบธรรมเนียมประเพณี
สำหรับหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้เสียกันก่อนวันแต่งงาน ฝ่ายชายจะแจ้งให้ผู้อาวุโส 2 คนไปสู่ขอหญิงสาวจากบิดามารดาฝ่ายหญิง เป็นครั้งแรกก่อน การสู่ขอครั้งแรก ฝ่ายชายจะส่งคนไปสามคน คือผู้อาวุโสชาย สองคนและชายหนุ่มโสดหนึ่งคนซึ่งเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันกับเจ้าบ่าว พากันไปนัดหมายกำหนดการแต่งงาน การไปสู่ขอครั้งที่สองต้องเอาชายหนุ่มคนหนึ่งไปด้วยเพื่อเป็นตัวประกันในการแต่งงาน เมื่อเจ้าบ่าวตัวจริงบิดพริ้วหรือขัดข้องใดใดก็ตาม ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องแต่งงานแทนเจ้าบ่าว การสู่ขอของหนุ่มสาวกะเหรี่ยงบ้านคำหวันจะไม่มีสินสอดทองหมั้นใดๆทั้งสิ้นในงานพิธีจะจัดที่บ้านฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายหญิงเต็มใจรับการสู่ขอ จะมีการฆ่าไก่อย่างน้อยสองตัวเพื่อประกอบอาหาร พร้อมด้วยสุราสองขวด เลี้ยงผู้มาสู่ขอเพื่อเป็นการสาบานว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิดสัญญา ก็ให้รับเคราะห์กรรมแทนไก่ที่ถูกฆ่าเลี้ยง สำหรับการหาฤกษ์พิธีแต่งงาน จะมีหมอผีเป็นผู้หาฤกษ์ให้ ซึ่งจะต้องเป็นวันคี่ ในวันแต่ง ฝ่ายหญิงเป็นผู้ประกอบอาหารเลี้ยง มีการเลี้ยงเหล้า ร่วมร้องเพลง โดยทุกคนจะหยุดงานเพื่อมาร่วมฉลองสองวันสองคืน(หน้า 42-44) |
|
Political Organization |
บ้านคำหวันเป็นหมู่บ้านในเขตปกครองของตำบลแม่ตื่น มีนายเมธา ใหม่โม่ง เป็นกำนัน นายแงแซ เป็นสารวัตรกำนันฝ่ายปกครอง นายหม่อโจ๋ยพอ สวัสดิโรคา เป็นสารวัตรกำนันฝ่ายพัฒนา นายประคอง น้ำเงิน เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง นายวิรัตน์ ใหม่โม่ง เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ นายดิ๊เซ สะอาดเอี่ยมจิต เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายพัฒนา นอกจากนี้บ้านคำหวันยังมีคณะกรรรมการกลางหมู่บ้าน รวม 8 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายป้องกัน ฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายการคลัง ฝ่ายการศึกษา ฝ่ายพัฒนา และฝ่ายส่งเสริมพัฒนาสตรี (หน้า 10,13) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงบ้านคำหวันส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีเพียง 9 ครัวเรือนที่นับถือศาสนาคริสต์ พวกที่นับถือพุทธจะมีหิ้งพระไว้ในบ้าน ส่วนพวกที่นับถือคริสต์จะรวมตัวกันปฏิบัติศาสนกิจกับพวกคริสต์ในหมู่บ้านอื่นๆทุกวันอาทิตย์ที่หมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่ง (หน้า 35)
การนับถือผี ในกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธ ยังคงเชื่อและนับถือผีตามความเชื่อดั้งเดิม ผีเหล่านั้นได้แก่
ผีบ้าน บ้างเรียกว่า ผีเจ้าเมือง หรือผีเจ้าที่ ทำหน้าที่รักษาหมู่บ้าน (หน้า 35)
ผีเรือน เป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาคนในบ้าน ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงผีเรือนอย่างน้อยปีละสองครั้ง การเลี้ยงผีเรือนมีพิธีหลายขั้นตอน เช่น ลูกหลานที่นับถือผีเดียวกันจะต้องมานอนค้างที่บ้านอย่างน้อยหนึ่งคืน ในพิธีห้ามพูดมากหรือพูดพร่ำเพรื่อกัน มิฉะนั้นจะต้องยกเลิกพิธีแล้วทำพิธีใหม่ในเดือนต่อไป ก่อนพิธีสมาชิกในครัวเรือนต้องล้อมวงรับประทานอาหารอันได้แก่ข้าว เนื้อไก่ และน้ำ ไก่จะต้มกับน้ำเปล่าโดยไม่ใส่เครื่องปรุงใดๆทั้งสิ้น การทานอาหารจะทานข้าวได้เพียงคำเดียวพร้อมเนื้อไก่และน้ำ โดยผู้รับประทานจะเริ่มจากแม่บ้าน พ่อบ้าน ลูกหัวปีจนสุดท้อง และหลาน ตามลำดับ เป็นต้น
ผีไร่ ผีนาเป็นผีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกชาวบ้านทำพิธีเลี้ยงผีไร่ผีนา 2 ครั้งคือก่อนการเพาะปลูกและหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต
ผีป่า เป็นผีร้ายคอยทำอันตรายผู้คน มีสองชนิดคือ ผีป่าบกกับผีป่าน้ำที่อยู่ตามลำห้วย ลำธาร หนองน้ำ(หน้า 35-36)
พิธีกรรม พิธีกรรมของกะเหรี่ยงบ้านคำหวัน จำแนกเป็นสามกลุ่มใหญ่ คือ พิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูกพิธีกรรมตามเทศกาล และพิธีกรรมความตาย
พิธีกรรมเกี่ยวกับการเพาะปลูก เช่น
พิธีเลี้ยงผีจอมปลวกจัดปีละ 2 ครั้งในเดือนมิถุนายนก่อนปลูกข้าว เพื่อการบนบานศาลกล่าวขอให้ผีช่วยดูแลหมู่บ้านและช่วยให้การปลูกข้าวได้ผลผลิตมาก และจะประกอบพิธีอีกครั้งราวเดือนมกราคมหลังจากทำนาเสร็จ(หน้า 61)
พิธีเลี้ยงผีนา เป็นการเลี้ยงผีเพื่อขอให้ผีดูแลข้าวในนาให้ได้ผลผลิตดี โดยใช้ไก่ สองตัวและเหล้าสองขวดเซ่นผีในช่วงก่อนปลูกข้าวราวเดือนกรกฎาคมและช่วงก่อนเกี่ยวข้าวราวเดือนพฤศจิกายน(หน้า 61,64)
พิธีดำหัวควาย หรือ “สุหมะ ปะหน้า โคะ” จัดพิธีขึ้นราวเดือนตุลาคม เพื่อขอโทษวัวควายที่ใช้งานและทุบตีมัน อีกทั้งยังเป็นการขอบคุณวัวควายที่ช่วยทำนา(หน้า 62)
พิธีก่อนตีข้าว เป็นพิธีที่จัดขึ้นราวเดือนธันวาคม โดยจะใช้ลูกชายคนโตที่อายุไม่เกิน15 ปี เป็นผู้ประกอบพิธี หากอายุเกินจะให้ลูกคนถัดไปทำพิธีซึ่งจะเรียกว่า “เจ้าผี”ในพิธีมีการจัดเตรียมหัวหมู เคียว รวงข้าว ข้าวสวย ไข่ กระดูกไก่ หมากพลูและเหล้าอย่างละเล็กน้อยให้เจ้าผีเป็นผู้วางเซ่นบูชา จากนั้นเจ้าผีตีข้าวบนแคร่ไม้ไผ่เป็นปฐมฤกษ์2-3 มัดพอเป็นพิธีแล้วให้คนอื่นตีข้าวต่อประมาณ 5 นาทีพอเป็นปฐมฤกษ์(หน้า 64)
การกินข้าวใหม่ เมื่อได้ข้าวจากนา จะนำมาทำพิธีเลี้ยงกันในระหว่างเพื่อนบ้านโดยต้องฆ่าไก่ หมู เป็นอาหาร สำหรับพวกที่นับถือศาสนาพุทธ จะนำอาหารไปถวายพระสงฆ์ที่สำนักสงฆ์บ้านแพะ(หน้า 40)
พิธีกรรมตามเทศกาล เช่น
การขึ้นบ้านใหม่ ชาวกะเหรี่ยงสะกอทุกหมู่บ้านถือเป็นงานสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ทำพิธีขึ้นบ้านใหม่จะทำให้ผู้อาศัยไม่มีความสุข ฉะนั้นเมื่อถึงฤกษ์ยามขึ้นบ้านใหม่ จะมีการจัดเตรียมสุรา หุงข้าว ฆ่าหมู ไก่ ขนมข้าวต้มมัด และข้าวเหนียวตำคลุกงาให้เพื่อนฝูง ญาติมิตรรับประทานร่วมกัน โดยแขกที่ได้รับเชิญจะร้องเพลงอวยพรแก่เจ้าของบ้าน(หน้า 40)
พิธีกรรมความตาย
ประเพณีงานศพ กะเหรี่ยงถือว่าเป็นงานสำคัญมาก เมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน กะเหรี่ยงทุกคนต้องไปร่วมงาน (โดยเฉพาะหนุ่มสาวจะถือโอกาสทำความรู้จัก สนิทสนม ชอบพอกันและแต่งงานกันในภายหลัง) ผู้มีฐานะดีจะเก็บศพไว้นานอย่างน้อย 2-3 วัน งานศพใหญ่โตจะเก็บไว้นาน ศพผู้มีฐานะดีจะบรรจุไว้ในโลงที่ประดับอย่างสวยงาม ส่วนผู้มีฐานะไม่ดีจะใช้เสื่อห่อศพโดยใช้ด้ายดิบมัดศพ ตอนไปฝังศพจะต้องฉีกทำลายบรรดาเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้สอยส่วนตัวของผู้ตายทิ้งไว้ในป่าช้า
ยามค่ำของทุกคืนก่อนนำศพไปฝัง หนุ่มสาวจะร้องเพลงรำพันถึงผู้ตายโดยเดินเป็นแถวเรียงหนึ่งรอบศพ การเฝ้าศพ จะให้ชายหนุ่มร้องเพลงนำก่อน จากนั้นหญิงสาวจะร้องต่อด้วยเสียงโหยหวน เดินกอดคอกันร้องตลอดคืนจนรุ่งเช้า โดยพวกผู้ชายจะมีการตีฆ้อง กลองประโคมเป็นช่วงๆ (หน้า 44-45) |
|
Education and Socialization |
ศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขาบ้านคำหวัน(ศ.ศช.)สอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 -6 ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนรวม 35 คน เป็นชาย 17 คน และหญิง 18 คน ก่อนที่จะมีศูนย์ดังกล่าว นักเรียนจะเดินทางไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านแพะ ส่วนชาวบ้านที่มีฐานะดี จะส่งลูกหลานของตนไปเรียนต่อที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ชาวเขา ที่จังหวัดตาก
ปัจจุบันประชากรบ้านคำหวัน จำนวน 8คน อ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้ จำนวน 182 คน อ่านได้แต่เขียนไม่ได้จำนวน 8 คน อ่านและเขียนได้จำนวน 9 คน กำลังเรียนจำนวน 17 คน และยังไม่ถึงวัยเรียนจำนวน 12 คน (หน้า 27-28,31) |
|
Health and Medicine |
การรักษาการเจ็บป่วย
แม้หมู่บ้านจะมีสถานีอนามัยแม่ตื่นให้บริการรักษาการเจ็บป่วย แต่ชาวบ้านยังมีปัญหาสาธารณสุขอยู่ มีความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน โดยมีหมอผีเป็นผู้รักษา หากหมอผีไม่สามารถรักษาได้ จึงจะนำมาให้เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยรักษาต่อไป(หน้า 31) ชาวบ้านเชื่อว่า การเจ็บป่วยเกิดจากผีทำร้าย
ดังนั้นการรักษาจึงต้องให้หมอผีเป็นผู้รักษา ถ้าเป็นโรคระบาดเจ็บป่วยกันมาก ผู้ประกอบพิธีเลี้ยงผีหรือหมอผีจะทำการบนบานศาลกล่าวเพื่อขอให้ผีช่วยขจัดอันตรายและช่วยคุ้มครองแก่ชาวบ้าน หากป่วยเพียงคนสองคนและมีฐานะยากจน สัตว์ที่นำมาฆ่าเซ่นผีมักจะเป็นไก่ ส่วนหมู วัว และควายโดยมากเป็นการเลี้ยงร่วมกัน(หน้า 38-39)
กะเหรี่ยงบ้านคำหวันมักจะป่วยเป็นโรคที่เกิดจากการไม่รักษาความสะอาด เช่น โรคพยาธิ และโรคคันตามร่างกาย (หน้า 50)
ปัจจุบันความเชื่อเรื่องการเลี้ยงผีเพื่อรักษาโรคต่างๆของกะเหรี่ยงบ้านคำหวันเริ่มคลายความเชื่อลงมาก เนื่องจากมีสามี-ภรรยากะเหรี่ยงคู่หนึ่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3จากนั้นเข้ารับการอบรมวิชาเกี่ยวกับการสาธารณสุขเป็นเวลา 2 ปีที่จังหวัดตากและกลับมาทำงานที่สถานีอนามัยแม่ตื่น ได้พูดคุยให้ความรู้แก่ชาวบ้านในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจและคลายความเชื่อเก่าๆ (หน้า 39) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายด้วยกะเหรี่ยงบ้านคำหวันเป็นกะเหรี่ยงสะกอ การแต่งกายยังคงรักษาลักษณะดังกล่าวไว้ แต่ก็มีบ้างที่รับเอาเสื้อแบบชาวไทยพื้นราบมาใส่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น จะสวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืด เด็กหญิงบางคนใส่กระโปรง เสื้อยืดที่มีคนบริจาคให้ (หน้า17)
บ้านพักอาศัย กะเหรี่ยงบ้านคำหวัน ตัวเรือนยกใต้ถุนสูง 6-7 ฟุต ใช้ไม้ทั้งต้นเป็นเสา ใช้ฟากเป็นพื้นเรือนและฝาบ้าน ปัจจุบันบ้านของชาวบ้าน 51 หลังคาเรือน มุงสังกะสี 4 หลัง นอกนั้นมุงหลังคาด้วยใบตองตึง ตัวเรือนมี 2 ส่วนคือส่วนที่ต่อจากหัวบันได และห้องเอนกประสงค์ขนาดใหญ่สำหรับนอน ประกอบอาหาร ทานอาหารและรับแขก มีเตาไฟอยู่กลางห้องใหญ่ เหนือเตาเป็นชั้นทำด้วยไม้ไผ่สานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับวางของตัวเรือนไม่มีหน้าต่าง (หน้า 22)
การสักผู้ชายกะเหรี่ยงที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนนิยมสักสีดำตามตัวโดยเฉพาะตั้ง แต่เอวลงมาถึงเข่า ผู้ชายบ้านคำหวันบอกว่า เป็นประเพณีดั้งเดิมที่เชื่อว่า รอยสักเป็นของสวยงาม และบ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ สำดำที่ใช้สักนั้นทำจาก ดีปลา ดีวัน ดีวายกับเขม่าที่ใช่ตะเกียงน้ำมันก๊าดลนไฟ กำมะถันและผงถ่านผสมกัน นำมาตั้งไฟเคี่ยวจนแห้ง ปัจจุบันชายหนุ่มกะเหรี่ยงรุ่นใหม่ไม่นิยมสัก เนื่องจากคนรุ่นใหม่ อายรอยสักที่มองเห็นได้เมื่อสวมกางเกงขาสั้นเวลาเข้าไปติดต่อธุระที่อำเภอหรือในเมือง(หน้า 45)
หัตถกรรม เครื่องจักสานที่ใช้ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ทำจากไม้และไม้ไผ่ อาทิ กระบุง มีหลายแบบแล้วแต่จุดประสงค์ของการใช้ สานด้วยไม้ไผ่ กระบุงใช้ขนฟืน จะสานตาห่างประมาณ 2-3 นิ้ว นอกจากนี้ยังมีกระบุงขนาดใหญ่(กะเหรี่ยงเรียกว่า แจพะโด)สำหรับใส่ข้าวเปลือกในยุ้งข้าว จุข้าวได้ประมาณ 100-200 ถัง สานด้วยไม้ไผ่ ภายในฉาบด้วยน้ำมันยางผสมกับมูลวัวเพื่อไม่ให้ข้าวเปลือกรั่ว กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำ ใช้กระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ตัดเป็นท่อน เจาะรูด้านข้างและใช้เชือกผูก ในการใช้จะนำเชือกที่ผูกโยงกับภาชนะคาดไว้ที่หน้าผากโดยให้กระบอกไม้ไผ่อยู่ด้านหลัง
กระบวยตักน้ำ ทำจากกะลามะพร้าวแก่ เจาะรูใส่ด้ามถือสำหรับตักน้ำดื่ม
ครกกระเดื่อง ทำด้วยไม้เนื้อแข็งสูงประมาณ 20 นิ้ว กว้าง 15 นิ้ว ตรงกลางเจาะรูสำหรับใส่ข้าวเปลือก มีกระเดื่องเป็นแกนกลาง จากกระเดื่องมีแกนไม้ยาวที่ปลายแกนไม้เจาะรู และใส่สากไม้สำหรับตำข้าวติดอยู่ นอกจากนี้ยังมีสากไม้สำหรับมือตำอยู่ประจำครกกระเดื่องด้วย (หน้า 70-71) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
อาหารการกิน อาหารที่กะเหรี่ยงกินในชีวิตประจำวัน ได้แก่ ข้าวเจ้า โดยมีเกลือ และพริกเป็นส่วนประกอบสำคัญ กะเหรี่ยงชอบกินอาหารเผ็ด ข้าวที่ใช้บริโภค เป็นข้าวเจ้าที่ปลูกในนามีเมล็ดค่อนข้างอ้วนกลม สำหรับบ้านคำหวัน เนื้อสัตว์ที่กินส่วนใหญ่คือปลาทูเค็มหรือปลาแห้งที่ซื้อจากเมือง รองลงมาคือสัตว์น้ำที่หาได้จากลำห้วย และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจำพวกกบ เขียด อึ่งอ่าง คางคก สำหรับหมูและไก่ เป็นสัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรมจึงมีโอกาสได้กินเฉลี่ยเดือนละ 2-3 ครั้ง ส่วนสัตว์ป่าที่หามาได้เป็นครั้งคราว โดยมากเป็นนก ไก่ป่า หมูป่า หนู กระรอก ฯ ในแต่ละมื้อ ส่วนใหญ่กะเหรี่ยงนิยมกินกับข้าวอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นน้ำพริกหรือแกง
กะเหรี่ยงไม่มีของหวานที่กินหลังกินข้าวอย่างคนไทย แต่มีขนมซึ่งทำกินนานๆครั้ง นิยมทำในงานเลี้ยงหรือทำเพื่อประกอบพิธีกรรม เช่น ข้าวปุ๊ก ข้าวต้มมัด ข้าวหลาม และกล้วยทอด เป็นต้น(หน้า46-48) |
|
Map/Illustration |
แผนที่แผนผัง
- แผนที่แสดงภาพลักษณะทางกายภาพของตำบลแม่ตื่น(หน้า 5)
- แผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านคำหวัน(หน้า 11)
- แผนผังหมู่บ้านคำหวัน(หน้า 12)
- ผังแสดงการใช้พื้นที่ภายในบ้าน(หน้า 23)
รูปภาพ
- ชุดเจ้าสาว (หน้า 16)
- ชุดของเด็กชาย เด็กหญิง และสาวพรหมจรรย์ (หน้า 16)
- ลักษณะบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยงบ้านคำหวัน (หน้า 24)
- สภาพศูนย์การศึกษาชุมชนในเขตภูเขาบ้านคำหวัน(ศ.ศช.)(หน้า 29)
- การประกอบอาหาร (หน้า 51)
- การรับประทานสุราร่วมกัน (หน้า 52)
- แสดงการลงแขกตีข้าว (หน้า 54)
- ลานตีข้าว (หน้า 62)
- พิธีเลี้ยงผี ก่อนตีข้าว (หน้า 63)
- “เจ้าผี” กำลังทำพิธีก่อนตีข้าว (หน้า 65)
ตาราง
- ตารางแสดงการแยกเพศประชากร (หน้า 18)
- แสดงขนาดครัวเรือนของประชาชนจำแนกตามจำนวนสมาชิก (หน้า 19)
- แสดงจำนวนและร้อยละของประชากร จำแนกตามเพศและอายุ(หน้า 20)
- แสดงความสามารถในการอ่าน เขียน ภาษาไทยของประชากรจำแนกตามเพศ(หน้า 31)
- แสดงรายได้ต่อปีของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 56)
- แสดงลักษณะภาวะหนี้สินจากกลุ่มหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 57)
- ปฏิทินการดำเนินชีวิตในรอบปีของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงบ้านคำหวัน
(หน้า 66-69) |
|
Text Analyst |
สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ |
Date of Report |
23 ก.พ. 2558 |
TAG |
ปกาเกอะญอ, วิถีชีวิต, ตาก, |
Translator |
- |
|