|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ ป่าชุมชน การสร้างตัวตน เชียงใหม่ |
Author |
ทรงพล รัตนวิไลลักษณ์ |
Title |
การสร้างตัวตนผ่านการปฏิบัติเกี่ยวกับป่าของชุมชนปกาเกอะญอ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
153 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ในอดีตปกาเกอะญอดำรงชีวิตอยู่ในป่า พึ่งพาธรรมชาติโดยตรง มีการพึ่งพาตนเองสูง และมีอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พิธีกรรมศาสนา การปกครอง ฯลฯ ผู้มีบทบาทหลักได้แก่ “หี่โข่” และผู้อาวุโสในชุมชน ปัจจุบันได้ถูกคุกคามจากอำนาจรัฐให้ออกจากป่า ทำให้ปกาเกอะญอที่ขุนวินสร้างตัวตนอย่างเด่นชัดมากขึ้นโดยการให้ความหมาย การต่อรอง และการตอบโต้เกี่ยวกับป่า เป็นความพยายามเพื่อที่อยู่กับป่าได้ กระวนการให้ความหมายเกี่ยวกับป่าผ่านกลไกของนักพัฒนาเอกชนและนักวิชาการทำให้เห็นตัวตน กิจกรรมที่เชื่อมโยงกับป่า เช่น การให้ความหมายเกี่ยวกับอาหาร และงานศพ รวมถึงการให้ความหมายหน่วยงานที่สนับสนุนเกี่ยวกับป่า
ชาวขุนวินได้ต่อรองกับคนทุกระดับที่เกี่ยวข้องกับป่าตั้งแต่ระดับชุมชน และชุมชนใกล้เคียงแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย การต่อรองกับชาติพันธุ์อื่นเป็นการต่อรองเชิงการค้า การต่อรองกับชาวพื้นราบโดยการพึ่งพาอาศัย ในการต่อรองกับรัฐ ชาวขุนวินได้มีการหยิบยกการปฏิบัติเกี่ยวกับป่าในการที่จะอยู่กับป่า โดยการยกระดับกิจกรรมในกระบวนการจัดการป่า ผลจากการต่อรองทำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยน และเรียนรู้ของชุมชนกับฝ่ายต่างๆ และก่อเกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับชาวขุนวินในการที่ได้อยู่กับป่าและมีการสร้างรูปธรรมป่า ในขณะที่รัฐได้ประโยชน์จากการต่อรองชุมชน คือ ทำให้คนเกิดจิตสำนึกในการจัดการป่าและพื้นที่ป่าโดยรวมเพิ่ม โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุน ชุมชนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ถูกปฏิบัติเหมือนคนไทยทั่วไป ทำให้ตัดตอนอำนาจการคุกคามจากรัฐได้ระดับหนึ่ง ในกระบวนการตอบโต้ชุมชน ได้มีการรวมกลุ่มกับพันธมิตร และใช้ความเป็นชาวปกาเกอะญอในการที่มักน้อย สันโดษเป็นทุนเดิม และมีรูปธรรมการจัดการป่าในพื้นที่จริง มีการตอบโต้ ชาวขุนวินใช้ตำนาน ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับการถูกรุกรานที่สืบทอดผ่านผู้อาวุโส การตอบโต้โดยการใช้สุภาษิต การตอบโต้โดยการรื้อฟื้นความเชื่อขึ้นมาเกี่ยวโยงกับสถาบันหลักของชาติ ทั้งสถาบันชาติ และศาสนา ทำให้เกิดพลังในการตอบโต้ ทำให้ตัวตนของชาวขุนวินปรากฎออกมาที่เป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย การชูกระแส คนสามารถอยู่กับป่าได้ ผ่านกลไกของปัญญาชนบ้านขุนวิน ปัญญาชนลุ่มน้ำแม่วาง การขัดขืนการคุกคามและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับฝ่ายต่างๆ |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะ และกระบวนการสร้างตัวตนในการปฏิบัติเกี่ยวกับป่าของชุมชนปกาเกอะญอ โดยผ่านการให้ความหมาย การต่อรอง และการโต้ตอบ (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 – กุมภาพันธ์ พ.ศ.2546 (หน้า 40-41) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านขุนวิน มีชื่อภาษาปกาเกอะญอว่า “มือวีดี” สันนิษฐานว่าบริเวณนี้มีการตั้งถิ่นฐานมานานกว่า 700-800 ปี ดังปรากฏหลักฐานโบราณสถานริมทางทิศเหนือของหมู่บ้านที่เรียกว่า “วะคก๊ะปู” จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชน คาดว่าชาวขุนวินเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ประมาณ 300 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตป่าขุนวินมีหลายกลุ่ม และตั้งถิ่นฐานอยู่หลายที่ มีการเคลื่อนย้ายอยู่ตลอดเวลา
จากการศึกษาพบว่า บรรพบุรุษของชาวขุนวินส่วนหนึ่งอพยพมาจาก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากถูกรุกรานจากกลุ่มชนที่มีอำนาจในยุคนั้น แล้วค่อยๆย้ายสู่อำเภอแม่ริม อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ตามลำดับ การอาศัยอยู่ป่าในเขตอำเภอสะเมิงนั้น อาศัยบริเวณแม่ลานคำ ส่วนหนึ่งปักหลักอยู่ในเขตป่าแม่ลานคำ และอีกส่วนหนึ่งเข้าอยู่ในเขตป่าขุนวิน และอีกกลุ่มหนึ่งมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน การอาศัยอยู่ในเขตป่าขุนวินได้มีการเคลื่อนย้ายไปมาหลายครั้ง เป็นการเคลื่อนย้ายภายในเขตป่าบ้านขุนวิน (หน้า 44)
|
|
Demography |
บ้านขุนวินมีประชากร 125 คน จำแนกเป็นชาย 71 คน หญิง 54 คน รวม 26หลังคาเรือน 29 ครอบครัว (หน้า47) |
|
Economy |
ระบบการผลิตของบ้านขุนวินเป็นระบบที่เชื่อมโยงและพึ่งพาธรรมชาติโดยตรง ผลิตเพื่อยังชีพ ไม่เน้นการขาย กระทบต่อระบบนิเวศน์น้อย ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ การทำไร่หมุนเวียน การทำสวน การเก็บของป่า และการทำนาขั้นบันได นอกจากนี้โดยเฉพาะในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวหรือว่างเว้นจากการผลิต คนในชุมชนส่วนหนึ่งออกมารับจ้างทั่วไปในแถบอำเภอสะเมิง และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เช่น ทำนา เกี่ยวข้าว ถอนหอมแดง และกระเทียม เป็นต้น (หน้า 53-57) |
|
Social Organization |
มีลักษณะครอบครัวมีขนาดเล็กและขนาดกลางเฉลี่ย 3-6 คนต่อครอบครัว ความสัมพันธุ์ทางสายเลือดมีความสำคัญในการดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การดูแลครอบครัวและเครือญาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชุมชน ครอบครัวใดไม่ดูแล ไมเคารพหรือไม่ช่วยเหลือการงานของญาติ จะถูกครหานินทาจากญาติและคนในชุมชน คนอื่นจะไม่คบค้าสมาคมด้วยซึ่งถือเป็นระบบการควบคุมทางสังคมที่เข้มแข็งของบ้านขุนวิน แต่ละครอบครัวไม่อาจเป็นครอบครัวที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน เพราะหากมีงานของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น การแต่งงาน การแลกเปลี่ยนแรงงานหรืองานอื่นๆ จะได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี ส่วนความสัมพันธ์กับชุมชนอื่นๆหรือชุมชนใกล้เคียง มีลักษณะที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยมาโดยตลอด (หน้า 58 - 59)
|
|
Political Organization |
ในอดีต ปกาเกอะญอบ้านขุนวินมีระบบที่ดูแลตนเองทุกอย่าง อำนาจส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับชุมชน กระทั่งราว 40-50 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีอำนาจรัฐเข้ามา โดยมีความชัดเจนและเข้มข้นขึ้นเมื่อราว 30 ปี ปัจจุบันมีโครงสร้างการปกครอง 2 รูปแบบที่ทำหน้าที่แตกต่างกัน คือ การปกครองตามประเพณีหรือระบบหี่โข่ และการปกครองทางการหรือผู้นำทางราชการ การปกครองระบบหี่โข่ หรือการมีผู้นำตามประเพณี ผู้นำระบบนี้ ในอดีตทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ประกอบพิธีกรรมที่สำคัญระดับชุมชน ตัดสินข้อพิพาทในชุมชน และดูแลจัดการระบบการทำมาหากินในชุมชนร่วมกับผู้อาวุโส เป็นต้น
ส่วนการปกครองทางการหรือผู้นำทางราชการ เดิมบ้านขุนวินอยู่หมู่บ้านเดียวกับบ้านห้วยหยวก หมู่8 ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา ปี พ.ศ. 2527ทางราชการได้แยกหมู่บ้านขุนวินไปรวมกับบ้านหนองมณฑา หมู่ที่ 16 ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้ใหญ่บ้านชื่อ นายเพชร ติ๊กกล้า แต่ด้วยความห่างไกลระหว่างหย่อมบ้าน ผู้ใหญ่บ้านไม่สามารถดูแลทั่วถึง อีกทั้งเส้นทางคมนาคมไม่สะดวก ทางการจึงได้ตั้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเพื่อดูแลบ้านขุนวินจำนวน 1 คน มีหน้าที่ทางการปกครองดูแลความสงบเรียบร้อย พัฒนาชุมชน และติดต่อกับทางราชการ คือ นายนะมู โชโดะ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ถึงปัจจุบัน บทบาทหน้าที่ และอำนาจของผู้นำทั้งสองส่วนนี้ จะเป็นไปตามยุคสมัย ช่วงเวลา และมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน คือ ในอดีตมีอำนาจเดียว อำนาจทุกอย่างอยู่ที่ชุมชน แต่เมื่อมีอำนาจรัฐเข้ามาในภายหลัง ชาวบ้านขุนวินก็ให้การยอมรับและปฏิบัติตามกระบวนการปกครอง ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะรักษาอำนาจในการปฏิบัติตามความเชื่อ เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมควบคู่กันไป (หน้า 59-62)
พ.ศ.2540 มีการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลแม่วิน มีสมาชิกทั้งหมดอยู่ที่บ้านหนองมณฑา แต่มีพื้นที่การดูแลครอบคลุมถึงบ้านขุนวิน(หน้า 70) |
|
Belief System |
ปกาเกอะญอหมู่บ้านขุนวิน นับถือศาสนาดั้งเดิมควบคู่กับการนับถือพุทธศาสนา ศาสนาดั้งเดิม เรียกว่า “บก๊ะ” หรือการนับถือผีบรรพบุรุษ มีพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “บก๊ะ” เป็นพิธีกรรมสำคัญสูงสุด เป็นพิธีกรรมระดับครอบครัวและเครือญาติ เป็นการสืบเครือญาติทางฝ่ายหญิง การประกอบพิธีจะต้องประกอบด้วยความระมัดระวัง หากทำไม่ถูกต้องในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งเชื่อว่า วิญญาณของบรรพบุรุษจะไม่พอใจ โดยจะลงโทษในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำให้เจ็บป่วย พิการ หรือเสียชีวิต ขณะเดียวกันเมื่อถึงวันสำคัญทางพุทธศาสนา คนในชุมชนจะเข้าวัดเพื่อปฏิบัติศาสนากิจอย่างพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยมีวัดสำคัญเก่าแก่ ห่างจากบ้านขุนวินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร ชื่อว่า วัดหลวงขุนวิน (หน้า 51-52)
หากมีการผิดหญิงชายในชุมชน ปกาเกอะญอถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก เพราะจะกระทบไปถึงระบบความเชื่อ ดิน น้ำ ป่า ลมฟ้าอากาศ และระบบการทำมาหากิน ทำให้กลไกของชุมชนได้รับผลกระทบทุกส่วน ผู้ละเมิดต้องขอขมา(เอาะขื่อต่า) ให้ชุมชนกลับมาร่มรื่นโดยเร็ว (หน้า 60)
ปกาเกอะญอมีความเชื่อว่า ป่าเป็นที่อยู่ของเจ้าป่า เจ้าเขา (ที เก้อ จ่า ก่อ เก๊อะ จ่า) ที่คอยปกปักรักษาและควบคุมดูแลผืนป่าที่มีพลังอำนาจมาก นอกจากนี้ ป่า ยังหมายถึง ที่อยู่ของขวัญคนและขวัญของสัตว์ ขวัญของคนจะอยู่ติดกับต้นไม้ ถ้าป่าอยู่ดีไม่ถูกรบกวน ขวัญของคนจะอยู่เป็นสุข เมื่อขวัญมีสุข เจ้าตัวก็มีสุขด้วย และการที่สัตว์ป่าอยู่กับป่า เป็นบ้านของสัตว์ป่า เชื่อว่าขวัญของสัตว์ป่าติดอยู่กับป่า ซึ่งแสดงออกผ่านความเชื่อของชาวบ้านขุนวินที่เชื่อว่าขวัญของคนมี 37 ขวัญ ประกอบด้วยขวัญที่อยู่ติดกับตัวคน มี 5 ขวัญ และขวัญที่เป็นสัตว์และแมลงต่างๆจำนวน 32 ขวัญ (หน้า 73 - 74)
ชาวขุนวินถือว่าการตายเป็นการเปลี่ยนสถานภาพจากคนเป็นผี ถือเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายของการกลับคืนสู่ธรรมชาติ ชาวขุนวินใช้คำว่า “เกเดอะ” แปลว่า “กลับบ้าน” ชาวขุนวินเชื่อว่า คนเกิดมาจากวิญญาณ เมื่อตายไปก็กลับสู่สถานภาพเดิมคือผี และกลายเป็นผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยว พิธีศพจึงต้องเน้นพิธีต่างๆเพื่อช่วยสร้างความเข้มข้นให้เป็น “พิธีแห่งการผ่าน” (จากคนไปสู่ผี และจากผีไปสู่สถานภาพใหม่ที่สูงกว่าเดิม) เมื่อทราบว่ามีคนในชุมชนตาย ทุกคนในชุมชนต้องหยุดทำงาน ในงานศพจะมีพิธีชี้ทิศให้คนตาย โดยเพื่อนบ้านจะเดินรอบศพและสิ่งของของผู้ตาย ในอดีตศพถูกห่อด้วยฟากไม้ไผ่ แต่ปัจจุบันนิยมบรรจุศพในโลงที่ทำด้วยไม้ที่หาได้ในป่า โลงต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งวัน การเผาศพจะใช้ฟืนที่หาได้จากป่า เพราะการเผาถือเป็นกระบวนการคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งตรงกับหลักความเชื่อที่ว่า “การที่คนเกิดมาเป็นคน ขวัญได้ผ่านต้นไม้” เมื่อแรกเกิดรกของทารกซึ่งถือเป็นขวัญ จึงถูกนำไปผูกกับต้นไม้ เมื่อตาย ตอนเผาศพก็มีการส่งวิญญาณไปเมืองผี
นอกจากนี้ชาวขุนวินยังเชื่อว่า ป่าช้าถือเป็นชุมชนและป่าของผี เป็นไม้ที่ไม่เป็นมงคล หากมีการใช้ป่าบริเวณนี้ ถือเป็นการรบกวนผีทำให้วิญญาณต่างๆเหล่านั้นมารังควาญทำให้คนในชุมชนไม่เป็นสุข (หน้า 77-79)
ชาวขุนวินมีการประกอบพิธีบวชป่า (หลื่อปก่า) การเลี้ยงผีแนวกันไฟ(หลื่อ เหม่ โต) การสืบชะตาน้ำ นอกจากนี้ยังมีการประกอบพิธีให้สินบนกับเจ้าป่าเจ้าเขาบริเวณป่าต้นน้ำ (โบ ถ่อ ต่า) เพื่อให้เจ้าป่าเจ้าเขา ดลใจให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเข้าใจชีวิต และให้สิทธิการอยู่ร่วมกับป่าของชาวขุนวินและผู้อาศัยอยู่ในป่า ขณะเดียวกันก็มีการสาปแช่งผู้เข้ามา ลักลอบสร้างสถานการณ์เผาไฟป่า (หน้า 86,92,131)
บ้านขุนวินมีการจำแนกพื้นที่ป่าหวงห้ามตามความเชื่อ (ปก่า ต่า ดึ) เป็นหลายประเภท เช่น ป่าช้า ป่าส่งสะตวง ป่าลำห้วยสองสายมาบรรจบกัน ป่าหนองหลังกบ ป่าน้ำผุดและป่ากิ่วลม ป่าช้า(ปกา สว่า โข่)บ้านขุนวินมีทั้งหมด 3 แห่ง แต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่เขาหนึ่งลูก คนในชุมชนไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเชื่อว่าเป็นพื้นที่ของผี เป็นไม้ที่ไม่เป็นมงคล หากผู้ใดละเมิด ผีจะมารังควานทำให้คนในชุมชนไม่เป็นสุข ป่าส่งสะตวง (ปก่าต่าหวี่โดะ) เป็นป่าที่หมอผีนำคนไข้ที่มีผีเข้าสิง หรือมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง มาประกอบพิธี เป็นป่าที่คนในชุมชนไม่ไปยุ่งเกี่ยวใดๆ เพราะเชื่อว่าเป็นที่สถิตของผีร้าย ป่าลำห้วยสองสายมาบรรจบกัน (ปก่าทีพะต่า) เชื่อว่าเป็นที่ตักน้ำของผี ใครทำกินบริเวณนี้ถือเป็นการละเมิดผี คนในบ้านจะเป็นบ้าหรือเสียชีวิตได้ ป่าหนองหลังกบ(ปก่าเดะหมื่อเบอ) เป็นป่าที่ไหล่เขามีรูปร่างคล้ายหลังกบ เป็นป่ากว้างที่เป็นหนองน้ำ มีน้ำขังตลอดปี เชื่อว่าเป็นหนองน้ำของปีศาจ หากมีการละเมิด ผีจะเอาถึงชีวิตหรือคนในครอบครัวมีอันเป็นไป ป่าน้ำผุด (ปก่าทีเป่อถ่อ หรือ โหน่ เซ๊าะ โข่) เป็นพื้นที่ต้นน้ำ เต็มไปด้วยโคลนขนาดใหญ่ พื้นที่นี้และบริเวณใกล้เคียงห้ามทำกิน เพราะเชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำของผี หากมีการละเมิดจะถูกผีลงโทษให้เจ็บป่วยถึงขั้นเสียชีวิต
ป่ากิ่วลม(ปก่าต่าเดโดะ) เป็นป่าที่เขาสองลูกมาต่อกันเป็นป่าบริเวณกว้าง เชื่อว่าเป็นทางผ่านไปมาของผี ใครทำกินบริเวณนี้เป็นการขวางทางสัญจรของผี เจ้าของไร่ หรือคนในครอบครัวต้องตาย (หน้า 99-100) นอกจากนี้ชาวขุนวินยังมีความเชื่ออื่นๆอีกมาก เช่น ห้ามกินหัวปลีกล้วยป่าในช่วงฤดูฝน เพราะจะทำให้เจ็บป่วยในฤดูทำงาน ห้ามยิงเก้ง ไก่ป่า ในช่วงเดือนเตรียมพิธีมัดมือปีใหม่ เพราะเป็นสัตว์ที่คอยบอกลงร้ายไม่ให้นำเข้าหมู่บ้าน ห้ามยิงปืน ล่าหรือดักสัตว์ในเดือนที่มีคนในชุมชนตาย เพราะถือเป็นเดือนเสีย(เดือนของผี) หากมีการละเมิด ผีจะรังควาน คนที่กำลังตั้งท้อง ห้ามล่าสัตว์ใหญ่และสัตว์ที่กำลังตั้งท้องเพราะเชื่อว่าจะตกผลให้ลูกในท้อง ห้ามยิงลิงเพราะจะทำให้ลูกที่เกิดมาซุกซน เป็นต้น (หน้า 110) ปกาเกอะญอเชื่อว่าคนที่เกิดมาเป็นคน แต่ละคนจะผ่านต้นโพธิ์ หรือ “เคล่อ” แต่ละคนจะผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตจากยมทูตที่อยู่ในต้นโพธิ์(หมื่อ คกา เคล่อ) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการถาม และบันทึกการผ่านไปมาของคนว่าจะไปโลกมนุษย์นานเท่าใด เกิดกับใคร และจะกลับมาโดยวิธีใด เมื่อมีการบันทึกคำสัญญาเสร็จ หมื่อ คกา เคล่อ จึงอนุญาตให้เกิดมาเป็นคน จึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า “ขวัญของคนผ่านต้นไม้” เด็กในชุมชนทุกคนต้องมีต้นสะดือ เด็กทุกคนที่คลอด จะมีการตัดสายสะดือ เรียกว่า “เด” จากนั้นนำรกใส่กระบอกไม้ไผ่ ผู้เป็นบิดานำไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่บริเวณรอบหมู่บ้าน หลังจากนั้นภายในเจ็ดวัน ผู้เป็นพ่อจะนำกิ่งไม้ไปขว้งให้กระบอกรกตกลงมา เชื่อว่ารกจะถูกสัตว์คาบไปกินที่อื่น จากนั้นผู้เป็นพ่อแม่ จะต้องทำพิธีเรียกขวัญให้แก่ลูก(เก๊าะ เก่อ ลา เด ปอถู่) เชื่อว่าขวัญของเด็กอยู่กับต้นไม้ต้นที่เอารกไปแขวน (หน้า 113)
|
|
Education and Socialization |
ปี พ.ศ.2537 สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (ศวท.) ได้เข้ามาเปิดโรงเรียนร่วมกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ เน้นการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เด็กและคนในชุมชนสามารถอ่านออกเขียนได้ โดยมีการผสมผสานกับการนำเอาองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าสอนในโรงเรียน โดยมีองค์กรชาวบ้านเป็นผู้รับผิดชอบหลัก กระทั่งปี พ.ศ.2543 ได้ถ่ายโอนโรงเรียนให้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการทางการศึกษาต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยการจัดสรรบุคลากรยังขาดความต่อเนื่อง เด็กในชุมชนจึงไม่สามารถอ่านออกเขียนได้เท่าที่ควร เด็กในชุมชนจึงยังไม่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีเพียง 1 คน ซึ่งจบมาจากการออกไปศึกษาที่อื่น (หน้า 65)
ปกาเกอะญอบ้านขุนวินมีถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องระบบการจำแนกเขตป่าสู่ทุกเพศทุกวัยในชุมชน ด้วยกลไกการถ่ายทอดตั้งแต่ระดับครอบครัวคือ พ่อแม่ ผู้อาวุโส ปัจจุบันมีการถ่ายทอดผ่านหลักสูตรท้องถิ่นที่มีกระบวนการของกลุ่มผู้อาวุโสในชุมชนเข้าไปสอนในโรงเรียน เดินป่า และเข้าค่ายวัฒนธรรมเยาวชนกับผู้รู้ (หน้า 97-98)
|
|
Health and Medicine |
คนในชุมชนบ้านขุนวินบางส่วนใช้ฝิ่นเป็นยารักษาไข้ในยามเจ็บป่วย (หน้า 63)
และใช้องค์ความรู้การรักษาพื้นบ้าน โดยใช้สมุนไพรเป็นหลักควบคู่กับพิธีกรรมตามความเชื่อ (หน้า 111) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ปกาเกอะญอ มีสุภาษิตเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ที่บ่งบอกถึงสภาพของผู้ที่อยู่ในเมืองเชียงใหม่ในยุคนั้นว่า “กิ แม ปู ที ยวา เก่อ โป เจาะ โต ปู โย โดะ อ่า โล” แปลว่า “เมืองเชียงใหม่ล้อมรอบไปด้วยน้ำเหมือนกับคอกหมู พื้นที่จอมทองในอดีตเป็นสุสานของเจ้าเมืองในอดีต” นอกจากนี้ยังมีสุภาษิตที่อธิบายโยงใยถึงการใช้เงินหลอกนำทาง และกลวิธีการต่อสู้ของศัตรูผู้ที่เข้ามายึดครองเมืองเชียงใหม่ ความว่า “กอ ลา ขู่ แกล๊ะ แบะ ลอ เจ้ ก่อ เก้อ มึ โช โหม่ เต่อ เง” แปลว่า “ฝรั่งขุดทางหว่านด้วยเงิน อย่าได้หวังเลยว่าแผ่นดินจะเป็นสุข” (หน้า 124) นอกจากนี้ปกาเกอะญอบ้านขุนวินยังมีการใช่สุภาษิตมาตอบโต้กระแสหลักของรัฐที่ว่า “คนอยู่กับป่าไม่ได้” สุภาษิตบทแรกคือ
“ เป่อเกรอโอะปก่าก่อเต่อเง เป่อเกรอโอะปกาทีเต่อเง
ปกาก่อโอะปกาก่อบะเปร ปกาทีโอะปกาทีบะเปร
เก่อ ตอ ดะ เป๊อะ ก่อ เง เง ปกาเซ๊าะเอาเมเป๊อะเอาะเม”
หมายความว่า
“อย่าชื่นชมว่าดินของคนอื่นดี อย่าชื่นชมว่าน้ำของคนอื่นดี
ดินของคนอื่นดี จะต้องซื้อ น้ำดีของคนอื่นจะต้องซื้อ
จงรักษาแผ่นดินของเราให้ดี คนอื่นมีกิน เราก็มีกิน”
สุภาษิตบทที่ 2 คือ
“ เป่อกรอโอะปกาทีบะแล เป่อเกรอโอะปกาแพบะแล
ปกาทีโอะทีโอะดะแว ปกาแพโอะแพโอะดะแว
เก่อตอถ่อเพส่าเบอะแบร เล่อเน่อปกาแพส่าแพลอย”
หมายความว่า
“อย่าชื่นชมน้ำของผู้อื่น อย่าชื่นชมลูกปัดของผู้อื่น
น้ำคนอื่นมีก็เป็นของเขา คนอื่นมีลูกปัดก็มีไป
จงรักษาลูกปัดของเราให้คงอยู่ดีกว่าลูกปัดที่มีลวดลายของคนอื่น” (หน้า 144)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างปกาเกอะญอบ้านขุนวินกับชาวพื้นราบ เปรียบเสมือนพี่น้อง ใช้ระบบการ “ผูกเสี่ยว” ไปมาหาสู่กัน คนพื้นราบขึ้นมาซื้อวัว ควาย หมู เป็นต้น ขณะเดียวกันชาวขุนวินต้องลงไปซื้อสิ่งของที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต เช่น เสื้อผ้า อาหาร หรือการรับจ้าง เป็นต้น (หน้า 59,92)
เมื่อปลายปี พ.ศ. 2538 มีบริษัททัวร์ป่าเข้ามาสำรวจเส้นทางเดินป่าพร้อมทั้งพักชมหมู่บ้านขุนวิน ในระยะแรกคนในชุมชนจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยว การแสดงออก การปฏิบัติตัวของนักท่องเที่ยวและมัคคุเทศก์ที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของชุมชน ให้ข้อมุลที่ผิดแก่นักท่องเที่ยว ยามค่ำคืนมีการส่งเสียงรบกวนคนในชุมชน คนในชุมชนโดยเฉพาะเยาวชน ได้มีการลองสิ่งใหม่ๆ ทำให้เกิดค่านิยมที่แปลกใหม่ (หน้า 63-64)
ปี พ.ศ.2543 มีหน่วยงานภายนอกหลายหน่วยงานเข้ามาพัฒนาชุมชนขุนวิน โดยแต่ละหน่วยงานมีแนวคิด วัตถุประสงค์ และเป้าหมายการดำเนินงานของตนที่มีการวางแผนและตีกรอบมาจากภายนอกแล้วทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การเข้าไปแผ้วถางปลูกสร้างอาคารที่ทำการของป่าไม้ในบริเวณสุสานเด็กที่ชาวบ้านเคารพนับถือ หรือการที่กรมป่าไม้มีแผนปลูกต้นหวายรอบๆหมู่บ้าน เหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ชุมชนปรับตัวไม่ทัน ทั้งยังสร้างความสับสนและความไม่เข้าใจให้กับชุมชนและมีผลต่อสุขภาพจิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิงจะอยู่ในภาวะที่กดดันมาก (หน้า 66) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Critic Issues |
ชาวขุนวินมีอาหารที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ทางอาหารของชาติพันธุ์ที่เชื่อมโยงกับป่า คือ “ต่าพอเผาะ” หรือ “ข้าวเบ๊อะ” ที่นำเอาพืชผักและเนื้อหลายๆอย่างมาต้มคนให้เข้ากัน อาหารชนิดนี้ อาบือ ป่าสีทอง ผู้นำชุมชนคนหนึ่งได้บอกเล่าว่า มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความแร้นแค้นในอดีต เพื่อความอยู่รอดของบรรพบุรุษที่ขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้ยังหมายถึงความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชน อันเป็นคล้ายปณิธานในโอกาสปีใหม่ ซึ่งเสริมความเชื่อที่แฝงอยู่กับการมัดมือปีใหม่ ที่หมายถึงการให้คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกลมกลืน สามารถอดทนได้ทุกอย่าง (หน้า 76) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- รายละเอียดการจำแนกเขตป่าตามความสูง สภาพภูมิอากาศ และความ หลากหลาย (หน้า 157) |
|
|