|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
วิถีชีวิต,ผู้หญิง,การขายบริการทางเพศ,ภาคเหนือ |
Author |
คณะนักวิจัย สถาบันวิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่ |
Title |
การค้าประเวณีของสตรีชาวเขา |
Document Type |
- |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
29 |
Year |
2537 |
Source |
กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
การศึกษาเป็นการรวบรวมประเด็นสาระสำคัญจากข้อมูลเชิงประจักษ์ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีของสตรีชาวเขาในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์การค้าประเวณีในกลุ่มสตรีชาวเขา ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สร้างแรงกดดันต่อวิถีชีวิตการดำรงชีวิตของชาวเขาซึ่งได้แก่ พื้นที่ทำกิน การศึกษา ครอบครัว และยาเสพติด ปัจจัยภายในชุมชน/สังคมชาวเขา ซึ่งได้แก่ กลไกควบคุมสังคมและเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่เป็นทัศนคติทางบวกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ และสุดท้ายปัจจัยจากสังคมภายนอกคือ การรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งสตรีชาวเขาตอบสนองข้อมูลเหล่านี้ โดยให้เป็นทางเลือกหนึ่งในการหางานที่มีรายได้ตอบแทน (คำนำ) |
|
Focus |
การศึกษานี้มุ่งเน้นประเด็นปัญหาการค้าประเวณีที่มีสาเหตุจากภายในชุมชนหรือหมู่บ้านชาวเขา (หน้า 25) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ มูเซอ อีก้อ เย้า ลีซอ แม้ว และกะเหรี่ยง ในจังหวัดเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน (หน้า 4) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
จำนวนประชากร ในปี พ.ศ. 2535 กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษา 6 กลุ่ม มีจำนวนทั้งสิ้นดังนี้ กะเหรี่ยง 292,814 คน แม้ว 91,537 คน เย้า 34,545 คน มูเซอ 57,144 คน ลีซอ 22,743 คน อีก้อ 32,041 คน (หน้า 2) การย้ายถิ่น ปัจจุบันการย้ายถิ่นมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ การย้ายถิ่นโดยตัวชาวเขาเอง เนื่องจากปัญหาการดำรงชีวิตในพื้นที่เดิม และการย้ายถิ่นโดยการจัดการของรัฐ ตามนโยบายควบคุมการใช้พื้นที่ป่าและนโยบายทางการปกครอง ชาวเขาบางหมู่บ้านปรับตัวเข้ากับสภาพพื้นที่ใหม่ได้ บางหมู่บ้านชาวเขาปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่ใหม่ไม่ได้และพื้นที่หลายแห่งที่รัฐจัดสรรให้เป็นที่ดินไม่มีคุณภาพ ผลผลิตไม่เพียงพอบริโภค (หน้า 6-7) |
|
Economy |
การเปลี่ยนแปลงระบบการเพาะปลูก ไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่า ปัจจุบันชาวเขาเปลี่ยนจากการเพาะปลูกแบบพึ่งตนเองเพื่อบริโภค มาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากรัฐ หรือนายทุน หรือชาวบ้านนำเข้าสู่ชุมชนเอง พืชเศรษฐกิจดังกล่าวได้แก่ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ถั่วแขก ฯลฯ การหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจทำให้ชาวเขาทุ่มเทแรงงานในการผลิตเพื่อตลาดและไม่ให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อบริโภคจนทำให้ประสบปัญหาความขาดแคลน ยากจน ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ และเข้าสู่สภาวะการเป็นหนี้สิน (หน้า 7) |
|
Social Organization |
ครอบครัวและเครือญาติ ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของลักษณะครอบครัวและเครือญาติ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ครอบครัวเป็นหน่วยในการจัดการผลิต การบริโภค การแบ่งปัน และการซื้อขาย พึ่งพาซึ่งกันและกันในครอบครัวและกลุ่มเครือญาติ ครอบครัวเป็นสถาบันในการขัดเกลา อบรม สมาชิกเพื่อความเป็นปึกแผ่นของทั้งครอบครัว เครือญาติ และชุมชน ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์เป็นแบบผลประโยชน์เฉพาะตัวเป็นสำคัญ เกิดการเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว (หน้า 9) การแต่งงาน 1. มูเซอ เด็กผู้ชายเริ่มเกี้ยวพาราสีตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เด็กผู้หญิงเริ่มเกี้ยวพาราสี อายุ 12-13 ปี ชายหญิงจะเกี้ยวพาราสีกันในเวลากลางคืนตามพุ่มไม้นอกหมู่บ้าน หาพอใจกันจะให้ของที่ระลึก และมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายจะสู่ขอและแต่งงานเมื่อฝ่ายชายอายุประมาณ 15-16 ปี ฝ่ายหญิงอายุ 13-14 ปี เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านพ่อแม่ฝ่ายสาว หนุ่มสาวที่แต่งงานกันมักจะมีประสบการณ์เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ทั้งนี้ ชายหญิงที่แต่งงานกันตั้งแต่วัยรุ่น มักจะหย่าร้างกันง่าย แต่ละคนจึงเคยผ่านการแต่งงานหลายครั้ง การหย่าร้างไม่ถือเป็นเรื่องเสียชื่อเสียง (หน้า 13) 2. อีก้อ ห้ามหนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกันในบ้าน เพราะเป็นการไม่เคารพผีบรรพบุรุษ จึงมีการสร้างลานสาวกอดขึ้นให้หนุ่มสาวพบปะหลังเลิกงาน หากมีความพึงพอใจกันก็จะชวนไปร่วมหลับนอนในป่า การได้เสียก่อนแต่งานเป็นเรื่องไม่เสียหาย ฝ่ายชายจะไปขอหญิงสาว จัดพิธีที่บ้านฝ่ายชาย หลังแต่งงานฝ่ายหญิงจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านสามี หนุ่มสาวจะเริ่มแต่งงานอายุ 14 ปีขึ้นไป เมื่อมาอยู่บ้านสามีหญิงอีก้อมักจะถูกใช้งานหนัก จึงเกิดการหย่าร้างได้ง่าย (หน้า 15) หญิงอีก้อเมื่อแต่งงานจะย้ายไปอยู่บ้านสามี ตัดขาดจากผีบรรพบุรุษตนเอง หากหย่าร้างต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือญาติ หากหม้ายเพราะสามีเสียชีวิตจะแต่งงานใหม่ได้หลังจากสามีเสียชีวิต 3 เดือน หญิงหม้ายจะต้องรีบแต่งงานใหม่ให้เร็วที่สุด (หน้า 16) 3. เย้า มีอิสระในการเลือกคู่ หนุ่มสาวเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุ 15-17 ปี จะเริ่มเกี้ยวพาราสี เมื่อพึงพอใจอาจมีเพศสัมพันธ์แต่ต้องเป็นห้องนอนฝ่ายหญิง สามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หากมีลูกก่อนแต่งงานจะเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง (หน้า 17) ชายหญิงจะแต่งงานกันได้ต้องมีวันเกิดที่สมพงษ์กัน และได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย การแต่งงานเป็นการซื้อตัวเจ้าสาว เพราะเย้าถือว่าฝ่ายหญิงเป็นแรงงานที่ทำหน้าที่เพิ่มสมาชิกครอบครัวด้วย เย้าแต่งงานเมื่ออายุ 14-20 ปี นิยมมีผัวเดียวเมียเดียว แต่ไม่เคร่งครัด หญิงสาวต้องทำพิธีขอออกจากการนับถือผีบรรพบุรุษตน เพื่อเข้ามานับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย บุตรต้องใช้แซ่สกุลของพ่อ (หน้า 17-18) เมื่อเกิดการหย่าร้าง ฝ่ายหญิงจะตกเป็นสมบัติของแซ่สกุลฝ่ายชาย หญิงต้องนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายชายต่อไป การแต่งงานใหม่จะต้องได้รับการยินยอมจากฝ่ายสามีเดิม การมีชู้ถือว่าผิตจารีต กรณีที่หญิงไม่มีลูกชาย สามีอาจแต่งงานใหม่หรือมีลูกบุญธรรมได้ (หน้า 18) 4. ลีซอ ชายหญิงเริ่มเกี้ยวพาราสีเมื่ออายุ 14-15 ปี บริเวณครกกระเดื่องตำข้าวข้างบ้าน และการร้องเพลงโต้ตอบกัน หรือการเกี้ยวพาราสีกันในงานเทศกาลต่างๆ โดยการจับคู่เต้นรำกัน ชายหญิงแซ่สกุลเดียวกันห้ามมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน ชายหญิงที่ชอบพอกันอาจนัดหมายไปพบกันในเวลากลางคืนใกล้ๆ หมู่บ้าน และเป็นโอกาสในการมีเพศสัมพันธ์กัน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องปกติ ชายหญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ15-16 ปี ชายหญิงก่อนแต่งงานส่วนใหญ่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว การแต่งงานต้องใช้เงินมาก จึงทำให้ลีซอมักมีภรรยาคนเดียว เพราะถ้ามีอีกก็จะต้องเสียเงินมาก หากหย่าร้างจะเสียดายเงินที่จ่ายไป (หน้า 19) ลีซอมีการหย่าร้างน้อย หากหย่าร้างฝ่ายหญิงจะย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือแต่งงานใหม่ หญิงหม้ายไม่มีข้อห้ามในการแต่งงานใหม่ (หน้า 20) 5. แม้ว(ฮม้ง) เมื่อเด็กชายอายุ 12-13 ปี พ่อแม่จะสนับสนุนให้เกี้ยวพาราสีเด็กผู้หญิงต่างแซ่สกุลในเวลากลางคืน ตามบ้านฝ่ายหญิงหรือที่สาธารณะ ประเพณีปีใหม่เป็นโอกาสให้ชายหญิงเกี้ยวพาราสีกันในหมู่บ้านหรือต่างหมู่บ้านได้ ถ้ามีความพึงพอใจสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ที่บ้านฝ่ายหญิง ตามพุ่มไม้หรือป่ารอบๆ หมู่บ้าน ปกติจะมีการคบหากันประมาณ 2-3 ปีก่อนแต่งงาน การแต่งงานจะเริ่มตั้งแต่อายุ 14-15 ปี คนแซ่สกุลเดียวกันแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด เมื่อแต่งงานฝ่ายชายต้องมอบสินสอดให้ฝ่ายหญิง เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย คอยปรนนิบัติญาติพี่น้องฝ่ายชาย ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะถือเป็นสมบัติฝ่ายชาย ต้องถือแซ่สกุลฝ่ายชาย กรณีที่สามีเสียชีวิตก่อนฝ่ายหญิงคงถือเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องฝ่ายสามี ถ้าแต่งงานใหม่สามีใหม่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้พ่อแม่สามีเดิม ญาติพี่น้องสามีสามารถแต่งงานกับพี่สะใภ้หรือน้องสะใภ้ได้ การหย่าร้างในสังคมแม้วมีน้อยมาก (หน้า 21-22) 6. กะเหรี่ยง หนุ่มสาวอายุ 13 ปีขึ้นไปจะมีการพบปะเพื่อเลือกคู่ครองในการร้องเพลงงานศพ มีโอกาสเกี้ยวพาราสี ชายหญิงจะร้องเพลงตอบโต้กันแสดงความในใจ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องผิดประเพณีร้ายแรง จะถูกลงโทษจากผีประจำตระกูลหรือผีประจำหมู่บ้าน เมื่อมีความพึงพอใจกันฝ่ายชายจะมาของฝ่ายหญิง วัยที่แต่งงานจะอายุ 15 ปีขึ้นไป พิธีแต่งงานจะมีในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ใช้เวลาประกอบพิธี 2 วัน วันที่ 3 จะเดินทางไปเลี้ยงแลองที่บ้านฝ่ายชาย ฝ่ายชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูกาล แล้วค่อยแยกมาสร้างบ้านใกล้บ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิง ในสังคมกะเหรี่ยงหญิงหม้าย มีโอกาสหาคู่ครองใหม่น้อยมาก ชายหม้ายจะไม่สามารถนำภรรยาใหม่มาอยู่บ้านหลังเดิมได้ เพราะเชื่อว่าบ้านเป็นอาณาจักรวิญญาณของภรรยา แต่หญิงหม้ายสามารถนำสามีใหม่มาอยู่บ้านหลังเดิมได้ การหย่าร้างในสังคมกะเหรี่ยงค่อนข้างมีน้อย (หน้า 23-24) |
|
Political Organization |
กลไกการควบคุมสังคม ในรายงานกล่าวว่า ชาวเขามีจารีตที่เป็นกลไกควบคุมสังคมที่สำคัญ 3 อย่างคือ ผู้นำในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเครือญาติ และความเชื่อดั้งเดิม แต่ปัจจุบัน กลไกทั้ง 3 อย่างนี้มีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายในสังคม/ชุมชนชาวเขา (หน้า 9-10) |
|
Belief System |
ในรายงานไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่า ชาวเขาเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติที่เรียกว่า “ผี” การกระทำสิ่งใดที่ละเมิดต่อข้อห้าม จารีตประเพณีจะถูกอำนาจเหนือธรรมชาติลงโทษ อย่างไรก็ดีประสบการณ์การมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่นทำให้ชาวเขารุ่นใหม่มีแนวโน้มผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หันไปยอมรับค่านิยมทางวัตถุ รับความคิดและการกระทำตามแบบคนไทยพื้นราบที่อยู่ใกล้เคียงและในตัวเมือง (หน้า 10) |
|
Education and Socialization |
กระบวนการเรียนรู้เรื่องเพศ ในรายงานกล่าวดังนี้ 1. มูเซอ เริ่มเรียนรู้จากการได้ยินเพื่อนวัยเดียวกันหรือต่างวัยตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปี เด็กจะได้ยินพอแม่ ญาติพี่น้องพูดค่อยเรื่องเพศบ่อยครั้ง โดยใช้คำพูดว่า “ปะ” แปลว่าการร่วมเพศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่หยาบคาย ยกเว้นคุยในที่สาธารณะ และด้วยสภาพที่อยู่อาศัยทำให้เด็กได้ยินเสียงและเห็นการกระทำบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการยากลองเลียบแบบ (หน้า 12-13) 2. อีก้อ หนุ่มสาวมีอิสระในการเลือกคู่ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นที่ยอมรับในสังคม ชายหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นประมาณ 11-12 ปี ชายจะรู้จักการหลับนอนกับหญิงจากบิดาหรือพี่ชาย วัยรุ่นชายหญิงที่ไม่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์เรียกว่า “และที” ซึ่งถูกเยาะเย้อว่าเป็นวัยรุ่นที่ไม่สมบูรณ์ (หน้า 14) 3. เย้า เด็กหญิงและเด็กชายจะถูกเลี้ยงดูที่แยกจากกันชัดเจน เด็กหญิงต้องนอนที่ห้องหญิงโสด มีการอบรมให้เป็นแม่บ้านที่ดี เมื่อเด็กชายอายุ 12 ปี เด็กหญิงอายุ 14 ปี หมอผีจะทำพิธีเรียกขวัญมาคุ้มครอง สามารถเข้ากลุ่มกับผู้ใหญ่ได้ ชายต้องอายุ 15-17 ปีจึงจะมีอิสระในเรื่องเพศสัมพันธ์ หญิงแม่จะเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์และสามารถมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุ 14 ปีขึ้นไป การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งานเป็นเรื่องปกติ (หน้า 16-17) 4. ลีซอ การค้าประเวณีถือเป็นเรื่องน่าอายถูกหเนียดหยาม ชายหญิงจะเริ่มเรียนรู้เรื่องเพศตั้งแต่อายุ 9-10 ปี โดยฟังจากเด็กที่วัยสูงกว่าหรือพ่อแม่พี่น้อง พ่อแม่จะให้เด็กอายุระหว่างนี้นอนแยกระหว่างบุตรชายหญิง ในบ้านจะมีห้องพ่อแม่ และห้องบุตรสาว บุตรชายมักนอนที่นอนสำหรับรับแขก พ่อแม่จะอบรมบุตรไม่ให้พูดจาเรื่องเพศต่อหน้าผู้ใหญ่ และการห้ามร่วมเพศ (หน้า 18) 5. แม้ว(ฮม้ง) การค้าประเวณีถือเป็นเรื่องน่าอับอาย พ่อแม่จะแยกการอบรมเลี้ยงดูบุตรหญิงชายเมื่ออายุ 10 ปี โดยลูกชายจะถูกแยกนอนกับพ่อแม่ เด็กผู้หญิงอายุ 13-14 ปีจึงแยกให้นอนอีกห้องต่างหาก (หน้า 20) 6. กะเหรี่ยง มีความเคร่งครัดในจารีตประเพณี มีข้อห้ามการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เด็กกะเหรี่ยงมีการเรียนรู้เรื่องเพศเมื่ออายุ 10-11 ปี โดยการได้ฟังจากเพื่อน และเรียนรู้ว่าการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องไม่สมควร การพูดคุยเรื่องเพศจะคุยเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน พ่อแม่ก็จะไม่พูดให้เด็กได้ยิน (หน้า 22-23) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การค้าประเวณี จากการศึกษาเห็นว่า สตรีชาวเขาหันมาค้าประเวณีเพื่อได้ “เงิน” เป็นค่าตอบแทนนั้น มีสาเหตุมาจากภายในชุมชนหรือหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1.แรงกดดันที่ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ไก้แก่ ที่ดินทำกินไม่เพียงพอ การเปลี่ยนมาเพาะปลูกเพื่อขายแทนการปลูกเพื่อบริโภคหรือยังชีพ การศึกษาอยู่ในระดับต่ำ ยาเสพติดแพร่ระบาดในหมู่บ้าน และปัญหาในครอบครัว 2.กลไกควบคุมทางสังคมมีประสิทธิภาพลดลง 3.วัฒนธรรมทางเพศของชาวเขาบางเผ่าเอื้อต่อการค้าประเวณี 4.การรับรู้ข่าวสารว่า อาชีพค้าประเวณีช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น (หน้า 25-27) |
|
Map/Illustration |
- ตารางแสดงจำนวนประชาการชาวเขาในประเทศซึ่งได้รวบรวมเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2535 (หน้า 2) - ตารางแสดงจำนวน ระดับอายุ หญิงที่ค้าประเวณีบริเวณจังหวัด เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รวบรวมเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2535 (หน้า 5) |
|
|