สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject วิถีชีวิต,ผู้หญิง,การขายบริการทางเพศ,ภาคเหนือ
Author คณะนักวิจัย สถาบันวิจัยชาวเขา จังหวัดเชียงใหม่
Title การค้าประเวณีของสตรีชาวเขา
Document Type - Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลีซู, ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 29 Year 2537
Source กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
Abstract

การศึกษาเป็นการรวบรวมประเด็นสาระสำคัญจากข้อมูลเชิงประจักษ์ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีของสตรีชาวเขาในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์การค้าประเวณีในกลุ่มสตรีชาวเขา ได้แก่ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สร้างแรงกดดันต่อวิถีชีวิตการดำรงชีวิตของชาวเขาซึ่งได้แก่ พื้นที่ทำกิน การศึกษา ครอบครัว และยาเสพติด ปัจจัยภายในชุมชน/สังคมชาวเขา ซึ่งได้แก่ กลไกควบคุมสังคมและเงื่อนไขทางวัฒนธรรมที่เป็นทัศนคติทางบวกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ และสุดท้ายปัจจัยจากสังคมภายนอกคือ การรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการค้าประเวณีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งสตรีชาวเขาตอบสนองข้อมูลเหล่านี้ โดยให้เป็นทางเลือกหนึ่งในการหางานที่มีรายได้ตอบแทน (คำนำ)

Focus

การศึกษานี้มุ่งเน้นประเด็นปัญหาการค้าประเวณีที่มีสาเหตุจากภายในชุมชนหรือหมู่บ้านชาวเขา (หน้า 25)

Theoretical Issues

ไม่ระบุ

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ มูเซอ อีก้อ เย้า ลีซอ แม้ว และกะเหรี่ยง ในจังหวัดเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน (หน้า 4)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่ระบุ

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

จำนวนประชากร ในปี พ.ศ. 2535 กลุ่มชาติพันธุ์ที่ศึกษา 6 กลุ่ม มีจำนวนทั้งสิ้นดังนี้ กะเหรี่ยง 292,814 คน แม้ว 91,537 คน เย้า 34,545 คน มูเซอ 57,144 คน ลีซอ 22,743 คน อีก้อ 32,041 คน (หน้า 2) การย้ายถิ่น ปัจจุบันการย้ายถิ่นมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ การย้ายถิ่นโดยตัวชาวเขาเอง เนื่องจากปัญหาการดำรงชีวิตในพื้นที่เดิม และการย้ายถิ่นโดยการจัดการของรัฐ ตามนโยบายควบคุมการใช้พื้นที่ป่าและนโยบายทางการปกครอง ชาวเขาบางหมู่บ้านปรับตัวเข้ากับสภาพพื้นที่ใหม่ได้ บางหมู่บ้านชาวเขาปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่ใหม่ไม่ได้และพื้นที่หลายแห่งที่รัฐจัดสรรให้เป็นที่ดินไม่มีคุณภาพ ผลผลิตไม่เพียงพอบริโภค (หน้า 6-7)

Economy

การเปลี่ยนแปลงระบบการเพาะปลูก ไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่า ปัจจุบันชาวเขาเปลี่ยนจากการเพาะปลูกแบบพึ่งตนเองเพื่อบริโภค มาเป็นการปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับการส่งเสริมจากรัฐ หรือนายทุน หรือชาวบ้านนำเข้าสู่ชุมชนเอง พืชเศรษฐกิจดังกล่าวได้แก่ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ถั่วแขก ฯลฯ การหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจทำให้ชาวเขาทุ่มเทแรงงานในการผลิตเพื่อตลาดและไม่ให้ความสำคัญกับการผลิตเพื่อบริโภคจนทำให้ประสบปัญหาความขาดแคลน ยากจน ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ และเข้าสู่สภาวะการเป็นหนี้สิน (หน้า 7)

Social Organization

ครอบครัวและเครือญาติ ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดของลักษณะครอบครัวและเครือญาติ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ครอบครัวเป็นหน่วยในการจัดการผลิต การบริโภค การแบ่งปัน และการซื้อขาย พึ่งพาซึ่งกันและกันในครอบครัวและกลุ่มเครือญาติ ครอบครัวเป็นสถาบันในการขัดเกลา อบรม สมาชิกเพื่อความเป็นปึกแผ่นของทั้งครอบครัว เครือญาติ และชุมชน ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก ทำให้ความสัมพันธ์เป็นแบบผลประโยชน์เฉพาะตัวเป็นสำคัญ เกิดการเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว (หน้า 9) การแต่งงาน 1. มูเซอ เด็กผู้ชายเริ่มเกี้ยวพาราสีตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เด็กผู้หญิงเริ่มเกี้ยวพาราสี อายุ 12-13 ปี ชายหญิงจะเกี้ยวพาราสีกันในเวลากลางคืนตามพุ่มไม้นอกหมู่บ้าน หาพอใจกันจะให้ของที่ระลึก และมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายจะสู่ขอและแต่งงานเมื่อฝ่ายชายอายุประมาณ 15-16 ปี ฝ่ายหญิงอายุ 13-14 ปี เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะไปอยู่บ้านพ่อแม่ฝ่ายสาว หนุ่มสาวที่แต่งงานกันมักจะมีประสบการณ์เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว ทั้งนี้ ชายหญิงที่แต่งงานกันตั้งแต่วัยรุ่น มักจะหย่าร้างกันง่าย แต่ละคนจึงเคยผ่านการแต่งงานหลายครั้ง การหย่าร้างไม่ถือเป็นเรื่องเสียชื่อเสียง (หน้า 13) 2. อีก้อ ห้ามหนุ่มสาวเกี้ยวพาราสีกันในบ้าน เพราะเป็นการไม่เคารพผีบรรพบุรุษ จึงมีการสร้างลานสาวกอดขึ้นให้หนุ่มสาวพบปะหลังเลิกงาน หากมีความพึงพอใจกันก็จะชวนไปร่วมหลับนอนในป่า การได้เสียก่อนแต่งานเป็นเรื่องไม่เสียหาย ฝ่ายชายจะไปขอหญิงสาว จัดพิธีที่บ้านฝ่ายชาย หลังแต่งงานฝ่ายหญิงจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านสามี หนุ่มสาวจะเริ่มแต่งงานอายุ 14 ปีขึ้นไป เมื่อมาอยู่บ้านสามีหญิงอีก้อมักจะถูกใช้งานหนัก จึงเกิดการหย่าร้างได้ง่าย (หน้า 15) หญิงอีก้อเมื่อแต่งงานจะย้ายไปอยู่บ้านสามี ตัดขาดจากผีบรรพบุรุษตนเอง หากหย่าร้างต้องย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือญาติ หากหม้ายเพราะสามีเสียชีวิตจะแต่งงานใหม่ได้หลังจากสามีเสียชีวิต 3 เดือน หญิงหม้ายจะต้องรีบแต่งงานใหม่ให้เร็วที่สุด (หน้า 16) 3. เย้า มีอิสระในการเลือกคู่ หนุ่มสาวเข้าสู่วัยรุ่นเมื่ออายุ 15-17 ปี จะเริ่มเกี้ยวพาราสี เมื่อพึงพอใจอาจมีเพศสัมพันธ์แต่ต้องเป็นห้องนอนฝ่ายหญิง สามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หากมีลูกก่อนแต่งงานจะเป็นสมบัติของฝ่ายหญิง (หน้า 17) ชายหญิงจะแต่งงานกันได้ต้องมีวันเกิดที่สมพงษ์กัน และได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย การแต่งงานเป็นการซื้อตัวเจ้าสาว เพราะเย้าถือว่าฝ่ายหญิงเป็นแรงงานที่ทำหน้าที่เพิ่มสมาชิกครอบครัวด้วย เย้าแต่งงานเมื่ออายุ 14-20 ปี นิยมมีผัวเดียวเมียเดียว แต่ไม่เคร่งครัด หญิงสาวต้องทำพิธีขอออกจากการนับถือผีบรรพบุรุษตน เพื่อเข้ามานับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายชาย บุตรต้องใช้แซ่สกุลของพ่อ (หน้า 17-18) เมื่อเกิดการหย่าร้าง ฝ่ายหญิงจะตกเป็นสมบัติของแซ่สกุลฝ่ายชาย หญิงต้องนับถือผีบรรพบุรุษฝ่ายชายต่อไป การแต่งงานใหม่จะต้องได้รับการยินยอมจากฝ่ายสามีเดิม การมีชู้ถือว่าผิตจารีต กรณีที่หญิงไม่มีลูกชาย สามีอาจแต่งงานใหม่หรือมีลูกบุญธรรมได้ (หน้า 18) 4. ลีซอ ชายหญิงเริ่มเกี้ยวพาราสีเมื่ออายุ 14-15 ปี บริเวณครกกระเดื่องตำข้าวข้างบ้าน และการร้องเพลงโต้ตอบกัน หรือการเกี้ยวพาราสีกันในงานเทศกาลต่างๆ โดยการจับคู่เต้นรำกัน ชายหญิงแซ่สกุลเดียวกันห้ามมีความสัมพันธ์ชู้สาวกัน ชายหญิงที่ชอบพอกันอาจนัดหมายไปพบกันในเวลากลางคืนใกล้ๆ หมู่บ้าน และเป็นโอกาสในการมีเพศสัมพันธ์กัน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องปกติ ชายหญิงจะแต่งงานเมื่ออายุ15-16 ปี ชายหญิงก่อนแต่งงานส่วนใหญ่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว การแต่งงานต้องใช้เงินมาก จึงทำให้ลีซอมักมีภรรยาคนเดียว เพราะถ้ามีอีกก็จะต้องเสียเงินมาก หากหย่าร้างจะเสียดายเงินที่จ่ายไป (หน้า 19) ลีซอมีการหย่าร้างน้อย หากหย่าร้างฝ่ายหญิงจะย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือแต่งงานใหม่ หญิงหม้ายไม่มีข้อห้ามในการแต่งงานใหม่ (หน้า 20) 5. แม้ว(ฮม้ง) เมื่อเด็กชายอายุ 12-13 ปี พ่อแม่จะสนับสนุนให้เกี้ยวพาราสีเด็กผู้หญิงต่างแซ่สกุลในเวลากลางคืน ตามบ้านฝ่ายหญิงหรือที่สาธารณะ ประเพณีปีใหม่เป็นโอกาสให้ชายหญิงเกี้ยวพาราสีกันในหมู่บ้านหรือต่างหมู่บ้านได้ ถ้ามีความพึงพอใจสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ที่บ้านฝ่ายหญิง ตามพุ่มไม้หรือป่ารอบๆ หมู่บ้าน ปกติจะมีการคบหากันประมาณ 2-3 ปีก่อนแต่งงาน การแต่งงานจะเริ่มตั้งแต่อายุ 14-15 ปี คนแซ่สกุลเดียวกันแต่งงานกันไม่ได้เด็ดขาด เมื่อแต่งงานฝ่ายชายต้องมอบสินสอดให้ฝ่ายหญิง เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย คอยปรนนิบัติญาติพี่น้องฝ่ายชาย ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะถือเป็นสมบัติฝ่ายชาย ต้องถือแซ่สกุลฝ่ายชาย กรณีที่สามีเสียชีวิตก่อนฝ่ายหญิงคงถือเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องฝ่ายสามี ถ้าแต่งงานใหม่สามีใหม่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้พ่อแม่สามีเดิม ญาติพี่น้องสามีสามารถแต่งงานกับพี่สะใภ้หรือน้องสะใภ้ได้ การหย่าร้างในสังคมแม้วมีน้อยมาก (หน้า 21-22) 6. กะเหรี่ยง หนุ่มสาวอายุ 13 ปีขึ้นไปจะมีการพบปะเพื่อเลือกคู่ครองในการร้องเพลงงานศพ มีโอกาสเกี้ยวพาราสี ชายหญิงจะร้องเพลงตอบโต้กันแสดงความในใจ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องผิดประเพณีร้ายแรง จะถูกลงโทษจากผีประจำตระกูลหรือผีประจำหมู่บ้าน เมื่อมีความพึงพอใจกันฝ่ายชายจะมาของฝ่ายหญิง วัยที่แต่งงานจะอายุ 15 ปีขึ้นไป พิธีแต่งงานจะมีในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ใช้เวลาประกอบพิธี 2 วัน วันที่ 3 จะเดินทางไปเลี้ยงแลองที่บ้านฝ่ายชาย ฝ่ายชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง 1 ฤดูกาล แล้วค่อยแยกมาสร้างบ้านใกล้บ้านพ่อแม่ฝ่ายหญิง ในสังคมกะเหรี่ยงหญิงหม้าย มีโอกาสหาคู่ครองใหม่น้อยมาก ชายหม้ายจะไม่สามารถนำภรรยาใหม่มาอยู่บ้านหลังเดิมได้ เพราะเชื่อว่าบ้านเป็นอาณาจักรวิญญาณของภรรยา แต่หญิงหม้ายสามารถนำสามีใหม่มาอยู่บ้านหลังเดิมได้ การหย่าร้างในสังคมกะเหรี่ยงค่อนข้างมีน้อย (หน้า 23-24)

Political Organization

กลไกการควบคุมสังคม ในรายงานกล่าวว่า ชาวเขามีจารีตที่เป็นกลไกควบคุมสังคมที่สำคัญ 3 อย่างคือ ผู้นำในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเครือญาติ และความเชื่อดั้งเดิม แต่ปัจจุบัน กลไกทั้ง 3 อย่างนี้มีประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงภายในสังคม/ชุมชนชาวเขา (หน้า 9-10)

Belief System

ในรายงานไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่า ชาวเขาเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติที่เรียกว่า “ผี” การกระทำสิ่งใดที่ละเมิดต่อข้อห้าม จารีตประเพณีจะถูกอำนาจเหนือธรรมชาติลงโทษ อย่างไรก็ดีประสบการณ์การมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่นทำให้ชาวเขารุ่นใหม่มีแนวโน้มผ่อนคลาย ปรับเปลี่ยนความเชื่อดั้งเดิม หันไปยอมรับค่านิยมทางวัตถุ รับความคิดและการกระทำตามแบบคนไทยพื้นราบที่อยู่ใกล้เคียงและในตัวเมือง (หน้า 10)

Education and Socialization

กระบวนการเรียนรู้เรื่องเพศ ในรายงานกล่าวดังนี้ 1. มูเซอ เริ่มเรียนรู้จากการได้ยินเพื่อนวัยเดียวกันหรือต่างวัยตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปี เด็กจะได้ยินพอแม่ ญาติพี่น้องพูดค่อยเรื่องเพศบ่อยครั้ง โดยใช้คำพูดว่า “ปะ” แปลว่าการร่วมเพศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่หยาบคาย ยกเว้นคุยในที่สาธารณะ และด้วยสภาพที่อยู่อาศัยทำให้เด็กได้ยินเสียงและเห็นการกระทำบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการยากลองเลียบแบบ (หน้า 12-13) 2. อีก้อ หนุ่มสาวมีอิสระในการเลือกคู่ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นที่ยอมรับในสังคม ชายหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นประมาณ 11-12 ปี ชายจะรู้จักการหลับนอนกับหญิงจากบิดาหรือพี่ชาย วัยรุ่นชายหญิงที่ไม่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์เรียกว่า “และที” ซึ่งถูกเยาะเย้อว่าเป็นวัยรุ่นที่ไม่สมบูรณ์ (หน้า 14) 3. เย้า เด็กหญิงและเด็กชายจะถูกเลี้ยงดูที่แยกจากกันชัดเจน เด็กหญิงต้องนอนที่ห้องหญิงโสด มีการอบรมให้เป็นแม่บ้านที่ดี เมื่อเด็กชายอายุ 12 ปี เด็กหญิงอายุ 14 ปี หมอผีจะทำพิธีเรียกขวัญมาคุ้มครอง สามารถเข้ากลุ่มกับผู้ใหญ่ได้ ชายต้องอายุ 15-17 ปีจึงจะมีอิสระในเรื่องเพศสัมพันธ์ หญิงแม่จะเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์และสามารถมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุ 14 ปีขึ้นไป การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งานเป็นเรื่องปกติ (หน้า 16-17) 4. ลีซอ การค้าประเวณีถือเป็นเรื่องน่าอายถูกหเนียดหยาม ชายหญิงจะเริ่มเรียนรู้เรื่องเพศตั้งแต่อายุ 9-10 ปี โดยฟังจากเด็กที่วัยสูงกว่าหรือพ่อแม่พี่น้อง พ่อแม่จะให้เด็กอายุระหว่างนี้นอนแยกระหว่างบุตรชายหญิง ในบ้านจะมีห้องพ่อแม่ และห้องบุตรสาว บุตรชายมักนอนที่นอนสำหรับรับแขก พ่อแม่จะอบรมบุตรไม่ให้พูดจาเรื่องเพศต่อหน้าผู้ใหญ่ และการห้ามร่วมเพศ (หน้า 18) 5. แม้ว(ฮม้ง) การค้าประเวณีถือเป็นเรื่องน่าอับอาย พ่อแม่จะแยกการอบรมเลี้ยงดูบุตรหญิงชายเมื่ออายุ 10 ปี โดยลูกชายจะถูกแยกนอนกับพ่อแม่ เด็กผู้หญิงอายุ 13-14 ปีจึงแยกให้นอนอีกห้องต่างหาก (หน้า 20) 6. กะเหรี่ยง มีความเคร่งครัดในจารีตประเพณี มีข้อห้ามการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เด็กกะเหรี่ยงมีการเรียนรู้เรื่องเพศเมื่ออายุ 10-11 ปี โดยการได้ฟังจากเพื่อน และเรียนรู้ว่าการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องไม่สมควร การพูดคุยเรื่องเพศจะคุยเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน พ่อแม่ก็จะไม่พูดให้เด็กได้ยิน (หน้า 22-23)

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

การค้าประเวณี จากการศึกษาเห็นว่า สตรีชาวเขาหันมาค้าประเวณีเพื่อได้ “เงิน” เป็นค่าตอบแทนนั้น มีสาเหตุมาจากภายในชุมชนหรือหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 1.แรงกดดันที่ก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ไก้แก่ ที่ดินทำกินไม่เพียงพอ การเปลี่ยนมาเพาะปลูกเพื่อขายแทนการปลูกเพื่อบริโภคหรือยังชีพ การศึกษาอยู่ในระดับต่ำ ยาเสพติดแพร่ระบาดในหมู่บ้าน และปัญหาในครอบครัว 2.กลไกควบคุมทางสังคมมีประสิทธิภาพลดลง 3.วัฒนธรรมทางเพศของชาวเขาบางเผ่าเอื้อต่อการค้าประเวณี 4.การรับรู้ข่าวสารว่า อาชีพค้าประเวณีช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น (หน้า 25-27)

Critic Issues

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

- ตารางแสดงจำนวนประชาการชาวเขาในประเทศซึ่งได้รวบรวมเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2535 (หน้า 2) - ตารางแสดงจำนวน ระดับอายุ หญิงที่ค้าประเวณีบริเวณจังหวัด เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รวบรวมเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2535 (หน้า 5)

Text Analyst รัฐกานต์ ณ พัทลุง Date of Report 09 ต.ค. 2563
TAG วิถีชีวิต, ผู้หญิง, การขายบริการทางเพศ, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง