|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาว,ไทย-ลาว,พุทธศาสนา |
Author |
ทรงคุณ จันทจร |
Title |
Looking Laos through Buddhism |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
53 |
Year |
2541 |
Source |
Inter - Ethnic Relations in the Making of Mainland southeast Asia.Vol.1, Compiled by Hayashi, Yukio, pp.178 - 231, Center for Southeast Asian Studies Kyoto University. |
Abstract |
พุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของคนเชื้อชาติไทยและลาวทั้งต่อบุคคลและต่อสาธารณะ ในแง่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ความเชื่อและความศรัทธา ในความคิดเห็นของคนไทยและลาว พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พวกเขาเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง แม้ว่าในทางปฏิบัติของชีวิตประจำวันจะมีความเชื่อของทางฮินดูหรือเรื่องของเทพเทวดามาเกี่ยวข้องบ้างก็ตาม โดยเฉพาะ พุทธศาสนาจะสะท้อนออกมาใน "ฮีตสิบสอง" หรือ "ประเพณีสิบสองเดือน" ซึ่งเป็นจารีตประเพณีที่ชาวบ้านไทย-ลาวในภาคอีสานและคนลาวถือปฏิบัติอยู่ในโอกาสต่าง ๆ ทั้งสิบสองเดือนในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ค.ศ.1975 ในลาว พุทธศาสนาธรรมยุตินิกายและมหานิกาย ถูกยกเลิกให้รวมเป็นพระสงฆ์ลาวหนึ่งเดียวกันภายใต้การปกครองของคณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว (The Central State Council of Bonze) และกำกับดูแลโดยแนวโฮม หรือ แนวลาวสร้างชาติ (The Lao Front for National Construction) ส่วนของไทย พุทธศาสนาอยู่ภายใต้การจัดระเบียบการปกครองของมหาเถรสมาคม และสถาบันพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในสามสถาบันหลักของชาติ ในส่วนของการศึกษาของสงฆ์และสามเณร ทั้ง สปป.ลาว และประเทศไทยให้ความสำคัญกับการศึกษาของภิกษุสามเณรอย่างมาก โดยเห็นเหมือนกันว่า พุทธศาสนามีส่วนอย่างสำคัญในการให้การศึกษาแก่ประชาชน โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้คนยากจนมีโอกาสในการศึกษาบวชเรียน รัฐบาลของทั้งสองประเทศสนับสนุนการศึกษาของภิกษุสามเณร ตั้งแต่ระดับต้นจนถึงระดับอุดมศึกษา (หน้า 203-204) |
|
Focus |
ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในภาคอีสานของไทยและใน สปป.ลาว โดยเฉพาะคนไทย-ลาวและคนลาว โดยมุ่งศึกษาในประเด็นพุทธศาสนาในเรื่องการปกครองและการศึกษาของคณะสงฆ์ทั้งของลาวและของไทย |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ลุ่มน้ำโขง 1. กลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสาน 19 จังหวัดของไทย ผู้คนในบริเวณนี้ถูกเรียกว่า "ลาว" มี "ฮีตสิบสอง" หรือ "ฮีตบ้านคองเมือง" เป็นประเพณีท้องถิ่น แบ่งเป็น 2 กลุ่มตามภาษาถิ่น คือ กลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว และกลุ่มวัฒนธรรมมอญ-เขมร 1.1) กลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว มีมากที่สุดในอีสาน คนไทยมักเรียกว่า "ลาว" เพราะพูดภาษาเดียวกับคนลาว กลุ่มไทย-ลาวสืบวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงมาแต่โบราณร่วมกับกลุ่มไทยเวียง (ชาวเวียงจันทร์) มีอักษรของตนเองใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา และเมื่อพิจารณาวัฒนธรรมย่อย โดยเฉพาะภาษาถิ่นและจารีตแล้ว สามารถจำแนกออกได้เป็น 5 กลุ่มคือ ไทย-ลาว, ไทยย้อ, ไทยโย้ย, ผู้ไทย และไทยแสก กลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาวจะตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ของแก่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี เลย มุกดาหาร บางอำเภอในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ (อ.รัตนบุรี) นครราชสีมา (อ.บัวใหญ่ สูงเนิน ปักธงชัย) และบุรีรัมย์ (อ.พุทไธสง) (หน้า 184) 1.2) กลุ่มวัฒนธรรมมอญ-เขมร ใช้ภาษาตระกูลมอญ-เขมร ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนล่างของภาคอีสาน ปัจจุบันมีอาศัยอยู่ในอำเภอเมือง สังขละ ปราสาท และอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งส่วนใหญ่พูดภาษาเขมร สำหรับในพื้นที่ห่างไกลชาวบ้านยังคงพูดภาษา "กูย" (Guy) กลุ่มวัฒนธรรมมอญ-เขมร นอกจากกลุ่มเขมรและกูยแล้ว ยังมีกลุ่ม "โส้" (So) ในอำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร กลุ่ม "กะเลิง" (Kalerng) อยู่บริเวณเทือกเขาภูพานจังหวัดสกลนคร และตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม และกลุ่ม "บรู" (Bru) ที่จังหวัดอุบลราชธานีและมุกดาหาร (หน้า 184, 212) ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสานของไทยไม่ได้จำแนกตามกลุ่มเชื้อชาติ (race) แต่มีการผสมอยู่ปะปนกันตามการอพยพย้ายถิ่น เศรษฐกิจ การเมือง-การปกครอง และประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจแบ่งกลุ่มคนในจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสานออกได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ (หน้า 185, 212-213) กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงตอนกลางของประเทศลาวเมื่อประมาณ 200 - 300 ปีมาแล้ว อาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร นครพนม หนองคาย และบางอำเภอในกาฬสินธุ์ กลุ่มที่ 2 อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 รวมทั้งมาจากทางตอนเหนือของลาวเมื่อ 250 ปีมาแล้ว อาศัยอยู่ในจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ยโสธร อุบลราชธานี บางอำเภอในศรีสะเกษและบุรีรัมย์ กลุ่มที่ 3 อพยพมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงทางตอนเหนือของลาวเมื่อประมาณ 200 - 250 ปีมาแล้ว (สำเนียงการพูดจะเหมือนกับคนหลวงพระบาง) อาศัยอยู่ในจังหวัดเลย กลุ่มที่ 4 อพยพมาจากพุทไธสมัน (Puttaisaman) อาศัยอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา และ บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคหินมาจนถึงยุคขอมเรืองอำนาจ เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการปกครองจากนครวัดและนครธมกับเมืองในภาคอีสาน กลุ่มที่ 5 อพยพมาจากเขมรและเมืองอัตเปอภาคใต้ของลาว อาศัยอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ และ สุรินทร์ ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ 2. กลุ่มชาติพันธุ์ใน สปป.ลาว ประกอบด้วยหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีและลักษณะทางสังคมแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในแขวงหลวงน้ำทามีกลุ่มชาติพันธุ์มากที่สุดคือ 39 กลุ่ม แขวงที่มีน้อยที่สุดคือแขวงเวียงจันทน์มี 7 กลุ่ม เป็นต้น สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ 2.1) แบ่งตามลักษณะทางภาษาแบ่งออกได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลุ่มภาษาไท-ลาว (Tai - Lao) เป็นกลุ่มที่อาศัยอยู่บนที่ราบ (2) กลุ่มภาษามอญ-เขมร (Mon - Khmer) (3) กลุ่มภาษา Sino - Tibetans (4) กลุ่มภาษา Tibeto - Burmese ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนภูเขา 2.2) แบ่งตามถิ่นที่อยู่ และเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ดังนี้ (1) ลาวลุ่ม (Lao Lum) อาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง เป็นกลุ่มย่อยของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาไท-ลาว มีวัฒนธรรมปลูกข้าวอาศัยน้ำฝน (wet-rice) และเหมือนกับไทยคือเดิมไหว้ผี ภายหลังนับถือพุทธศาสนาเถรวาท (2) ลาวเทิง (Lao Theung) คือ กลุ่มภาษามอญ-เขมร มีขมุ (Khamu) มากที่สุด รองลงมาคือ ทิน (Htin) ลาเม็ท (Lamet) และกลุ่มที่เล็กลงมาคือ บรู (Bru) กะตู (Katu) กะตาง (Katang) อาลัค (Alak) และยังมีกลุ่มอื่นอยู่ทางภาคใต้ ลาวเทิงบางครั้งถูกเรียกว่า ข่า มีความหมายในภาษาลาวว่า "ข้ารับใช้" หรือ "ทาส" ลาวเทิงอาศัยอยู่บนที่สูงราว 300 - 1,200 เมตรในภาคเหนือและภาคใต้ของลาว การค้าขายกับกลุ่มอื่นใช้วิธีแลกเปลี่ยนสินค้า (3) ลาวสูง (Lao Sung) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มภาษา Miao - Yal อาศัยอยู่บนที่สูงกว่า 1,000 เมตรเหนือน้ำทะเล กลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มม้ง (Hmong) หรือที่ถูกเรียกว่า "เมี้ยว" (Miao) หรือ "แม้ว" (Meo) มีจำนวนประมาณสองแสนคน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ม้งขาว (White Hmong) ม้งแดง (Red Hmong) ม้งดำ (Black Hmong) ม้งลาย (Striped Hmong) แบ่งตามสีเสื้อผ้าที่สวมใส่ ปลูกข้าวไร่และข้าวโพดเป็นหลัก ใช้วิธีตัดโค่นแล้วเผา (slash-and-burn) และมีการเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ ควาย เป็นต้น กลุ่มใหญ่รองลงมาคือ "เมี่ยน" (Mien) ถูกเรียกว่า "อิวเมี่ยน" (Iu Mien), "เย้า" (Yao) และ "มัน" (Man) มีจำนวนประมาณสามหมื่นถึงห้าหมื่นคน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหลวงน้ำทา (Luang Nam Tha) หลวงพระบาง (Luang Phabang) บ่อแก้ว (Bokeo) อุดมไซ (Udomxai) และพงสาลี (Phongsali) กลุ่มอื่น ๆ ที่เล็กกว่าก็มีชาติพันธุ์บนเขากลุ่ม Tibato - Burman ในลาว รวมทั้ง ลีซู (Lisu) ลาหู่ (Lahu) Iko (AKha อาข่า) และผู้น้อย (Phu Noi) บางครั้งหากอยู่ต่ำลงมาก็อาศัยปะปนกับกลุ่มลาวเทิง แต่ก็ยังอยู่บนภูเขาทางเหนือของลาว (หน้า 186-189) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของกลุ่มวัฒนธรรมในภาคอีสานจะใช้ภาษาถิ่น กลุ่มที่ใช้ภาษาเดียวกันหรือมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งอาจแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ 1.กลุ่มภาษาไทยถิ่น เช่น ไทย-ลาว ผู้ไทย ไทยย้อ ไทยแสก เป็นต้น ซึ่งภาษาพูดจะใกล้เคียงกับภาษาไทยมาก 2. กลุ่มวัฒนธรรม มอญ - เขมร (Mon-Khmer) เป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่มีภาษาพูดแตกต่างจากภาษาไทยมาก เช่น เขมร กูย (ส่วย) เป็นต้น นอกจากนี้จะเป็นชนกลุ่มน้อย อื่น ๆ ตั้งชุมชนแทรกอยู่ (หน้า 183) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์การนับถือศาสนาพุทธของคนลาว ประมาณร้อยละ 60 ของคนลาวใน สปป.ลาว นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท ในจำนวนดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นคนลาวพื้นราบ พุทธศาสนาถูกนำเข้ามาในหลวงพระบาง (Muang Sawa) ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 หรือ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าฟ้างุ้ม (King Fa Ngum) แห่งอาณาจักรล้านช้าง (Lan Xang) เป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่ประกาศให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งรัฐ โดยการรับเอาพระบาง (Pha Bang Buddha) มาจากเขมร และได้สร้างวัดขึ้นในเมืองหลวงพระบางเพื่อประดิษฐานพระบาง แต่พุทธศาสนาแผ่ขยายไปได้ช้ามาก เนื่องจากชาวบ้านยังนับถือผีกันอยู่ ต่อมาพระเจ้าเชษฐาธิราช (King Setthathirat) ซึ่งปกครองล้านช้างระหว่างปี ค.ศ.1547 - 1571 พยายามที่จะทำให้เมืองเวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนา แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าสุริยะวงศา (King Sulinya Vongsa) ช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการสอนพุทธศาสนาในโรงเรียนลาว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ลาวได้บำรุงรักษานิกายเถรวาทมาอย่างต่อเนื่อง (หน้า 189) |
|
Settlement Pattern |
มีข้อมูลเล็กน้อย (ดูหัวข้อ Community Site and Environment) |
|
Demography |
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีประชากร 4.5 ล้านคน |
|
Political Organization |
สปป.ลาวมีองค์ประกอบการปกครองที่สำคัญอยู่ 3 องค์ประกอบ คือ (หน้า 181-182) 1) พรรคประชาชนปฏิวัติลาว (The Lao Peoples Revolutionary Party / LPRP) เป็นองค์กรชี้นำและสนับสนุนทุกหน่วยงานทั่วประเทศให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลตามพื้นฐานแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมือง Marxist Leninist 2) อำนาจการปกครองแบบประชาธิปไตยประชาชน ประกอบด้วยอำนาจการปกครอง ดังนี้ 2.1) อำนาจการปกครองระดับศูนย์กลาง (Centralization) ประกอบด้วย 3 สถาบัน คือ สภาประชาชนสูงสุด (มีหน้าที่ออกกฎหมายและวางนโยบายและงบประมาณแห่งชาติ) สภารัฐมนตรี (เป็นองค์กรบริหารสูงสุดมี 13 กระทรวง) และศาลประชาชนสูงสุด 2.2) การปกครองส่วนท้องถิ่น มี 16 แขวง (Khwaeng / Province) และ 1 กำแพงนครเวียงจันทน์ แต่ละแขวงประกอบด้วย เมือง (Muang / District) ตาแสง (Tasseng / Subdistrict) และบ้าน (Baan / Village) การแบ่งเขตการปกครองอาศัยหลักการหลายอย่าง เช่น หลักเศรษฐกิจ ชนเผ่า การบริหาร และประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นต้น 3) องค์การจัดตั้งมหาชน ได้รับการจัดตั้งจากพรรคประชาชนปฏิวัติลาว มีข่ายงานโยงใยทั่วประเทศเคียงคู่กับพรรคและรัฐบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ศูนย์กลางไปจนระดับพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์การ ได้แก่ 3.1) องค์การจัดตั้งชาวหนุ่มประชาชนปฏิวัติลาว (กลุ่มเยาวชนปฏิวัติลาว) 3.2) สมาพันธ์กำมะบาลลาว (สมาพันธ์กรรมกรลาว) (Lao Labour Union) 3.3) สมาพันธ์แม่หญิงลาว (สมาพันธ์สตรีลาว) (Lao Women Union) 3.4 แนวโฮม หรือ แนวลาวสร้างชาติ (The Lao Front for National Construction / LFNC) เป็นองค์กรที่รวมประชาชนทุกชนชั้น ทุกเพศทุกวัย ทุกชนเผ่า และทุกศาสนา มีหน้าที่สร้างฐานการปกครองชาติตามแนวพื้นฐานการปกครองที่ชี้นำโดยพรรค LPRP พุทธศาสนากับการปกครองของลาว องค์กรการปกครองหลักที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธตั้งแต่จากระดับศูนย์กลางประเทศจนถึงระดับพื้นฐานระดับบ้านของลาว คือ แนวโฮม แนวโฮมจะมีอยู่ทุกระดับการปกครองของประเทศ มีศูนย์กลางอยู่ที่เวียงจันทน์ รองลงมาไปเป็นแนวโฮมระดับแขวง ระดับเมือง ระดับตาแสง และระดับบ้าน โดยมีการเลือกคณะกรรมการขึ้นมาบริหาร เริ่มจากการคัดเลือกในระดับบ้านเรียกว่า คณะแนวบ้าน มีจำนวน 5 คนสำหรับหมู่บ้านใหญ่ และ 3 คนสำหรับหมู่บ้านเล็ก ขั้นต่อไปเลือกจากตาแสงจำนวน 15 คนสำหรับตาแสงใหญ่ และ 7 คนสำหรับตาแสงเล็ก ในระดับนี้จะมีพระสงฆ์ร่วมเป็นกรรมการ 1 รูป ต่อไปก็ระดับเมืองจำนวน 15 คนสำหรับเมืองใหญ่ และ 7 คนสำหรับเมืองเล็ก ซึ่งรวมพระสงฆ์ 1 รูป ต่อไปในระดับแขวง แขวงใหญ่มีกรรมการ 50 คน แขวงเล็กมี 20 คน ซึ่งรวมพระสงฆ์ 1 รูป สุดท้ายเลือกในระดับศูนย์กลางที่เวียงจันทน์มีคณะกรรมการประมาณ 100 คน พรรคประชาชนปฏิวัติลาว (LPRP) และรัฐบาลลาวมอบหมายให้แนวโฮมกำกับดูแลและติดตามผล เพื่อให้พุทธศาสนาปฏิบัติให้สอดคล้องกับแนวทางของพรรค LPRP โดยมีกรมการศาสนาเป็นผู้กำกับดูแลในเรื่องนโยบาย งบประมาณ และหนังสือตำราต่าง ๆ แก่วัดและพระสงฆ์ โดยทั่วไป บทบาทหน้าที่ของพระสงฆ์ลาวมีดังนี้ 1) เทศนาสั่งสอนเผยแพร่ศาสนาโดยให้ประสานกับนโยบายของพรรค 2) ช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ประชาชนโดยเฉพาะลูกคนจนให้มีโอกาสได้บวชเรียน 3) ค้นคว้าผลิตยาสมุนไพรเพื่อช่วยเหลือประชาชน 4) ผลิตต้นกล้าพันธุ์พืชที่กินได้แจกจ่ายประชาชน 5) ปกป้องรักษาทรัพย์สมบัติของวัด รวมถึงการปฏิสังขรและดูแลวัดให้สะอาดร่มเย็น (หน้า 191-193) |
|
Belief System |
ประเพณี 12 เดือนใน สปป.ลาว และในอีสานของไทย ประเพณี 12 เดือน เป็นประเพณีประจำปีของกลุ่มชาติพันธุ์ที่พูดภาษาไทย-ลาวในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งนับถือพุทธศาสนาและยึดหลัก "ฮีตสิบสอง" ในการดำเนินชีวิต "ฮีต" หมายถึง "จารีต" "สิบสอง" หมายถึงสิบสองเดือน "ฮีตสิบสอง" จึงหมายถึงวิถีชีวิตหรือจารีตที่ชาวบ้านถือปฏิบัติในโอกาสต่าง ๆ ในรอบสิบสองเดือน ซึ่งได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ประเพณีสิบสองเดือนบางท้องถิ่นอาจปฏิบัติแตกต่างกันออกไป และประเพณีบางอย่างก็อาจเลิกปฏิบัติกันแล้ว งานบุญประเพณีที่ทั้งคนลาวและคนอีสานยังนิยมปฏิบัติกันอยู่อย่างกว้างขวาง และมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อยได้แก่ บุญเดือนสี่ (มีนาคม) บุญพระเวส เดือนห้า (เมษายน) บุญสังขารต์ขึ้นหรือบุญสงกรานต์ หรือบุญปีใหม่ในอีสาน เดือนแปด (กรกฎาคม) บุญเข้าพรรษา เดือนเก้า (สิงหาคม) บุญข้าวประดับดิน เดือนสิบ (กันยายน) บุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ด (ตุลาคม) บุญออกพรรษาหรือบุญไหลเรือไฟ และเดือนสิบสอง บุญกฐิน อย่างไรก็ตาม เมื่อการท่องเที่ยวเข้ามามีบทบาทโดยเฉพาะในภาคอีสานของไทย ทำให้การปฏิบัติประเพณีฮีตสิบสองมีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยว เช่น บุญแห่เทียนเข้าพรรษาของจังหวัดอุบลราชธานี และบุญไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม เป็นต้น (หน้า 200-203, 227-229) พุทธศาสนาใน สปป.ลาว ในอดีตพุทธศาสนาในประเทศลาวแบ่งออกเป็นมหานิกายและธรรมยุตินิกาย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ค.ศ.1975 รัฐบาลลาวได้ยกเลิกทั้งสองนิกาย และให้นับถือศาสนาพุทธเพียงหนึ่งเดียว เรียกว่า "พระสงฆ์ลาว" เพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ให้มีการแบ่งแยกศาสนาพุทธ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมต่าง ๆ ที่ฝ่ายธรรมยุติเคยปฏิบัติก็ยังคงปฏิบัติได้ในปัจจุบัน (หน้า 190) การปกครองคณะสงฆ์ของ สปป.ลาว หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ค.ศ.1975 การปกครองคณะสงฆ์ลาวอยู่ภายใต้ "คณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์" (The Central State Council of Bonze) ประธานคณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์ที่เวียงจันทน์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และตำแหน่งรองลงไปคือประธานคณะกรรมการในระดับแขวง ระดับเมือง ระดับตาแสง และมีเจ้าอาวาสปกครองในระดับบ้าน โดยแต่ละตำแหน่งมีวาระ 5 ปี แต่อาจถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งต่อได้ คณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์จะประกอบด้วย ประธาน รองประธาน เลขานุการ และคณะกรรมการอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งโครงสร้างในระดับแขวงก็เป็นเช่นเดียวกัน คณะกรรมการอาจใช้วิธีเลือกตั้ง หรือถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งก็ได้ (เพราะพระสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่อยากจะดำรงตำแหน่ง) (หน้า 190) การปกครองคณะสงฆ์ของไทย ตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ระเบียบการปกครองสงฆ์ไทยมีมหาเถรสมาคมกำกับดูแล โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานกรรมการ สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการ และพระราชาคณะที่สมเด็จพระสังฆราชแต่งตั้งไม่ต่ำกว่า 4 รูปและไม่เกิน 8 รูปเป็นกรรมการ โดยมีอธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม ในส่วนภูมิภาค มหาเถรสมาคมจัดระเบียบการปกครองโดยแบ่งเขตการปกครองเป็นระดับภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล และให้พระภิกษุเป็นผู้ปกครองตามลำดับชั้น คือ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส การแต่งตั้งถอดถอนตำแหน่งปกครองสงฆ์ กำหนดโดยกฎมหาเถรสมาคม สำหรับการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางแบ่งเขตการปกครองดังนี้ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง (ปกครองคณะสงฆ์ภาค 1- 3, 13 -15) เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ (ภาค 4 - 7) เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก (ภาค 12 และภาคอีสานคือ ภาค 8 - 11) เจ้าคณะใหญ่หนใต้ (ภาค 16 - 18) และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุติทุกภาค (หน้า 194-195) เปรียบเทียบระหว่างการปกครองคณะสงฆ์ลาวและไทย มีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง เช่น ประมุขสูงสุดของคณะสงฆ์ลาว คือ ประธานพุทธศาสนาสัมพันธ์ที่นครเวียงจันทน์ ส่วนของไทย คือ สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม องค์กรปกครองสงฆ์สูงสุดของลาวคือ คณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์ ส่วนของไทยคือมหาเถรสมาคม ทั้งสองประเทศมีกรรมการศาสนาเป็นผู้กำกับดูแล ส่วนข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ พุทธศาสนาในลาวไม่ได้แยกนิกาย ส่วนของไทยแยกเป็นมหานิกายและธรรมยุตินิกาย และแยกกันปกครอง ตลอดจนการเผยแพร่ศาสนาในลาวต้องสอดคล้องกับนโยบายของพรรค LPRP ภายใต้การกำกับดูแลของแนวโฮม ส่วนของไทยไม่มีในข้อนี้ อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้อิสรภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา (หน้า 195) |
|
Education and Socialization |
ระบบการศึกษาของสงฆ์ลาวและไทย ระบบการศึกษาของภิกษุสงฆ์และสามเณรไทยและลาวได้รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะชาวบ้านยากจนในชนบทก็มีโอกาสได้รับการศึกษา นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันสงฆ์มีโอกาสประกอบอาชีพอื่น ๆ ได้อย่างอิสระภายหลังลาสิกขาแล้ว (หน้า 200, 227) การศึกษาของคณะสงฆ์ลาว หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศลาวปี ค.ศ.1975 ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ลาวแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ 1) ระดับประถมศึกษา เริ่มตั้งแต่ประถม 3-5 อายุ 9 - 12 ปี 2) ระดับมัธยมศึกษา เริ่มตั้งแต่ ม.3 รับจากผู้ที่เรียนจบจากประถม 5 ในระดับมัธยมสำหรับภิกษุสามเณรนี้มีการเรียนการสอน 2 สาย ได้แก่ สายสามัญ เรียนธรรมะและวิทยาศาสตร์ และ สายโรงเรียนสร้างครูสงฆ์ เรียนเพื่อไปเป็นครูสอนพระสงฆ์ 3) ระดับมหาวิทยาลัย หรืออุดมศึกษามี 3 ระดับคือ อ.1 3 มีสถานศึกษาที่เวียงจันทน์เพียงแห่งเดียว คือ วิทยาลัยสร้างครูสงฆ์วัดธาตุหลวงและวัดองตื้อ รวมสองสถาบัน การเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษามีสองประเภทคือ ประเภทโควตา คัดเลือกผู้จบมัธยมจากแขวงโดยความเห็นชอบของพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว คุณสมบัติที่จะได้รับการคัดเลือก คือ ต้องเรียนจบ ม.3 แล้วไปช่วยสอน 1 ปีในโรงเรียนประถมศึกษาในชนบท หรือระดับมัธยมในเมืองมาก่อน และหลังจากศึกษาจบมหาวิทยาลัยแล้ว ต้องกลับไปใช้ทุนให้รัฐบาลตามที่รัฐจะกำหนด ส่วนอีกประเภท เป็นประเภททั่วไป คือ ผู้จบ ม.3 แล้วสอบเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้เอง ไม่เกี่ยวกับรัฐ เมื่อจบแล้วก็สามารถประกอบอาชีพได้อย่างอิสระ (หน้า 195 196) ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สืบเนื่องมาจากในอดีตวัดเป็นสถานที่แห่งแรกสำหรับให้การศึกษาแก่เด็ก รวมถึงประชาชนทั่วไป ดังนั้น เพื่อให้มีความรู้แตกฉาน สามเณรนอกจากจะต้องเรียนปริยัติธรรมแล้ว ยังจำเป็นต้องเรียนวิชาการต่าง ๆ ควบคู่กันด้วย ปัจจุบัน แม้ว่าการศึกษาของคณะสงฆ์จะมีการพัฒนาไปอย่างกว้างขวางแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีการจัดการศึกษาที่สืบทอดมาจากอดีต 2 สายการศึกษา คือ การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี 1) การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ปัจจุบันมี 3 ระดับ ได้แก่ นักธรรมตรี นักธรรมโท และนักธรรมเอก ภิกษุสงฆ์ทุกรูปต้องศึกษานักธรรมชั้นตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะมีการจัดสอบปีละ 1 ครั้ง 2) การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี จะมีการเรียนการสอนในชั้นเรียน และจัดการสอบขึ้น ประกาศนียบัตรทางสงฆ์ที่ได้รับ จะมีตั้งแต่เปรียญธรรมประโยคที่ 2 ไปจนถึงเปรียญธรรมประโยคที่ 9 ซึ่งเทียบเท่ากับปริญญาตรีของทางโลก แต่การศึกษาทั้ง 2 แบบ มีความกัน คือ ผู้ที่ผ่านการศึกษานักธรรมตรีแล้ว จึงจะศึกษาเปรียญธรรมประโยคที่ 1 2 ได้ แต่ไม่เกินประโยคที่ 3 ผู้ที่ได้นักธรรมโทจะสอบเปรียญธรรมได้ไม่เกินเปรียญประโยคที่ 6 และนักธรรมเอกจึงจะสอบเปรียญธรรมถึงประโยคที่ 9 ได้ พระภิกษุสามเณรที่สอบได้เปรียญธรรมประโยคที่ 3 จะได้รับพัดยศจากพระมหากษัตริย์ และใช้คำนำหน้าว่า "มหา" ส่วนผู้ที่สอบได้เปรียญประโยคที่ 6 และประโยคที่ 9 จะได้รับพระราชทานพัดยศจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยสงฆ์อยู่ 2 แห่ง ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ ตั้งอยู่ที่วัดมหาธาตุ ปัจจุบันมี 4 คณะ คือ คณะพุทธศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ 2) มหามงกุฎราชวิทยาลัย ตั้งอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร มี 4 คณะ คือ คณะศิลปะศาสตร์ คณะศาสนาและปรัชญา คณะสังคมศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ (หน้า 197 200, 223-226) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Text Analyst |
บุญสม ชีรวณิชย์กุล |
Date of Report |
10 มิ.ย 2562 |
TAG |
ลาว, ไทย-ลาว, พุทธศาสนา, |
Translator |
- |
|