|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู กะเหรี่ยง,ชื่อ,ภาษากะเหรี่ยง,ภาษาไทย,ค่านิยม,สังคม,ราชบุรี |
Author |
ชมพูนุท โพธิ์ทองคำ |
Title |
การตั้งชื่อของชาวกะเหรี่ยงโปตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
128 |
Year |
2541 |
Source |
วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาศาสตร์ |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึงการตั้งชื่อของกะเหรี่ยงโป 5 หมู่บ้าน ใน ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีทั้งการตั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทย งานเขียนได้แบ่งกลุ่มกรณีศึกษา 450 คน ออกเป็น 3 กลุ่มอายุ ซึ่งพบว่า กลุ่มอายุ 41-60 ปี ส่วนมากจะตั้งชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงหากตั้งชื่อเป็นภาษาไทยก็จะเขียนให้ใกล้เคียงกับภาษากะเหรี่ยง ซึ่งคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุที่ไม่ค่อยรู้ภาษาไทยดังนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่อำเภอตั้งชื่อภาษาไทยให้เป็นส่วนใหญ่ ความหมายชื่อส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ ฯลฯ กลุ่มที่ 2 อายุ21-40 ปี มีทั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงและชื่อภาษาไทย เนื่องจากกลุ่มนี้มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น และมีการตั้งชื่อที่มีความหมายในทางนามธรรม เช่น ความดี ความเจริญ ความสำเร็จ เป็นต้น และกลุ่มที่ 3 อายุ 1-20 ปี กลุ่มนี้ 100 %ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย ส่วนใหญ่จะมีความหมายในทางนามธรรม เช่น อำนาจ ชัยชนะ ความสำเร็จ ฯลฯ |
|
Focus |
ศึกษาการตั้งชื่อของกะเหรี่ยงอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีและวิธีการตั้งชื่อภาษาไทยของกะเหรี่ยงใน 3 ช่วงอายุว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ความสัมพันธ์ของชื่อภาษาไทยและชื่อภาษากะเหรี่ยงว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไรและความหมายของชื่อซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของสังคม ค่านิยม แนวทางการดำเนินชีวิตของชาวกะเหรี่ยง (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงโป (Pwo Karen) จะเรียกตนเองว่า พล่ง โพล่ง โผล่ว บางครั้งก็เรียกว่า ปากะญอโป แปลว่า คน คนพม่าเรียกกะเหรี่ยงโปว่า กะเหรี่ยงมอญ ส่วนคนไทยภาคเหนือจะเรียกว่า พล่อ หรือโพล่ง ยางเด้าะแด้ ยางบ้าน คนไทยบางกลุ่มเรียกว่า (หน้า 12) กะเหรี่ยงแดง หรือยางแดง เพราะแต่งกายชุดแดง เนื่องจากผู้หญิงกะเหรี่ยงโปหากแต่งงานมีคู่ครองไปแล้วชอบสวมเสื้อครึ่งท่อนสีแดงและนุ่งซิ่นแดง (หน้า 13) นอกจากกะเหรี่ยงโปแล้วในประเทศไทยยังมีกะเหรี่ยงกลุ่มย่อยอื่นๆ อีกได้แก่ กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw Karen) กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า ปากะญอ จอกอคนไทยเรียกว่า กะเหรี่ยงขาว หรือยางขาว (หน้า 12) กะเหรี่ยงแบร(Bre) หรือกะเหรี่ยงคะยา (Kayah) หรือ (Bwe) คนไทยภาคเหนือกับไทยใหญ่เรียก ยางแดง เพราะถ้าผู้หญิงแต่งงานแล้วชอบสวมเสื้อสีแดงและนุ่งซิ่นสีแดง ดังนั้นการเรียกตามสีของชุดแต่งกายจึงทำให้เกิดความสับสนเพราะกะเหรี่ยงโป คนก็เรียกว่า ยางแดง เหมือนกัน (หน้า 13) กะเหรี่ยงตองสูหรือตองตู (Taungthu) ปาโอ หรือ พะโอ(Pa-o) กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า Pa-o หมายถึง คน พม่าเรียกว่า Taungthu หมายถึง ชาวภูเขา ผู้หญิงกะเหรี่ยงตองสูแต่งกายด้วยชุดสีดำจึงมีชื่อว่า Black Karenอีกชื่อหนึ่งกลุ่มนี้พบมากในรัฐไทยใหญ่แต่ในไทยจะมีน้อย โดยจะอยู่ในหมู่บ้านในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน(หน้า 13) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การตั้งชื่อของกะเหรี่ยง จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 กลุ่มจำนวน 450 คนพบว่ากะเหรี่ยงอำเภอสวนผึ้งมีทั้งการตั้งชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยงและชื่อภาษาไทย สำหรับการตั้งชื่อในแต่ละกลุ่มนั้นมีความแตกต่างกัน คือ (หน้า 101) กลุ่มอายุ 41-60 ปี ตั้งชื่อเป็นภาษากะเหรี่ยง 94.55 % และมีชื่อไทย 5.45 % กลุ่มอายุ 21-40 ปี ตั้งชื่อภาษากะเหรี่ยง 81.87 % และชื่อภาษาไทย 18.13 % กลุ่มอายุ 1-20 ปี ทั้ง 100 % ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย (หน้า 101)
ผลการศึกษาเรื่องการตั้งชื่อกะเหรี่ยงของกะเหรี่ยง พบว่า ชื่อส่วนใหญ่ มาจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม มีความใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อมคิดเป็น 90.40 % และตั้งชื่อเป็นนามธรรมซึ่งมาจากความเชื่อทางศาสนาพุทธรวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย 9.60 % สำหรับกลุ่มคนที่ตั้งชื่อให้กะเหรี่ยงแต่เดิมนั้นแบ่งเป็น 4 กลุ่มพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำทางไสยศาสตร์ ทั้งนี้พ่อแม่จะเป็นผู้ที่ตั้งชื่อให้มากที่สุด (หน้า 101 ตารางหน้า 62)
ความหมายที่ใช้ในการตั้งชื่อของแต่ละกลุ่มอายุ (หน้า 102) กลุ่มที่ 1 อายุ 41-60 ปี พบว่าความหมายที่ตั้งบ่อยเป็นชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ สี เช่น ขาว เอียง อ้วน แดง และอื่นๆ (หน้า 70)
อันดับสองได้แก่สิ่งของ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระด้ง ที่ดักสัตว์ ขวด ยุ้งข้าว โอ่ง ผ้าไหม ฯลฯ(หน้า 66)
กลุ่มที่ 2 อายุ 21-40 ปี พบว่า ชื่อที่ตั้งบ่อยมีความหมายเกี่ยวกับกริยาอาการ รองลงมาเป็นชื่อเกี่ยวกับสัตว์ อวัยวะต่างๆ ของสัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน (หน้า 102) ความหมายที่ใช้ในการตั้งชื่อของแต่ละกลุ่มอายุ-แยกตามเพศ กลุ่มที่ 1 เพศชาย อายุ 41-60 ปี พบว่า ชื่อที่ตั้งบ่อยที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ สี อันดับสองมีความหมายเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้
กลุ่มที่ 1 เพศหญิง พบว่า ชื่อที่ตั้งบ่อยมีความหมายเกี่ยวกับกริยาอาการ อันดับต่อมาได้แก่ชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับรูปร่าง ลักษณะ สี ฯลฯ (หน้า 102)
กลุ่มที่ 2 เพศชาย อายุ 21-40 ปี พบว่า ชื่อที่ตั้งบ่อยที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับกริยาต่างๆ อันดับที่สองได้แก่ชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับความเจริญ ชื่อเสียงในความเชื่อในเรื่องบุญ ฯลฯ
กลุ่มที่ 2 เพศหญิง พบว่า ความหมายของชื่อที่ตั้งบ่อยที่สุดได้แก่ ชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับสัตว์ หรืออวัยวะต่างๆ ของสัตว์ อันดับสอง ได้แก่ กริยาอาการและชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับวัน เดือน ปี เวลาเกิด ฯลฯ (หน้า 102)
ผลการศึกษาเรื่องการตั้งชื่อภาษาไทยของกะเหรี่ยง พบว่า การตั้งชื่อมี 4 วิธีดังนี้ ตั้งชื่อตามเสียงชื่อกะเหรี่ยง เช่น นายม่องตะลู้ บุญอ่อน ชื่อแปลว่า ภาชนะสานชนิดหนึ่ง นายโก่ง เทิกสกุลธรรม ชื่อแปลว่า วงล้อ นางจี่คว้าง บุญเลิศ ชื่อแปลว่า คลังเงิน ฯลฯ (ตัวอย่างหน้า 81) ตั้งชื่อโดยการตัดเสียง เพิ่มเสียง เปลี่ยนแปลงเสียงชื่อกะเหรี่ยง เช่น นายผ้า คุ้งลึงค์ ชื่อแปลว่า ตัวผู้ นางเว่อ ชมภูทวีป ชื่อแปลว่า นางฟ้า(หน้า 81) นางเลิง คงพระ ชื่อแปลว่า น้ำลูกฟัก นางคล้าย เณยา ชื่อแปลว่า แห้ง (หน้า 82)
ตั้งชื่อโดยการแปลจากชื่อกะเหรี่ยง เช่น นายแจ้ง วังโส ชื่อแปลว่าแจ้ง,สว่าง นายแบน เยเชิ้ด ชื่อแปลว่า แยน นางนก วันเย ชื่อแปลว่า นก ฯลฯ (หน้า 82) ตั้งชื่อไทยโดยใช้วิธีการตั้งชื่อทุกวิธีปนกันในความถี่ที่ใกล้เคียงกัน โดยตั้งชื่อไทยตั้งตามเสียง (หน้า 102) ชื่อกะเหรี่ยง
ส่วนกลุ่มที่ 2 จะตั้งชื่อไทย ด้วยวิธีแปลความหมาย ตัก เพิ่ม เปลี่ยนแปลงเสียง รวมทั้งตั้งชื่อตามเสียงชื่อเก่า สำหรับกลุ่มที่ 3 ตั้งเฉพาะชื่อภาษาไทยไม่มีชื่อกะเหรี่ยง (หน้า 103)
สำหรับคนที่ตั้งชื่อภาษาไทยให้กะเหรี่ยงนั้นพบว่า กลุ่มที่ 1 เจ้าหน้าที่อำเภอจะเป็นคนตั้งชื่อภาษาไทยให้มากที่สุด อันดับสองได้แก่ พ่อแม่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มที่ 2 พ่อกับแม่จะตั้งชื่อให้มากที่สุด ครูเป็นอันดับสอง ส่วนกลุ่มที่ 3 พ่อกับแม่จะตั้งชื่อให้มากที่สุด อันดับสองคือปู่ย่าตายาย (หน้า 103)
ความหมายของชื่อภาษาไทยของกะเหรี่ยง แต่ละกลุ่มอายุพบว่า กลุ่มที่ 1 ตั้งชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับต้นไม้ ดอกไม้มากที่สุด เช่น บัว เต็ง กระถิน อ้อ (ตารางหน้า 94)อันดับสองคือชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรือง ชื่อเสียง บุญ มงคล เทพ เช่น บุญธรรม บุญช่วย (ตารางหน้า 92)
กลุ่มที่ 2 ชื่อภาษาไทยที่ตั้งมากที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับอำนาจ ชัยชนะ ความเป็นเลิศเช่น ประเสริฐ ยุทธนา สมศักดิ์ เป็นต้น (ตารางหน้า 91)
ส่วนกลุ่มที่ 3 ชื่อภาษาไทยที่ตั้งมากที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับความเจริญ เช่น ชุติมา ประสบโชต พิพัฒน์ วัฒนะ (ตารางหน้า 92)ชื่อเสียง บุญ มงคล เทพ เช่น ชนเทพ จตุรงค์ วาสนา (หน้า 92) อันดับสองได้แก่ชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับอำนาจ เช่น สุรศักดิ์ เกรียงไกร ศุภเดช (หน้า 91) ชัยชนะ เช่น ธงชัย สมปอง (หน้า 92)ความเป็นเลิศ เช่น ยิ่งใหญ่ อัครพล อดิศักดิ์(หน้า 91) เป็นต้น (หน้า 103)
ความหมายของชื่อภาษาไทยของกะเหรี่ยง แต่ละกลุ่มอายุ-แยกตามเพศ พบว่า กลุ่มที่ 1 เพศชาย อายุ 41-60 ปี ชื่อที่ตั้งบ่อยที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับ ต้นไม้ ดอกไม้ (หน้า 103) ซึ่งมีความถี่เท่ากับชื่อที่มีความหมายว่า ความเจริญ ชื่อเสียง บุญ มงคล เทพ อันดับสองคือชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับอำนาจ ชัยชนะ ฯลฯ (หน้า 104) กลุ่มที่ 1 เพศหญิง ชื่อที่ตั้งมากที่สุดเป็นชื่อเกี่ยวกับ ต้นไม้ ดอกไม้
อันดับสองคือชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับสัตว์ (หน้า 104) กลุ่มที่ 2 เพศชาย อายุ 21-40 ปี พบว่า ชื่อที่ตั้งมากที่สุดมีความหมายเกี่ยวกับอำนาจ ชัยชนะ ความเป็นเลิศ ความกล้าหาญ อันดับสองคือชื่อที่หมายถึง ความเจริญ ชื่อเสียง บุญ มงคล เทพ ฯลฯ กลุ่มที่ 2 เพศหญิง พบว่า ชื่อที่ตั้งมากหมายถึงภูมิศาสตร์กายภาพ ธรรมชาติทั้งหลาย อันดับสองคือชื่อที่มีความหมายเกี่ยวกับความสวยงาม ความบริสุทธิ์ ความดี (หน้า 104)
กลุ่มที่ 3 เพศชาย อายุ 1-20 ปี พบว่า ชื่อที่ตั้งมากเป็นความหมายเกี่ยวกับความเจริญ ชื่อเสียง บุญ มงคล เทพ อันดับสองคือชื่อที่หมายถึงอำนาจ ชัยชนะ ความเป็นเลิศ ฯลฯ กลุ่มที่ 3 เพศหญิง พบว่า ชื้อที่ตั้งมากมีความหมายเกี่ยวกับความงาม ความบริสุทธิ์ความดี ส่วนชื่อที่หมายถึงดอกไม้ ต้นไม้ นิยมตั้งเป็นอันดับสอง (หน้า 104)
ภาษากะเหรี่ยงโป ผู้เขียนได้สรุประบบเสียงภาษากะเหรี่ยงที่พูดในพื้นที่อำเภอสวนผึ้งโดยได้ศึกษาจากกงานวิจัยของ Audra Phillips ซึ่งระบุว่าระบบเสียงภาษากะเหรี่ยงที่พูดในอำเภอสวนผึ้งมีพยัญชนะเดี่ยว 23 เสียงได้แก่ /p ph b t th d k kh และอื่นๆ หน่วยเสียงพยัญชนะประสมมี 8 หน่วยเสียงได้แก่ /phl kl khl ml kw khw thw xw/ หน่วยเสียงสระเดี่ยวมี 10 หน่วยเสียง หน่วยสระประสมมี 10 หน่วยเสียง หน่วยเสียงวรรณยุกต์มี 4 หน่วยเสียง หน่วยเสียงสามัญ(33) เสียงต่ำ(31) เสียงสูง(45) เสียงลงต่ำตอนท้าย(51) (หน้า 53 ตารางหน้า 54)สำหรับการวิจัยเสียงการตั้งชื่อ ผู้เขียนได้ทดสอบเสียงของกะเหรี่ยงสวนผึ้ง พบว่าเป็นเสียงที่ใกล้เคียงกับงานวิจัยของ Audra Phillips (หน้า 55) ทั้งนี้ในงานเขียนระบุว่า Audra Phillips ได้ศึกษาเปรียบเทียบ ภาษากะเหรี่ยงในภาคกลาง 4 หมู่บ้าน ในพื้นที่อำเภอสังขละบุรี และอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี , อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี,อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพบว่า 97 %ของคำภาษากะเหรี่ยงที่ใช้พูดในจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรีคล้ายกัน และ 97 %ของคำภาษากะเหรี่ยงในอำเภอศรีสวัสดิ์และอำเภอสังขละบุรีนั้นคล้ายกัน
นอกจากนี้ 91-93 % ของคำในภาษาทั้งสองกลุ่มมีความคล้ายกัน ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่ากลุ่มภาษากะเหรี่ยงตอนบนกับตอนล่างคล้ายกันระดับปานกลาง ฯลฯ (หน้า 53) นอกจากนี้งานเขียนยังได้กล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับระบบเสียงภาษากะเหรี่ยงของผู้เขียนอีกหลายคน เช่น โรเบิร์ต บี โจนส์ -ภาษากะเหรี่ยงโปในพะสิม และมะละแหม่ง ในประเทศพม่า (หน้า 42) งานเขียนของวีระวัชร์ สำราญจิตต์ -ภาษากะเหรี่ยงโป ในจังหวัดราชบุรี (หน้า 43)
โจเซฟ คุก,เอ็ดวิน ฮัทสปีท และเจมส์ มอรีส -ลักษณะทางเสียงของภาษากะเหรี่ยงโป ในอำเภฮอด จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 46) ชุติมา แก้วศิลป์-ภาษากะเหรี่ยงโปในอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี (หน้า 47) พจนารถ เสมอมิตร-เสียงและระบบเสียงในภาษาโผล่ว อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 48) นฤมล ชื่นสุคนธ์-ระบบเสียงภาษากะเหรี่ยงโป บ้านห้วยฮ่อมนอก ตำบลทาแม่ลอบ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน (หน้า 51) และงานเขียนของ ลลิล เบญจกุล-ลักษณะไวยากรณ์ภาษากะเหรี่ยงโป บ้านห้วยฮ่อมนอก ตำบลทาแม่ลอบ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน (หน้า 52 ดูตัวอย่างงานวิจัยระบบเสียงภาษากะเหรี่ยง หน้า 42-53) |
|
Study Period (Data Collection) |
1 -31 ตุลาคม 2540 (หน้า 57) |
|
History of the Group and Community |
ความเป็นมาของอำเภอสวนผึ้ง ในอดีตอำเภอสวนผึ้งเป็นตำบลที่ขึ้นกับอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี แต่เนื่องด้วยมีเนื้อที่กว้างใหญ่ประกอบกับมีความแห้งแล้ง ภายหลังจึงมีประกาศจากกระทรวงมหาดไทยให้แยกเป็นกิ่งอำเภอ เมื่อ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2517 กระทั่งวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2526 จึงได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอสวนผึ้ง (หน้า 9) |
|
Settlement Pattern |
บ้านกะเหรี่ยง บ้านแบบดั้งเดิมจะปลูกแบบใต้ถุนสูง หลังคามุงหญ้าคาหรือใบกระพ้อ พื้นบ้านปูด้วยฟากไม้ ฝาบ้านกั้นด้วยฟาไม้ไผ่ เสาเป็นไม้เนื้อแข็ง การใช้สอยบ้านจะกั้นห้องเพื่อเป็นห้องนอนของลูกสาวจำนวนหนึ่งห้อง สำหรับระเบียงบ้านจะนำไม้ไผ่มากั้นเป็นลูกกรงบริเวณนี้ใช้ต้อนรับแขกที่มาเยี่ยม ส่วนห้องครัวจะอยู่อีกด้านโดยจะสร้างลดหลั่นลงต่ำกว่าระดับพื้นระเบียงและห้องนอน และทำแท่นดินเพื่อวางเตาสำหรับทำกับข้าวและหุงหาอาหาร สำหรับครอบครัวที่มีที่อยู่แน่นอนก็จะปลูกบ้านที่มีความมั่นคงสร้างด้วยไม้ มุงสังกะสี (หน้า 19 ดูภาพบ้านหน้า 20) |
|
Demography |
ประชากรกลุ่มตัวอย่าง เป็นกะเหรี่ยงที่อยู่ 5 หมู่บ้านกรณีศึกษาได้แก่ บ้านบ่อ บ้านทุ่งแฝก บ้านผาปก บ้านห้วยคลุม และบ้านตะโกล่าง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นคนที่เกิดระหว่าง พ.ศ.2480-2540 ในการศึกษาได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (หน้า 56) กลุ่มที่มีอายุ 41-60 ปี 110 คน แยกเป็นผู้ชาย 55 คน และผู้หญิง 55 คน กลุ่มอายุ 21-40 ปี 160 คน แยกเป็นผู้ชาย 80 คน ผู้หญิง 80 คน (หน้า 56) กลุ่มอายุ 1-20 ปี 180 คน แยกเป็นผู้ชาย 90 คนและผู้หญิง 90 คน รวมทั้งหมด 450 คน (หน้า 57,101) จากจำนวนประชากร 5 หมู่บ้านที่มีทั้งหมด 969 คน (หน้า 58) ส่วนในพื้นที่อำเภอสวนผึ้งมีประชากร 2,640 คน (หน้า 16) ในประเทศไทยมีประชากรกะเหรี่ยงโป 70,000 คน นอกจากอยู่ในจังหวัดราชบุรีแล้วยังอยู่ในหลายจังหวัดเช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ ตาก อุทัยธานี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 14) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ ทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ได้แก่ทำไร่แบบหมุนเวียน คือหลังจากเพาะปลูกในพื้นที่แห่งนั้นในช่วงเวลาหนึ่งแล้วก็จะปล่อยให้ดินพักฟื้นตัวประมาณ 4-10 ปีหรือนานกว่านั้น เพื่อให้ต้นไม้และหญ้าเกิดใหม่แล้วจะย้ายไปปลูกในที่ดินที่อยู่ไม่ไกล กระทั่งเห็นสมควรแก่เวลาก็จะย้ายกลับมาปลูกที่ดินที่ปล่อยไว้และจะทำเช่นนี้เหมือนเดิมสลับกันไป สำหรับพืชที่ปลูกได้แก่ ข้าว พริก ข้าวโพด มันสำปะหลัง มะละกอ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเลี้ยงสัตว์ ทำงานรับจ้าง หาของป่า ล่าสัตว์ และอื่นๆ (หน้า 22) |
|
Social Organization |
การตั้งชื่อส่วนหนึ่งได้มาจากการติดต่อกับสังคมนอกหมู่บ้านตัวอย่างเช่น กลุ่มอายุ 40-60 ปี กลุ่มนี้ยังใช้ชีวิตแบบเดิมภาษายังใช้ภาษากะเหรี่ยง ขณะที่กลุ่มอายุ 21-40 ปีส่วนหนึ่งได้ดำเนินชีวิตแบบกะเหรี่ยงแต่ได้มีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น ดังนั้นจึงได้รับอิทธิพลเรื่องการตั้งชื่อ ส่วนกลุ่มอายุ 1-20 ปีเป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการตั้งชื่ออย่างชัดเจนเพราะได้รับอิทธิพลจากสังคมภายนอกเช่นไปเรียนหนังสือกับนักเรียนไทยและติดต่อกับคนไทย เป็นต้น (หน้า 57) |
|
Political Organization |
อำเภอสวนผึ้งประกอบด้วย 4 ตำบล 33 หมู่บ้าน (หน้า 9) ได้แก่ ตำบลสวนผึ้ง ตำบลตะนาวศรี ตำบลท่าเคยและตำบลป่าหวาย สำหรับตำบลสวนผึ้งมี 8 หมู่บ้านได้แก่ บ้านบ่อ บ้านทุ่งแฝก บ้านผาปก บ้านนาขุนแสน บ้านถ้ำหิน บ้านห้วยคลุม บ้านห้วยผาก และบ้านตะโกล่าง (หน้า 56) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ กะเหรี่ยงโปอำเภอสวนผึ้งนับถือผี และศาสนาพุทธ ส่วนคนที่นับถือศาสนาคริสค์นั้นมีเพียงเล็กน้อยส่วนมากแล้วจะเป็นกะเหรี่ยงที่อพยพมาใหม่ (หน้า 27) สำหรับการนับถือศาสนาพุทธนั้นคาดว่าน่าจะมาความความศรัทธาต่อพระภิกษุนวมหรือ พระอธิการนวม อดีตเจ้าอาวาสวัดแจ้งเจริญ ตำบลประทัด อำเภอวัดเพลง จังหวัดราชบุรี (มรณภาพประมาณ พ.ศ.2478) ซึ่งในครั้งนั้นพระภิกษุนวมได้ธุดงค์ไปตามป่าในพื้นที่จังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี กระทั่งเข้ามาในเขตหมู่บ้านกะเหรี่ยงซึ่งทุกวันนี้คือบ้านลำพระ (หน้า 27) ตำบลบ้านคา พระภิกษุนวมได้คาดแคล้วอันตรายจากไสยศาสตร์ต่างๆหลายครั้งหลายครา กะเหรี่ยงจึงให้ความเคารพเป็นอย่างมาก (หน้า 28) เมื่อกะเหรี่ยงในจังหวัดราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียงเดินทางมากราบไหว้พระภิกษุนวมมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังจึงกลายเป็นประเพณี วันชุมนุมกะเหรี่ยง ที่จัดขึ้นทุกปีที่วัดแจ้งเจริญโดยจะจัดในวันปีใหม่กะเหรี่ยง ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (หน้า 29) สำหรับพิธีกรรมทางความเชื่อในรอบปีอื่นๆ ของกะเหรี่ยงโปอำเภอสวนผึ้งมีดังนี้ ประเพณีกินข้าวห่อ พิธีจะจัดในเดือนเก้า (เดือน หล่าค่อก) หลังจากเสร็จสิ้นจากการเพาะปลูกแต่ยังไม่เก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งในเดือนนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ผีร้ายออกอาละวาดหากขวัญของใครออกไปเที่ยวที่อื่นถ้าผีจับกิน คนที่เป็นเจ้าของขวัญก็จะเป็นไข้ไม่สบายหรืออาจเสียชีวิต ขั้นตอนการทำพิธี ก่อนวันกินข้าวห่อ 1 วันก็จะทำข้าวห่อ ซึ่งทำจากข้าวเหนียวห่อด้วยกรวยใบตอง หรือใบไผ่แล้วนำมาต้มจนสุก ส่วนน้ำจิ้มจะนำมะพร้าวมาเคี้ยวกับน้ำตาล เมื่อถึงตอนเย็นจะยิงปืนขึ้นฟ้า ตีปีบ เพื่อเรียกขวัญให้กลับ (หน้า 31 ภาพหน้า 32) ส่วนสมาชิกในบ้านก็จะมารวมกันแล้วเปิดประตู หน้าต่างเพื่อรับขวัญ ส่วนที่เหนือหัวนอนก็จะจัดสำรับ(กระด้งหรือถาดใส่ข้าวห่อ น้ำจิ้ม กล้วยอ้อย ดอกดาวเรือง สร้อยขวัญ กำไลเงิน กับด้ายสีแดง)เพื่อใส่ขวัญ รุ่งเช้าก็จะยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเรียกขวัญอีกรอบ จากนั้นสมาชิกในบ้านก็จะสู่ขวัญผูกด้ายสีแดงแล้วร่วมกันกินข้าวห่อ ในอดีต กะเหรี่ยงจะข่วยกันสร้างปะรำพิธีไว้กลางหมู่บ้านสำหรับทำพิธีกินข้าวห่อ ทุกคนจะกินข้าวห่อด้วยกันแล้วผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะผูกด้ายสีแดงให้กับลูกหลาน ส่วนคนหนุ่มสาวก็จะร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน จากนั้นแต่ละครอบครัวก็จะถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมเยือนครอบครัวอื่นๆ ทั้งนี้การจัดพิธีกินข้าวห่อของแต่ละหมู่บ้านจะจัดคนละวัน เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนไปเยี่ยมเยือนกันได้อย่างทั่วถึง (หน้า 33) ประเพณีบูชาต้นไม้ประจำหมู่บ้าน ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำเดือน6คนในหมู่บ้านจะนำอาหารคาวหวาน เหล้า ดอกไม้ ธูปเทียน ไปไหว้ต้นไม้ใหญ่(ต้นไม้ชนิดใดก็ได้แล้วแต่คนในหมู่บ้านจะเลือกซึ่งต้นไม้นี้ในหมู่บ้านต่างๆมักจะไม่เหมือนกัน)ประจำหมู่บ้านทางทิศตะวันออกเพื่อขอให้เจ้าที่เจ้าทางที่อยู่ในต้นไม้ช่วยดลบันดาลให้คนในหมู่บ้านมีความร่มเย็นเป็นสุข เมื่อคนในหมู่บ้านนำอาหารเซ่นไหว้มาที่ต้นไม้จนครบทุกหลัง ผู้นำการประกอบพิธีก็จะกล่าวนำเพื่อบอกเจ้าที่ได้รับรู้ว่านำอาหารและสิ่งของต่างๆมาถวาย (หน้า 33) เมื่อทำพิธีเรียบร้อยแล้วก็จะปล่อยอาหารไว้นานพอสมควรก็จนมั่นใจว่าเจ้าที่รับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว ผู้นำพิธีก็จะไหว้ลาเจ้าที่แล้วก็จะแจกอาหารคาวหวานให้กับคนที่มาร่วมพิธีเพื่อนั่งกินรอบๆ ต้นไม้ที่ทำพิธีเซ่นไหว้แห่งนั้น ก็ถือว่าจบพิธีการไหว้ต้นไม้ (หน้า 34) |
|
Education and Socialization |
คนที่ตั้งชื่อภาษาไทยให้กะเหรี่ยง การตั้งชื่อภาษาไทยให้กะเหรี่ยงนั้นมีพัฒนาการมาจากการศึกษา ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ส่วนมากจะให้เจ้าหน้าที่อำเภอตั้งชื่อให้ คิดเป็น 45.45 % (หน้า 85) กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อ่านเขียนภาษาไทยไม่ค่อยได้ การตั้งชื่อจึงพยายามให้เหมือนกับชื่อเดิมมากที่สุด ดังนั้นจึงไม่ค่อยคิดถึงเรื่องความหมาย อันดับสองที่ตั้งชื่อให้คือพ่อแม่คิดเป็น 35.45 % และกำนันผู้ใหญ่บ้านตั้งชื่อให้คิดเป็น 10 % (หน้า 86)
กลุ่มที่ 2 เริ่มมีความรู้ภาษาไทยมีโอกาสติดต่อกับคนไทยและได้เรียนหนังสือ กลุ่มนี้จะมีทั้งชื่อภาษาไทยและชื่อภาษากะเหรี่ยง ขณะที่ทำบัตรประชาชนก็จะเปลี่ยนเป็นชื่อภาษาไทย พ่อแม่เป็นผู้ที่ตั้งชื่อให้ลูกมากที่สุด คิดเป็น 66.87 % อันดับ ต่อม่าเป็นครูคิดเป็น 10.62 % ส่วนเจ้าหน้าที่อำเภอจะมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรกคิดเป็น 8.13 % (หน้า 86) กลุ่มที่ 3 กลุ่มนี้มีการเปลี่ยนแปลงคือมีการตั้งชื่อเป็นภาษาไทยถึง 100 %และตั้งชื่อมีความหมายที่ดีเป็นมงคนและพ่อแม่เป็นผู้ตั้งชื่อให้ลูกมากที่สุดคิดเป็น 70.55 % (หน้า 86) |
|
Health and Medicine |
การเรียกขวัญเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย กะเหรี่ยงเรียกขวัญว่า หล่า ทุกคนจะมีขวัญประจำอยู่ 7 ขวัญ (หน้า 29)หากขวัญออกจากร่างกายไปตามสถานที่ต่างๆ หากไปพบกับผีร้าย ขวัญอาจถูกผีจับไว้ ดังนั้นเจ้าของขวัญจึงเป็นไข้ไม่สบาย สำหรับการรักษาจะให้หมอผีมาทำพิธีเรียกขวัญให้คืนกลับร่างเหมือนเดิม สำหรับขั้นตอนการทำพิธีก็คือ จะนำข้าวสุกหนึ่งกำมือ ผ้าหนึ่งผืนและไม้หนึ่งท่อนยาว 1 เมตรนำมาผ่าเป็น 4 ส่วน และแต่ละส่วนจะเจาะรูจำนวน 3 รู สำหรับเรียกขวัญมาอยู่ ตอนเดินจากบ้านของคนเป็นไข้ไม่ให้ลากไม้กับพื้นถนน เนื่องจากขวัญของคนที่ไม่สบายที่ยังเหลืออยู่อาจจะตามไม้ไปด้วย (หน้า 30) พอไปถึงตรงที่ขวัญหล่นหาย ญาติของคนไข้จะนำข้าวสุกคลุกกับดินบางส่วนและแบ่งไว้ในห่ออีกจำนวนหนึ่งจากนั้นก็จะนั่งลงแล้วกวักมือเหมือนตักลมเพื่อเรียกขวัญใส่ลงที่ผ้าโดยพูดว่าขวัญเอยจงกลับมา 3 ครั้งแล้วเคาะไม้ 3 ครั้งเช่นกัน ต่อมาก็จะนำข้าวที่คลุกดินใส่ลงในผืนผ้าแล้วเดินกลับ เมื่อเดินจะนำไม้ที่ทำพิธีลากไป เมื่อไปถึงบันไดก็จะเคาะที่หัวบันได 3 ครั้งแล้วขอให้ขวัญกลับมาเหมือนเดิม จากนั้นก็จะถามแม่หรือญาติของคนไข้ว่าขวัญมาหรือยัง เมื่อคนที่ถูกถามบอกว่าขวัญมาแล้ว ต่อมาพ่อของคนไข้จะรูดปลายไม้ ไปด้านคนไข้แล้วขอให้ขวัญกลับมา 3 รอบแล้วให้คนไข้กินข้าวในส่วนที่ไม่เปื้อนดิน หากไม่กินก็ให้เหน็บไว้ที่ใบหู ต่อมาก็จะผูกด้ายที่ข้อมือคนไข้และอีกเส้นจะคล้องที่คอคนไข้ ฯลฯ (หน้า 30) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของกะเหรี่ยงอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เด็กผู้หญิง สวมชุดคลุมสีขาวยาวคลุมหัวเข่า เจาะเป็นช่องเพื่อสวมทางศีรษะ ปักกุ้นขอบแขนคอ และชายผ้าถุงปักด้วยด้ายสีแดงบางครั้งจะใส่เม็ดเงิน หรือลูกไม้(เรียก พ่งซ้า) ตรงชายผ้าถุง (หน้า 23) ผู้หญิง(อายุ 15 ปี-ผู้สูงอายุ) ชุดที่สวมจะเป็นลายด้ายยืนทอด้วยด้ายสีน้ำเงินหรือแดงชุดผู้หญิงประกอบด้วยผ้าถุงกับเสื้อ สำหรับเสื้อที่ปักด้วยด้ายสีจะสวมทางศีรษะ สำหรับผ้าถุงจะทอยกลายที่เชิงผ้า ชายผ้าถุงติดเม็ดเงิน ลูกปัด(ลูกพงซ้า-เมล็ดพืชล้มลุก ดอกเหมือนฟาง เกสรจะอยู่กลางเมล็ด หากเกสรร่วงตรงกลางเมล็ดจะเป็นรู ) โดยนำมาร้อยรอบชายผ้าถุง(หน้า 23) สำหรับเสื้อจะเป็นสีน้ำเงินประดับด้วยด้ายหลากสีสัน รูปแบบเสื้อเป็นแบบแขนกุด ตัวเสื้อทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผ้าถุงมีลายคล้ายเสื้อ แต่ผ้าถุงจะใช้สีแดงกับสีน้ำเงิน ซึ่งจะแบ่งเป็น 2ส่วน ได้แก่ ส่วนบนจะเป็นสีน้ำเงิน เหมือนสีเสื้อที่เป็นสีน้ำเงินเช่นกัน สำหรับอีกส่วนจะเป็นสีแดง ส่วนเครื่องประดับจะทำจากเงิน เช่น กำไลและต่างหูที่ทำด้วยไม้มะเกลือขัด ผู้หญิงกะเหรี่ยงจะแต่งชุดประจำเผ่าเมื่อมีงานพิธีสำคัญ ได้แก่ งานแต่งงาน งานกินข้าวห่อ ฯลฯ (หน้า 24 ภาพหน้า 25,26) ผู้ชาย นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงิน สีน้ำตาล สีม่วง สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว พันหัวด้วยผ้าสีแดง เหลืองหรือเขียวซึ่งมีรูปร่างเป็นหงอนที่หน้าผากเหมือนนอแรด (แหลมและยื่นออกไปทางด้านหน้า-ดูภาพประกอบหน้า 25) ผ้าที่นำมาพันหัวเป็นผ้าที่นำมาจากการประกอบพิธีกรรม เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเป็นศิริมงคลกับผู้สวมใส่ สำหรับเครื่องประดับอื่นๆ จะมีสร้อย กำไลเงิน เป็นต้น (หน้า 24 ภาพหน้า 25) |
|
Folklore |
ที่มาของชื่ออำเภอสวนผึ้ง ชื่อมาจากการที่มีพื้นที่ที่มีป่าไม้และภูเขา ในจำนวนต้นไม้นานา ชื่ออำเภอมาจากในเขตอำเภอ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อ ต้นผึ้ง เป็นต้นไม้สีขาวนวล บนต้นจะมีผึ้งจำนวนมหาศาลมาทำรังบนต้นผึ้ง ซึ่งทุกวันนี้ยังมีต้นผึ้งในสถานท่องเที่ยวหลายแห่งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดูได้ชม (หน้า 9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เจ้าหน้าที่อำเภอกับกะเหรี่ยงกลุ่มที่1(อายุ 41-60ปี) เจ้าหน้าที่อำเภอมีส่วนในการตั้งชื่อภาษาไทยให้กับกลุ่มที่ 1(อายุ 41-60 ปี)เป็นอย่างมาก เนื่องจากกะเหรี่ยงกลุ่มนี้พูดและฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่อำเภอจึงมีส่วนในการตั้งชื่อภาษาไทยให้ ชื่อที่ตั้งจะใกล้เคียงกับชื่อภาษากะเหรี่ยงดังนั้นจึงไม่ค่อยเคร่งครัดในความหมายของชื่อ (หน้า 105) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สาเหตุที่ทำให้การตั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงลดน้อยลง เหตุที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมไทย นอกจากนี้ยังมาจากสาเหตุที่ทางการได้รณรงค์ให้ชนกลุ่มน้อยเปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็นภาษาไทย รวมทั้งสร้างจิตสำนึกให้มีความรู้สึกเป็นคนไทย โดยให้สัญชาติไทยและทำบัตรประชาชนให้กับชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย นอกจากนี้กะเหรี่ยงบางส่วนยังรู้สึกว่าชื่อของตนฟังแล้วตลกในความคิดเห็นของคนไทย ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงไม่เกิดความมั่นใจในเรื่องชื่อของตน จากการศึกษาพบว่ากลุ่มอายุ 41-60 ปีและกลุ่มอายุ 21-40 ปีมีทั้งชื่อภาษากะเหรี่ยงและชื่อภาษาไทยโดยจะใช้ชื่อไทยเมื่อติดต่อราชการส่วนชื่อกะเหรี่ยงจะใช้ในหมู่บ้าน ส่วนกลุ่ม 41-60 ปียังใช้ชื่อภาษากะเหรี่ยงเหมือนเดิมแต่เขียนด้วยภาษาไทย ฯลฯ (หน้า 61) |
|
Other Issues |
ตัวอย่างชื่อกลุ่มตัวอย่าง ชื่อภาษาไทย คำแปล กะเหรี่ยงเพศชายกลุ่มอายุ 41-60 ปี นายนุง วันเย แหลม (ภาคผนวก ก หน้า 112) นายม่อง กัวพู่ โอ่ง นายเต็ง คุ้งลึงค์ มะพร้าว (หน้า 112) นายออง ช่อกง ล้วงควัก (หน้า 113) นายทู้ กองเปิง นก นายบัง ดาวเรือง ขวาน (หน้า 113) กะเหรี่ยงเพศหญิงกลุ่มอายุ 41-60 ปี นางร่องมู่จี่ ทุรึง ดอกสีเงิน (หน้า 114) นางอั่ว เณยา ขาว นางพาย เยเชิ้ด เหนียว (หน้า 114) นางข่อง บุญช่วย นกเงือก (หน้า 115) นางช่าง จิ้งหรีด ไก่ นางมูเนาะ พะเวีย หญิงสาว (ฯลฯ ภาคผนวก ก หน้า 115) กะเหรี่ยงเพศชายกลุ่มอายุ 21-40 ปี นายไพบูณร์ บุญครอง แพะ(ภาคผนวก ก หน้า 116) นายสุเทพ ประเทืองผล ยิ้ม นายกรานต์ เญยา วันสงกรานต์ (หน้า 116) นายพงษ์ พุทธทอง กระบอกน้ำ (หน้า 117) นายเทียน เอ็นทู้ คลอดยาก (หน้า 117) นายสุ คุ้มลึงค์ หวาน (หน้า 118) กะเหรี่ยงเพศหญิงกลุ่มอายุ 21-40 ปี นางเรียง คุ้งลึงค์ ตั๊กแตนน้อย (ภาคผนวก ก หน้า 118) นางอัมพิกา ขยันการ ดอกไม้สวรรค์ นางจอง เค็มบิง วันจันทร์ (หน้า 118) นางไล้ เค็มบิง อุ่นใจ (หน้า 119) นางอุไร สุริเมือง ไรไก่ (หน้า 120) นางปลอดภัย สวงศ์ ม้า (ฯลฯ ภาคผนวก ก หน้า 121) กะเหรี่ยงเพศชายกลุ่มอายุ 1-20 ปี ด.ช.ทัตตี แซ่ดี ผู้ชาย (ภาคผนวก ก หน้า 121) นายอภิรุญ บุญกร กุ้ง นายมาไนชย์ เอี่ยมกิต เด็กเล็กๆ ด.ช.ชาตรี บุญเชิญ ใจสดชื่น (หน้า 121) ด.ช. สมบุญ ชันอารี ชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่ง (หน้า 122) กะเหรี่ยงเพศหญิงกลุ่มอายุ 1-20 ปี น.ส.ใบ บุญเลิศ ผู้หญิง (ภาคผนวก ก หน้า 124) ด.ญ.ปวีณา เอี่ยมกิต ลูกปลา น.ส.วรรณา เณยา ตุ๊กแก ด.ญ.เดือน คุ้งลึงค์ ลูกสาวคนเดียว (หน้า 124) น.ส.วิตภา พะจี เลียงผา (ฯลฯ ภาคผนวก ก หน้า 125) และแนวคำถามในการสัมภาษณ์เรื่องการตั้งชื่อของกะเหรี่ยง (ภาคผนวก ข หน้า 127) |
|
Map/Illustration |
ตาราง ประชากรกะเหรี่ยงในอำเภอสวนผึ้ง (หน้า 17) การตั้งชื่อของกะเหรี่ยงในแต่ละกลุ่มอายุ (หน้า 60) ความถี่ของบุคคลที่ตั้งชื่อภาษากะเหรี่ยง (หน้า 62) ความถี่ของความหมายของชื่อภาษากะเหรี่ยง (หน้า 75) ความหมายของชื่อภาษากะเหรี่ยงในแต่ละกลุ่มอายุ (หน้า 76) ความหมายของชื่อภาษากะเหรี่ยงในแต่ละกลุ่มอายุและเพศ (หน้า 77) วิธีการที่ใช้ในการตั้งชื่อภาษาไทย (หน้า83) ความสัมพันธ์ระหว่างชื่อภาษาไทยและชื่อภาษากะเหรี่ยง,ความถี่ของบุคคลที่ตั้งชื่อภาษาไทย (หน้า 85) ความหมายของชื่อภาษาไทยในแต่ละกลุ่มอายุและเพศ (หน้า 88) ความถี่ของความหมายของชื่อภาษาไทยในแต่ละกลุ่มอายุ (หน้า 98) แผนภูมิ จังหวัดในภาคกลาง (หน้า 7) จังหวัดราชบุรี (หน้า 8) อำเภอสวนผึ้ง (หน้า 11) การแบ่งตระกูลภาษาจีน-ทิเบตของ Bnedic,ของ Matisoff (หน้า 14) ตระกูลย่อยของภาษากลุ่ม Karenic (หน้า 15) ภาพ บ้านกะเหรี่ยงที่อำเภอสวนผึ้ง (หน้า 20) แม่น้ำพาชี (หน้า 21) การแต่งกายของกะเหรี่ยง(หน้า 26,27) ข้าวห่อ (หน้า 32) |
|
|