|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง,ประวัติความเป็นมา,สังคมไทย,คริสต์ศาสนา,นครปฐม |
Author |
เสมอชัย พูลสุวรรณ |
Title |
ลาวโซ่งกับคริสต์ศาสนา |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
103 |
Year |
2544 |
Source |
สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ลาวโซ่งอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในฐานะเชลยศึกจากทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ราวสองร้อยปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ในอดีตลาวโซ่งนับถือผีบรรพบุรุษสืบเนื่องมาแต่โบราณ เมื่ออพยพเข้าสู่ประเทศไทย ลาวโซ่งยังคงรักษาคติการนับถือผีบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัดร่วมไปกับการนับถือพุทธศาสนาตามอย่างคนไทย ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์ศาสนากับชาวบ้านแหลมกระเจา ถูกก่อสานขึ้นมาภายใต้ระบบอุปถัมภ์ โดยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังราวยี่สิบปีก่อน เมื่อมิชชันนารีได้สร้างเสริมอาชีพและให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านซึ่งประสบภัยนาล่มเนื่องจากถูกน้ำท่วมหลายปีติดต่อกัน
ความสนใจของชาวบ้านแหลมกระเจาต่อคริสต์ศาสนามีหลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่มาเข้าร่วมกิจกรรมตามมารยาท กระทั้งถึงการยอม รับเชื่อ ว่าพระเจ้ามีจริง และยอม รับศีล อันหมายถึงการยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียน โดยพวกที่ร่วมกิจกรรมตามมารยาทและยอม รับเชื่อ มีจำนวนมากกว่าพวกที่ยอม รับศีล เป็นอันมาก การเปลี่ยนศาสนาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนในฐานะปัจเจกบุคคล โดยแต่ละครอบครัวยังคงมีหัวหน้าครอบครัวและสมาชิกฝ่ายชายทำหน้าที่สืบผีของตระกูล มีบ้างในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวยอมเข้ารีต และเลิกประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษ อีกทั้งยอมให้มิชชันนารีเข้ามาทำพิธียกหิ้งผีบรรพบุรุษออกจากเรือน ซึ่งจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านในทำนองว่าเป็นการทิ้งผีพ่อผีแม่ ทำให้ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาถูกต่อต้านจากญาติพี่น้อง และค่อนข้างแปลกแยกจากสังคม
มิชชันนารีที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาในชุมชนมีจุดยืนทางศาสนศาสตร์ที่ประนีประนอมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการยอมรับว่าผีบรรพบุรุษมีอยู่จริงและสามารถมีที่อยู่อันนิรันดร์ได้ในดินแดนของพระเจ้า จากการเปิดทางให้ของลูกหลานที่ยอมรับการมีอยู่จริงของพระเจ้า การที่ลาวโซ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างจำกัดระดับความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาให้ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้สูงสุดเพียงระดับการ รับเชื่อ ทำให้ชาวบ้านยังไม่หลุดไปจากโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กรคริสต์ศาสนาได้ ทั้งยังสามารถใช้ความยืดหยุ่นดังกล่าวเป็นฐานของการปฏิบัติการเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับองค์กรคริสต์ได้ด้วย (หน้า ก - ข) |
|
Focus |
การเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกลุ่มลาวโซ่ง |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาวโซ่งมีภาษาพูด ที่เป็นภาษาถิ่นตระกูลไท และมีตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่ม (หน้า 41) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ลาวโซ่งมีภาษาพูด ที่เป็นภาษาถิ่นตระกูลไท และมีตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่ม (หน้า 41) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ลาวโซ่ง ลาวทรงดำ หรือ ไทดำอพยพจากเขตสิบสองจุไท ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยในฐานะเชลยศึกราวสองร้อยปีที่ผ่านมา เริ่มจากในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2322 โดยครั้งแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
บรรพบุรุษรุ่นแรกของลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาโซ่ง เป็นลาวโซ่งที่เดินทางมาจากบ้านทับคาง ในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เพื่อจะบุกเบิกหาที่ทำกินใหม่ เมื่อราวไม่เกินร้อยปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกมากันเพียง 5 ครอบครัว ตอนแรกมาพักอยู่ที่บ้านดอนยอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของลาวโซ่งที่อพยพมาก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ห่างจากบ้านแหลมกระเจาไม่มากนัก แต่ด้วยเหตุที่ดอนยอมีคลองล้อมรอบ พวกที่อพยพมาใหม่กลัวลูกจะตกน้ำ จึงพากันย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านแหลมกระเจา
ปัจจุบัน ในส่วนของความสัมพันธ์กับคริสต์ศาสนานั้น เกิดขึ้นเมื่อราว 40 ปีก่อน เมื่อมิชชันนารีเข้าให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านซึ่งประสบภัยนาล่ม อันเนื่องมาจากถูกน้ำท่วมหลายปีติดต่อกันและได้สร้างอาชีพให้ชาวบ้านทำงาน จนทำให้ชาวบ้านมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (หน้า ก,41 43,68) |
|
Settlement Pattern |
ลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาในอดีต ปลูกเรือนอยู่ติดๆ กัน โดยปลูกกอไผ่ล้อมรอบหมู่บ้านไว้ทั้งหมด เปิดช่องเป็นทางเข้าไว้ทางเดียว (หน้า 70) |
|
Demography |
บ้านแหลมกระเจา ประกอบด้วยครัวเรือนราว 70 ครัวเรือน มีประชากร 500 คนเศษ(หน้า 66) |
|
Economy |
ชาวบ้านแหลมกระเจาโซ่งในอดีตทำนาเป็นหลัก แต่ด้วยต้นทุนที่สูงจนไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ในระยะหลังชาวบ้านจึงนิยมขุดบ่อเลี้ยงปลานิลและกุ้งก้ามกรามในที่นาของตนเองมากขึ้น เนื่องจากอาชีพดังกล่าวสร้างรายได้ดีกว่าอาชีพทำนา ชาวบ้านแทบทุกครัวเรือนมีที่ดินเป็นของตนเองมีเพียงกลุ่มผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ไม่กี่ครัวเรือนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตน ครัวเรือนที่มีการถือครองที่ดินมากที่สุด ถือครองราว 70 ไร่ ส่วนกลุ่มที่มีที่ดินน้อย จะมีที่ดินอยู่ระหว่าง 5 10 ไร่
นอกจากอาชีพหลักดังกล่าว ชาวบ้านยังรับงานหัตถกรรมประเภทของใช้และของที่ระลึกทำด้วยผ้ายัดนุ่น ปักเป็นลวดลายเป็นอาชีพเสริม (หน้า 67) |
|
Social Organization |
การตั้งถิ่นฐานภายหลังการแต่งงานของลาวโซ่งมีทั้งแบบที่ภรรยาย้ายไปอยู่กับครอบครัวสามี และสามีย้ายไปอยู่ข้างภรรยา ส่วนการถือผี จะนับทางฝ่ายสามีเสมอ(หน้า 69) |
|
Political Organization |
เมื่อครั้งที่ลาวโซ่งตั้งถิ่นฐานในดินแดนสิบสองจุไท ลาวโซ่งมีระบบการปกครองแบบศักดินา (หน้า 47)
บ้านแหลมกระเจาแบ่งการปกครองเป็น 2 หมู่ คือ บ้านแหลมกระเจาไทย (หมู่ 1)เป็นหมู่บ้านของคนไทย และบ้านแหลมกระเจาโซ่ง (หมู่ 2 ) เป็นหมู่บ้านของชาวโซ่ง
(หน้า 66) |
|
Belief System |
ลาวโซ่งในอดีตเมื่อครั้งที่ยังตั้งถิ่นฐานที่สิบสองจุไท มีความเชื่อเรื่อง ขวัญ ผีบรรพบุรุษ และ แถน โดยเชื่อว่าบุคคลที่ยังมีชีวิต จะมี ขวัญ ประจำอยู่ตามอวัยวะสำคัญต่างๆ 32 ขวัญ หากขวัญหนีหายไปจากร่างกายจะทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วยได้ ต้องทำพิธีเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่ร่างกาย เมื่อคนตายลง ขวัญทั้งหมดจะออกจากร่างอย่างถาวรและกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ กลายสภาพเป็น ผี หากผู้ตายเป็นผู้อาวุโสของตระกูล ลูกหลานจะทำพิธีส่งขวัญส่วนหนึ่งของผู้ตายให้ไปอยู่กับ แถน บนดินแดนสวรรค์ ซึ่งเรียกว่า เมืองฟ้า และรับขวัญอีกส่วนหนึ่งให้กลับมาประจำอยู่ที่หิ้งบูชาผีบรรพบุรุษภายในเรือน และกลายสภาพเป็นผีเรือนคอยดูแลคุ้มครองลูกหลาน โดยทุกหนึ่งหรือสองปี ลูกหลานลาวโซ่งจะต้องทำพิธีเสนเรือนในพิธี มีการฆ่าควายและหมูเป็นเครื่องเซ่น
นอกจากนี้ยังมีพิธี ปาดตง ซึ่งเป็นพิธีเซ่นผีเรือน เป็นประจำทุกห้าวันในกรณีที่เป็นผีผู้ต๊าว และ 10 วัน กรณีที่เป็นผีผู้น้อย สำหรับ แถน นั้น มีหน้าที่กำกับความเป็นไปในโลกมนุษย์ทั้งด้านร้ายและด้านดี ดังนั้นมนุษย์จึงต้องคอยระมัดระวัง ไม่กระทำการใดๆให้แถนโกรธและลงโทษได้ (หน้า 45 - 47)
ภายหลังการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยราวสองร้อยปีเศษที่ผ่านมา ลาวโซ่งก็ยังคงนับถือผีบรรพบุรุษร่วมกับการนับถือพุทธศาสนาเถรวาทตามอย่างคนไทย สำหรับลาวโซ่งที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา มีจำนวนไม่มาก มีอยู่เพียงบางหมู่บ้าน หมู่บ้านละไม่กี่คน ยกเว้นที่บ้านแหลมกระเจา ที่มีชาวบ้านสนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางคริสต์ศาสนาเป็นจำนวนมาก (หน้า ก,50 - 51)
บ้านแหลมกระเจาโซ่งไม่มีวัดพุทธศาสนาในหมู่บ้าน เวลาทำบุญตามเทศกาลชาวบ้านต้องไปทำบุญที่วัดใกล้เคียง ได้แก่ วัดลำลูกบัว ตั้งห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตรและวัดสามง่าม ตั้งห่างจากหมู่บ้านราว 3 กิโลเมตรปากทางเข้าหมู่บ้านมีคริสตจักรขนาดเล็กตั้งอยู่หนึ่งแห่งชื่อว่า คริสตจักรแหลมกระเจา ซึ่งในอดีตเป็นศาลาธรรมขึ้นกับคริสตจักรสามแยก (อำเภอดอนตูม) ต่อมาจึงแยกตัวเป็นคริสตจักรเมื่อปี พ.ศ. 2532
สำหรับท้ายหมู่บ้านมีศาลที่สร้างเป็นอาคารเรือนไทยตั้งอยู่ใกล้เคียงกันจำนวน 3 หลังหลังแรกเป็นศาลเก่าแก่ที่มีมานานแล้ว เรียกกันว่า ศาลเจ้าพ่อพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพารักษ์ประจำหมู่บ้าน หลังถัดมาเป็นศาลใหม่ของเจ้าพ่อพระอินทร์ ส่วนศาลสุดท้ายเรียกกันว่า ศาลเจ้าแม่ขอด ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในทุกปีชาวบ้านจะทำพิธีเซ่นบวงสรวงเจ้าพ่อพระอินทร์เพื่อขอให้เจ้าพ่อพระอินทร์ช่วยปกปักรักษาหมู่บ้าน เรียกว่า เลี้ยงศาล ในอดีตชาวบ้านทุกครัวเรือนจะจัดเครื่องเซ่นไปไหว้ศาล อันประกอบด้วย ไก่ เหล้า ขนมต้มแดง ขาว ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวแดงและผลไม้ตามฤดูกาล
ส่วน แม่ขอด เคยมีตัวตนจริง เดิมเคยเป็นร่างทรงของเจ้าพ่อพระอินทร์ รักษาคนไข้ในหมู่บ้าน เมื่อเสียชีวิต ชาวบ้านจึงสร้างศาลให้สำหรับเป็นที่เคารพบูชา (หน้า 68)
ภายหลังการแต่งงานของสาวลาวโซ่ง การถือผีจะนับทางฝ่ายสามีเสมอ (หน้า 69) |
|
Education and Socialization |
บ้านแหลมกระเจาไม่มีโรงเรียน เด็กนักเรียนต้องไปเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนของรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่บ้านแหลมกระเจาไทย ห่างจากบ้านแหลมกระเจาหนึ่งกิโลเมตรหรือไม่ก็ไปเรียนที่โรงเรียนสหบำรุง อำเภอดอนตูม ซึ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์ของคริสเตียน ที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
โรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลที่นักเรียนในหมู่บ้านนิยมไปเรียนมากที่สุดคือโรงเรียนคงทองวิทยา อำเภอดอนตูม ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร นักเรียนในหมู่บ้านบางคนอาจไปเรียนไกลถึงโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ในตัวเมืองนครปฐม (หน้า 66) |
|
Health and Medicine |
ด้านการบริการสาธารณสุข มีสถานีอนามัยตำบลลำลูกบัว ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแหลมกระเจาโซ่งราว 2 กิโลเมตร สำหรับชาวบ้านที่เจ็บป่วยมาก อาจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดอนตูม หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดนครปฐม
นอกจากนี้ ในหมู่บ้านยังมีหมอพื้นบ้านอาวุโสชื่อ หมอใบ ตรีอินทอง ปัจจุบันอายุเกือบแปดสิบปี รักษาโรคด้วยคาถาอาคมและสมุนไพร บ้านแหลมกระเจาปัจจุบันได้รับบริการไฟฟ้าและน้ำประปาอย่างทั่วถึงโดยไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ส่วนบริการประปาเริ่มมีขึ้นในปี พ.ศ. 2532 (หน้า66 - 67) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชายลาวโซ่ง สวมกางเกงพื้นเมืองที่เรียกว่า ส้วง หรือกางเกงขาสามส่วน ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย นิยมย้อมสีครามเข้ม เกือบดำ คอตั้ง แขนกระบอก เข้ารูปผ่าหน้า ติดกระดุมเป็นแถว
ฝ่ายหญิงนุ่งซิ่นย้อมครามลายแตงไทย เป็นลายขีดตามยาว สั้นแค่น่อง เวลานุ่งจะชักชายผ้าให้ผายออกทางด้านข้างและรั้งขึ้นทางด้านหน้า ใส่เสื้อย้อมครามเข้ารูป ติดกระดุมเงินเป็นแถว ผมทำเป็นทรงเกล้าเป็นกระจุก เรียกว่า ปั้นเกล้า นอกจากนี้ ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมีเสื้อคลุมยาว ย้อมครามเกือบดำ ด้านหนึ่งปักเป็นลวดลายสวยงาม เป็นเสื้อสำหรับใช้ในพิธีกรรม เรียกว่า เสื้อฮี (หน้า 42,69) |
|
Folklore |
ในอดีตเวลาว่างจากงานในไร่นา จะมีประเพณีที่พวกหนุ่มสาวลาวโซ่ง พากันเล่นแคนจีบสาวในเวลาเย็นถึงค่ำ บ้างก็ไปไกลถึงต่างหมู่บ้าน ซึ่งบ่อยครั้งที่ลงเอยด้วยการแต่งงานกัน (หน้า 69) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลาวโซ่งที่อพยพมาอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม กลุ่มที่อพยพมาใหม่ มักสมัครพรรคพวกตั้งหมู่บ้านของตนเองเป็นเอกเทศ ไม่นิยมอยู่ร่วมกับคนไทยและมีการติดต่อทางสังคมกับคนไทยน้อยมาก นอกจากนี้ ลาวโซ่งมักมีทัศนคติในทางลบต่อคนไทย เช่น เห็นว่าคนไทยเป็นพวกที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็งสู้ลาวโซ่งไม่ได้ เป็นต้น (หน้า 69) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การประกอบพิธี เลี้ยงศาล เจ้าพ่อพระอินทร์ ในอดีตชาวบ้านทุกครัวเรือนจะต้องจัดเครื่องเซ่นไปไหว้ศาล แต่ปัจจุบันจัดให้มีชาวบ้านชุดละ 3 ครอบครัว ทำหน้าที่จัดสำรับเครื่องเซ่นไหว้ในแต่ละปีหมุนเวียนกันไป (หน้า 68)
ลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาในอดีต ปลูกเรือนอยู่ติดๆ กัน โดยปลูกกอไผ่ล้อมรอบหมู่บ้านไว้ทั้งหมด เปิดช่องเป็นทางเข้าไว้ทางเดียว แต่ปัจจุบันหากดูจากลักษณะทางกายภาพของการตั้งบ้านเรือน มิได้แตกต่างไปจากหมู่บ้านชนบททั่วไปในจังหวัดนครปฐม (หน้า 70) |
|
Other Issues |
ศาสนาคริสต์ที่เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยมี 2 นิกายหลักคือ นิกายโรมันคาทอลิก และโปเตสแตนท์
นิกายโรมันคาทอลิกเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16 เช่น การเข้ามาของบาทหลวงคณะดอมินิกันชาวปอร์ตุเกส 2 รูป คือ บาทหลวงเยโรนิโม ดา ครู้ส และบาทหลวงเซเบสติอาว ดา กันโต เมื่อราวปี ค.ศ.1567 โดยเผยแพร่ศาสนาในหมู่ชาวปอร์ตุเกสที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ส่วนการเผยแพร่คริสต์ศาสนาสู่ชาวสยามโดยตรง ปรากฏครั้งแต่ราวกลาง ค.ศ.17 ภายใต้ความพยายามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เพื่อเป็นขั้นตอนสู่การขยายอิทธิพลฝรั่งเศสในดินแดนสยาม เป็นต้น (หน้า 6 - 8 )
ส่วนศาสนาคริสต์นิกายโปเตสแตนท์ เริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี ค.ศ.1828 โดยศาสนาจาย์ คาร์ล กุ๊ตสลาฟ และศาสนาจารย์ จาคอบ ทอมลิน แห่งสมาคมมิชชันนารีลอนดอน หลังจากนั้นก็ยังมีมิชชันนารีอีกจำนวนมาก อาทิ มิชชันนารีอเมริกัน (คณะเพรสไบทีเรียน) เป็นต้น โดยทั้งนี้ ได้นำความคิดแบบวิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่ในสังคมไทย โดยหวังเป็นอุบายชักจูงผู้คน โดยเฉพาะชนชั้นปกครองให้เข้าสู่คริสต์ศาสนา (หน้า 17 - 22)
ส่วนการเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกลุ่มลาวโซ่ง เริ่มที่กลุ่ม ลาว ในหัวเมืองล้านนาโดยเฉพาะที่เชียงใหม่และกลุ่ม ลาว ที่เมืองเพชรบุรี เมื่อราวร้อยปีก่อน โดยศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี มิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียน ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการบุกเบิกและวางรากฐานการประกาศคริสต์ศาสนานิการโปรเตสแตนท์ในหัวเมืองเหนือของสยาม (หน้า 51)
ในปี พ.ศ. 2499 สมาคมมิชชันนารีคริสเตียนที่อเมริกาได้เข้ามาศึกษาศักยภาพของการประกาศศาสนาในแถบจังหวัดนครปฐม พบว่ากลุ่มลาวโซ่งเป็นกลุ่มที่สามารถชักจูงให้เปลี่ยนศาสนาได้ในลักษณะที่เป็นกลุ่มก้อน จึงเสนอให้มิชชันนารีที่ประกาศคริสต์ศาสนาในจังหวัดนครปฐม สนใจกลุ่มลาวโซ่งเป็นพิเศษ โดยได้จัดโครงการประกาศศาสนาสัญจร และจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้านแหลมกระเจาตลอดจนหมู่บ้านต่างๆ ควบคู่กับการเผยแผ่ศาสนาเรื่อยมา (หน้า 51 - 65) |
|
Map/Illustration |
- โรงเรียนสหบำรุงวิทยาที่ สามแยก (หน้า 110)
- สภาพพื้นที่บ้านแหลมกระเจาเป็นที่ลุ่มต่ำ ปัจจุบันถูกแปรสภาพเป็นบ่อกุ้ง(หน้า 111)
- แผนที่หมู่บ้านแหลมกระเจา (โซ่ง) ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านคนไทยและโซ่ง(หน้า 112)
- วัดลำลูกบัว และประเพณีทางพุทธศาสนาของชาวบ้าน(หน้า 113)
- ที่ตั้งคริสต์จักร และศาลเจ้าพ่อพระอินทร์ แม่ขอด ในบ้านแหลมกระเจา(หน้า 114)
- ชีวิตลาวโซ่งสมัยก่อน ภาพจากเอกสารเผยแพร่ของมิชชันนารี (หน้า 115)
- หัตถกรรมลาวโซ่ง ภาพจากบทความเผยแพร่ในนิตยสาร SWASDEE (หน้า 116) |
|
|