สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง,ประวัติความเป็นมา,สังคมไทย,คริสต์ศาสนา,นครปฐม
Author เสมอชัย พูลสุวรรณ
Title ลาวโซ่งกับคริสต์ศาสนา
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 103 Year 2544
Source สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ลาวโซ่งอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในฐานะเชลยศึกจากทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ราวสองร้อยปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ในอดีตลาวโซ่งนับถือผีบรรพบุรุษสืบเนื่องมาแต่โบราณ เมื่ออพยพเข้าสู่ประเทศไทย ลาวโซ่งยังคงรักษาคติการนับถือผีบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัดร่วมไปกับการนับถือพุทธศาสนาตามอย่างคนไทย ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างคริสต์ศาสนากับชาวบ้านแหลมกระเจา ถูกก่อสานขึ้นมาภายใต้ระบบอุปถัมภ์ โดยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังราวยี่สิบปีก่อน เมื่อมิชชันนารีได้สร้างเสริมอาชีพและให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านซึ่งประสบภัยนาล่มเนื่องจากถูกน้ำท่วมหลายปีติดต่อกัน ความสนใจของชาวบ้านแหลมกระเจาต่อคริสต์ศาสนามีหลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่มาเข้าร่วมกิจกรรมตามมารยาท กระทั้งถึงการยอม “รับเชื่อ” ว่าพระเจ้ามีจริง และยอม “รับศีล” อันหมายถึงการยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียน โดยพวกที่ร่วมกิจกรรมตามมารยาทและยอม ”รับเชื่อ” มีจำนวนมากกว่าพวกที่ยอม ”รับศีล” เป็นอันมาก การเปลี่ยนศาสนาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนในฐานะปัจเจกบุคคล โดยแต่ละครอบครัวยังคงมีหัวหน้าครอบครัวและสมาชิกฝ่ายชายทำหน้าที่สืบผีของตระกูล มีบ้างในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวยอมเข้ารีต และเลิกประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษ อีกทั้งยอมให้มิชชันนารีเข้ามาทำพิธียกหิ้งผีบรรพบุรุษออกจากเรือน ซึ่งจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านในทำนองว่าเป็นการทิ้งผีพ่อผีแม่ ทำให้ผู้ที่เปลี่ยนศาสนาถูกต่อต้านจากญาติพี่น้อง และค่อนข้างแปลกแยกจากสังคม มิชชันนารีที่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาในชุมชนมีจุดยืนทางศาสนศาสตร์ที่ประนีประนอมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ด้วยการยอมรับว่าผีบรรพบุรุษมีอยู่จริงและสามารถมีที่อยู่อันนิรันดร์ได้ในดินแดนของพระเจ้า จากการเปิดทางให้ของลูกหลานที่ยอมรับการมีอยู่จริงของพระเจ้า การที่ลาวโซ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างจำกัดระดับความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาให้ปรับเปลี่ยนขึ้นลงได้สูงสุดเพียงระดับการ “รับเชื่อ” ทำให้ชาวบ้านยังไม่หลุดไปจากโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กรคริสต์ศาสนาได้ ทั้งยังสามารถใช้ความยืดหยุ่นดังกล่าวเป็นฐานของการปฏิบัติการเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับองค์กรคริสต์ได้ด้วย (หน้า ก - ข)

Focus

การเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกลุ่มลาวโซ่ง

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ลาวโซ่งมีภาษาพูด ที่เป็นภาษาถิ่นตระกูลไท และมีตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่ม (หน้า 41)

Language and Linguistic Affiliations

ลาวโซ่งมีภาษาพูด ที่เป็นภาษาถิ่นตระกูลไท และมีตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่ม (หน้า 41)

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

“ลาวโซ่ง” “ลาวทรงดำ” หรือ “ไทดำ”อพยพจากเขตสิบสองจุไท ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามเข้าสู่ประเทศไทยในฐานะเชลยศึกราวสองร้อยปีที่ผ่านมา เริ่มจากในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2322 โดยครั้งแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี บรรพบุรุษรุ่นแรกของลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาโซ่ง เป็นลาวโซ่งที่เดินทางมาจากบ้านทับคาง ในเขตอำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เพื่อจะบุกเบิกหาที่ทำกินใหม่ เมื่อราวไม่เกินร้อยปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกมากันเพียง 5 ครอบครัว ตอนแรกมาพักอยู่ที่บ้านดอนยอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของลาวโซ่งที่อพยพมาก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ห่างจากบ้านแหลมกระเจาไม่มากนัก แต่ด้วยเหตุที่ดอนยอมีคลองล้อมรอบ พวกที่อพยพมาใหม่กลัวลูกจะตกน้ำ จึงพากันย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านแหลมกระเจา ปัจจุบัน ในส่วนของความสัมพันธ์กับคริสต์ศาสนานั้น เกิดขึ้นเมื่อราว 40 ปีก่อน เมื่อมิชชันนารีเข้าให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจแก่ชาวบ้านซึ่งประสบภัยนาล่ม อันเนื่องมาจากถูกน้ำท่วมหลายปีติดต่อกันและได้สร้างอาชีพให้ชาวบ้านทำงาน จนทำให้ชาวบ้านมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (หน้า ก,41 – 43,68)

Settlement Pattern

ลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาในอดีต ปลูกเรือนอยู่ติดๆ กัน โดยปลูกกอไผ่ล้อมรอบหมู่บ้านไว้ทั้งหมด เปิดช่องเป็นทางเข้าไว้ทางเดียว (หน้า 70)

Demography

บ้านแหลมกระเจา ประกอบด้วยครัวเรือนราว 70 ครัวเรือน มีประชากร 500 คนเศษ(หน้า 66)

Economy

ชาวบ้านแหลมกระเจาโซ่งในอดีตทำนาเป็นหลัก แต่ด้วยต้นทุนที่สูงจนไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ในระยะหลังชาวบ้านจึงนิยมขุดบ่อเลี้ยงปลานิลและกุ้งก้ามกรามในที่นาของตนเองมากขึ้น เนื่องจากอาชีพดังกล่าวสร้างรายได้ดีกว่าอาชีพทำนา ชาวบ้านแทบทุกครัวเรือนมีที่ดินเป็นของตนเองมีเพียงกลุ่มผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ไม่กี่ครัวเรือนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตน ครัวเรือนที่มีการถือครองที่ดินมากที่สุด ถือครองราว 70 ไร่ ส่วนกลุ่มที่มีที่ดินน้อย จะมีที่ดินอยู่ระหว่าง 5 – 10 ไร่ นอกจากอาชีพหลักดังกล่าว ชาวบ้านยังรับงานหัตถกรรมประเภทของใช้และของที่ระลึกทำด้วยผ้ายัดนุ่น ปักเป็นลวดลายเป็นอาชีพเสริม (หน้า 67)

Social Organization

การตั้งถิ่นฐานภายหลังการแต่งงานของลาวโซ่งมีทั้งแบบที่ภรรยาย้ายไปอยู่กับครอบครัวสามี และสามีย้ายไปอยู่ข้างภรรยา ส่วนการถือผี จะนับทางฝ่ายสามีเสมอ(หน้า 69)

Political Organization

เมื่อครั้งที่ลาวโซ่งตั้งถิ่นฐานในดินแดนสิบสองจุไท ลาวโซ่งมีระบบการปกครองแบบศักดินา (หน้า 47) บ้านแหลมกระเจาแบ่งการปกครองเป็น 2 หมู่ คือ บ้านแหลมกระเจาไทย (หมู่ 1)เป็นหมู่บ้านของคนไทย และบ้านแหลมกระเจาโซ่ง (หมู่ 2 ) เป็นหมู่บ้านของชาวโซ่ง (หน้า 66)

Belief System

ลาวโซ่งในอดีตเมื่อครั้งที่ยังตั้งถิ่นฐานที่สิบสองจุไท มีความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” “ผีบรรพบุรุษ” และ “แถน” โดยเชื่อว่าบุคคลที่ยังมีชีวิต จะมี “ขวัญ” ประจำอยู่ตามอวัยวะสำคัญต่างๆ 32 ขวัญ หากขวัญหนีหายไปจากร่างกายจะทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วยได้ ต้องทำพิธีเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่ร่างกาย เมื่อคนตายลง ขวัญทั้งหมดจะออกจากร่างอย่างถาวรและกระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ กลายสภาพเป็น “ผี “ หากผู้ตายเป็นผู้อาวุโสของตระกูล ลูกหลานจะทำพิธีส่งขวัญส่วนหนึ่งของผู้ตายให้ไปอยู่กับ “แถน” บนดินแดนสวรรค์ ซึ่งเรียกว่า “เมืองฟ้า” และรับขวัญอีกส่วนหนึ่งให้กลับมาประจำอยู่ที่หิ้งบูชาผีบรรพบุรุษภายในเรือน และกลายสภาพเป็นผีเรือนคอยดูแลคุ้มครองลูกหลาน โดยทุกหนึ่งหรือสองปี ลูกหลานลาวโซ่งจะต้องทำพิธีเสนเรือนในพิธี มีการฆ่าควายและหมูเป็นเครื่องเซ่น นอกจากนี้ยังมีพิธี “ปาดตง” ซึ่งเป็นพิธีเซ่นผีเรือน เป็นประจำทุกห้าวันในกรณีที่เป็นผีผู้ต๊าว และ 10 วัน กรณีที่เป็นผีผู้น้อย สำหรับ “แถน” นั้น มีหน้าที่กำกับความเป็นไปในโลกมนุษย์ทั้งด้านร้ายและด้านดี ดังนั้นมนุษย์จึงต้องคอยระมัดระวัง ไม่กระทำการใดๆให้แถนโกรธและลงโทษได้ (หน้า 45 - 47) ภายหลังการอพยพเข้าสู่ประเทศไทยราวสองร้อยปีเศษที่ผ่านมา ลาวโซ่งก็ยังคงนับถือผีบรรพบุรุษร่วมกับการนับถือพุทธศาสนาเถรวาทตามอย่างคนไทย สำหรับลาวโซ่งที่เปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนา มีจำนวนไม่มาก มีอยู่เพียงบางหมู่บ้าน หมู่บ้านละไม่กี่คน ยกเว้นที่บ้านแหลมกระเจา ที่มีชาวบ้านสนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางคริสต์ศาสนาเป็นจำนวนมาก (หน้า ก,50 - 51) บ้านแหลมกระเจาโซ่งไม่มีวัดพุทธศาสนาในหมู่บ้าน เวลาทำบุญตามเทศกาลชาวบ้านต้องไปทำบุญที่วัดใกล้เคียง ได้แก่ วัดลำลูกบัว ตั้งห่างจากหมู่บ้านราว 2 กิโลเมตรและวัดสามง่าม ตั้งห่างจากหมู่บ้านราว 3 กิโลเมตรปากทางเข้าหมู่บ้านมีคริสตจักรขนาดเล็กตั้งอยู่หนึ่งแห่งชื่อว่า “คริสตจักรแหลมกระเจา” ซึ่งในอดีตเป็นศาลาธรรมขึ้นกับคริสตจักรสามแยก (อำเภอดอนตูม) ต่อมาจึงแยกตัวเป็นคริสตจักรเมื่อปี พ.ศ. 2532 สำหรับท้ายหมู่บ้านมีศาลที่สร้างเป็นอาคารเรือนไทยตั้งอยู่ใกล้เคียงกันจำนวน 3 หลังหลังแรกเป็นศาลเก่าแก่ที่มีมานานแล้ว เรียกกันว่า “ศาลเจ้าพ่อพระอินทร์” ซึ่งเป็นเทพารักษ์ประจำหมู่บ้าน หลังถัดมาเป็นศาลใหม่ของเจ้าพ่อพระอินทร์ ส่วนศาลสุดท้ายเรียกกันว่า “ศาลเจ้าแม่ขอด” ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในทุกปีชาวบ้านจะทำพิธีเซ่นบวงสรวงเจ้าพ่อพระอินทร์เพื่อขอให้เจ้าพ่อพระอินทร์ช่วยปกปักรักษาหมู่บ้าน เรียกว่า “เลี้ยงศาล” ในอดีตชาวบ้านทุกครัวเรือนจะจัดเครื่องเซ่นไปไหว้ศาล อันประกอบด้วย ไก่ เหล้า ขนมต้มแดง – ขาว ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวแดงและผลไม้ตามฤดูกาล ส่วน “แม่ขอด” เคยมีตัวตนจริง เดิมเคยเป็นร่างทรงของเจ้าพ่อพระอินทร์ รักษาคนไข้ในหมู่บ้าน เมื่อเสียชีวิต ชาวบ้านจึงสร้างศาลให้สำหรับเป็นที่เคารพบูชา (หน้า 68) ภายหลังการแต่งงานของสาวลาวโซ่ง การถือผีจะนับทางฝ่ายสามีเสมอ (หน้า 69)

Education and Socialization

บ้านแหลมกระเจาไม่มีโรงเรียน เด็กนักเรียนต้องไปเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนของรัฐบาลซึ่งตั้งอยู่บ้านแหลมกระเจาไทย ห่างจากบ้านแหลมกระเจาหนึ่งกิโลเมตรหรือไม่ก็ไปเรียนที่โรงเรียนสหบำรุง อำเภอดอนตูม ซึ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์ของคริสเตียน ที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐบาลที่นักเรียนในหมู่บ้านนิยมไปเรียนมากที่สุดคือโรงเรียนคงทองวิทยา อำเภอดอนตูม ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ 3 กิโลเมตร นักเรียนในหมู่บ้านบางคนอาจไปเรียนไกลถึงโรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ในตัวเมืองนครปฐม (หน้า 66)

Health and Medicine

ด้านการบริการสาธารณสุข มีสถานีอนามัยตำบลลำลูกบัว ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านแหลมกระเจาโซ่งราว 2 กิโลเมตร สำหรับชาวบ้านที่เจ็บป่วยมาก อาจเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดอนตูม หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ ในหมู่บ้านยังมีหมอพื้นบ้านอาวุโสชื่อ หมอใบ ตรีอินทอง ปัจจุบันอายุเกือบแปดสิบปี รักษาโรคด้วยคาถาอาคมและสมุนไพร บ้านแหลมกระเจาปัจจุบันได้รับบริการไฟฟ้าและน้ำประปาอย่างทั่วถึงโดยไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ส่วนบริการประปาเริ่มมีขึ้นในปี พ.ศ. 2532 (หน้า66 - 67)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชายลาวโซ่ง สวมกางเกงพื้นเมืองที่เรียกว่า “ส้วง” หรือกางเกงขาสามส่วน ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย นิยมย้อมสีครามเข้ม เกือบดำ คอตั้ง แขนกระบอก เข้ารูปผ่าหน้า ติดกระดุมเป็นแถว ฝ่ายหญิงนุ่งซิ่นย้อมครามลายแตงไทย เป็นลายขีดตามยาว สั้นแค่น่อง เวลานุ่งจะชักชายผ้าให้ผายออกทางด้านข้างและรั้งขึ้นทางด้านหน้า ใส่เสื้อย้อมครามเข้ารูป ติดกระดุมเงินเป็นแถว ผมทำเป็นทรงเกล้าเป็นกระจุก เรียกว่า “ปั้นเกล้า” นอกจากนี้ ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะมีเสื้อคลุมยาว ย้อมครามเกือบดำ ด้านหนึ่งปักเป็นลวดลายสวยงาม เป็นเสื้อสำหรับใช้ในพิธีกรรม เรียกว่า “เสื้อฮี” (หน้า 42,69)

Folklore

ในอดีตเวลาว่างจากงานในไร่นา จะมีประเพณีที่พวกหนุ่มสาวลาวโซ่ง พากันเล่นแคนจีบสาวในเวลาเย็นถึงค่ำ บ้างก็ไปไกลถึงต่างหมู่บ้าน ซึ่งบ่อยครั้งที่ลงเอยด้วยการแต่งงานกัน (หน้า 69)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลาวโซ่งที่อพยพมาอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม กลุ่มที่อพยพมาใหม่ มักสมัครพรรคพวกตั้งหมู่บ้านของตนเองเป็นเอกเทศ ไม่นิยมอยู่ร่วมกับคนไทยและมีการติดต่อทางสังคมกับคนไทยน้อยมาก นอกจากนี้ ลาวโซ่งมักมีทัศนคติในทางลบต่อคนไทย เช่น เห็นว่าคนไทยเป็นพวกที่มีความซื่อสัตย์และขยันขันแข็งสู้ลาวโซ่งไม่ได้ เป็นต้น (หน้า 69)

Social Cultural and Identity Change

การประกอบพิธี ”เลี้ยงศาล” เจ้าพ่อพระอินทร์ ในอดีตชาวบ้านทุกครัวเรือนจะต้องจัดเครื่องเซ่นไปไหว้ศาล แต่ปัจจุบันจัดให้มีชาวบ้านชุดละ 3 ครอบครัว ทำหน้าที่จัดสำรับเครื่องเซ่นไหว้ในแต่ละปีหมุนเวียนกันไป (หน้า 68) ลาวโซ่งบ้านแหลมกระเจาในอดีต ปลูกเรือนอยู่ติดๆ กัน โดยปลูกกอไผ่ล้อมรอบหมู่บ้านไว้ทั้งหมด เปิดช่องเป็นทางเข้าไว้ทางเดียว แต่ปัจจุบันหากดูจากลักษณะทางกายภาพของการตั้งบ้านเรือน มิได้แตกต่างไปจากหมู่บ้านชนบททั่วไปในจังหวัดนครปฐม (หน้า 70)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ศาสนาคริสต์ที่เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยมี 2 นิกายหลักคือ นิกายโรมันคาทอลิก และโปเตสแตนท์ นิกายโรมันคาทอลิกเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยาตอนกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16 เช่น การเข้ามาของบาทหลวงคณะดอมินิกันชาวปอร์ตุเกส 2 รูป คือ บาทหลวงเยโรนิโม ดา ครู้ส และบาทหลวงเซเบสติอาว ดา กันโต เมื่อราวปี ค.ศ.1567 โดยเผยแพร่ศาสนาในหมู่ชาวปอร์ตุเกสที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ส่วนการเผยแพร่คริสต์ศาสนาสู่ชาวสยามโดยตรง ปรากฏครั้งแต่ราวกลาง ค.ศ.17 ภายใต้ความพยายามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เพื่อเป็นขั้นตอนสู่การขยายอิทธิพลฝรั่งเศสในดินแดนสยาม เป็นต้น (หน้า 6 - 8 ) ส่วนศาสนาคริสต์นิกายโปเตสแตนท์ เริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี ค.ศ.1828 โดยศาสนาจาย์ คาร์ล กุ๊ตสลาฟ และศาสนาจารย์ จาคอบ ทอมลิน แห่งสมาคมมิชชันนารีลอนดอน หลังจากนั้นก็ยังมีมิชชันนารีอีกจำนวนมาก อาทิ มิชชันนารีอเมริกัน (คณะเพรสไบทีเรียน) เป็นต้น โดยทั้งนี้ ได้นำความคิดแบบวิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่ในสังคมไทย โดยหวังเป็นอุบายชักจูงผู้คน โดยเฉพาะชนชั้นปกครองให้เข้าสู่คริสต์ศาสนา (หน้า 17 - 22) ส่วนการเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกลุ่มลาวโซ่ง เริ่มที่กลุ่ม “ลาว” ในหัวเมืองล้านนาโดยเฉพาะที่เชียงใหม่และกลุ่ม “ลาว” ที่เมืองเพชรบุรี เมื่อราวร้อยปีก่อน โดยศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี มิชชันนารีคณะเพรสไบทีเรียน ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการบุกเบิกและวางรากฐานการประกาศคริสต์ศาสนานิการโปรเตสแตนท์ในหัวเมืองเหนือของสยาม (หน้า 51) ในปี พ.ศ. 2499 สมาคมมิชชันนารีคริสเตียนที่อเมริกาได้เข้ามาศึกษาศักยภาพของการประกาศศาสนาในแถบจังหวัดนครปฐม พบว่ากลุ่มลาวโซ่งเป็นกลุ่มที่สามารถชักจูงให้เปลี่ยนศาสนาได้ในลักษณะที่เป็นกลุ่มก้อน จึงเสนอให้มิชชันนารีที่ประกาศคริสต์ศาสนาในจังหวัดนครปฐม สนใจกลุ่มลาวโซ่งเป็นพิเศษ โดยได้จัดโครงการประกาศศาสนาสัญจร และจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ในหมู่บ้านแหลมกระเจาตลอดจนหมู่บ้านต่างๆ ควบคู่กับการเผยแผ่ศาสนาเรื่อยมา (หน้า 51 - 65)

Map/Illustration

- โรงเรียนสหบำรุงวิทยาที่ “สามแยก” (หน้า 110) - สภาพพื้นที่บ้านแหลมกระเจาเป็นที่ลุ่มต่ำ ปัจจุบันถูกแปรสภาพเป็นบ่อกุ้ง(หน้า 111) - แผนที่หมู่บ้านแหลมกระเจา (โซ่ง) ล้อมรอบด้วยหมู่บ้านคนไทยและโซ่ง(หน้า 112) - วัดลำลูกบัว และประเพณีทางพุทธศาสนาของชาวบ้าน(หน้า 113) - ที่ตั้ง“คริสต์จักร” และศาลเจ้าพ่อพระอินทร์ – แม่ขอด ในบ้านแหลมกระเจา(หน้า 114) - ชีวิตลาวโซ่งสมัยก่อน ภาพจากเอกสารเผยแพร่ของมิชชันนารี (หน้า 115) - “หัตถกรรมลาวโซ่ง” ภาพจากบทความเผยแพร่ในนิตยสาร SWASDEE (หน้า 116)

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 00 543
TAG ลาวโซ่ง, ประวัติความเป็นมา, สังคมไทย, คริสต์ศาสนา, นครปฐม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง