สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยภาคอีสาน,การทำนาข้าว,การปรับเปลี่ยน,ผลกระทบ,ทุ่งกุลาร้องไห้,ร้อยเอ็ด
Author บุษกร สำโรง
Title การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำนาข้าวในเขตปฏิรูปที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ : ศึกษากรณีบ้านฮ่องสังข์ ตำบลทุ่งกุลา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 101 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Abstract

สาเหตุหรือปัจจัยที่ทำให้ชาวบ้านฮ่องสังข์ที่เคยทำนาดำเปลี่ยนมาเป็นการทำนาหว่านมีหลายประการ แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดมาจากสาเหตุที่ชาวบ้านได้รับความสะดวกสบายทางด้านวัตถุนิยม และทุนนิยม สังเกตได้จากการทำนาหว่านในปัจจุบัน ช่วยประหยัดเวลาและทุนทรัพย์ ไม่เหน็ดเหนื่อย งานไม่หนักเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศ ลดขั้นตอน ไม่ยุ่งยาก ใช้แรงงานน้อยและสอดคล้องกับภาวะการขาดแคลนแรงงาน ไม่ต้องเสี่ยงกับสภาพดินฟ้าอากาศ ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง (หน้า 96, 99, 100)

Focus

ศึกษาและวิเคราะห์การปรับเปลี่ยน วัฒนธรรมการทำนาข้าวในเขตปฏิรูปที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยน และผลกระทบที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำนาข้าวซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินทุ่งกุลาร้องไห้ บ้านฮ่องสังข์ ตำบลทุ่งกุลา อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยไม่ได้บอกว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด แต่จากข้อสังเกตของผู้อ่าน กลุ่มชาติพันธุ์ที่ปรากฏในงานเขียน คือ ไทยภาคอิสาน โดยสามารถสังเกตได้จากภาษาพูดในการสัมภาษณ์ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ผู้ศึกษาเลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างในกรณีศึกษา ซึ่งผู้ศึกษาเลือกบ้านฮ่องสังข์ หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งกุลา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เป็นกรณีศึกษา ตัวอย่างเช่น ประโยค “เพิ่นบ่จ้าง เฮ็ด (ทำ) ไปเรื่อยๆ บ่แล้วเร็ว” หรือ ประโยค “ในอดีตถ้าผู้ใด๋แล้วลุน (ทีหลัง) ก็จะไปซอย (ช่วย) กันบ่มีการจ้าง.......” (หน้า 56) ซึ่งจาก 2 ประโยคนี้ และอีกหลายประโยคในงานเขียน จะเห็นได้ว่าเป็นสำนวนของภาษาถิ่นไทยภาคอิสาน

Language and Linguistic Affiliations

ชาวบ้านฮ่องสังข์ในกรณีศึกษาใช้ภาษาถิ่นอิสานเป็นหลัก โดยจะเห็นได้จากการสัมภาษณ์ชาวบ้านฮ่องสังข์ในงานเขียน

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียน เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง มกราคม – พฤศจิกายน พ.ศ. 2545

History of the Group and Community

ชาวบ้านฮ่องสังข์ หมู่ที่ 4 ตำบลทุ่งกุลา อำเภอสุวรรณภูมิ มีคนอพยพมาจากหลายที่ มาก่อตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นคุ้ม ๆ มีพื้นที่รวมไปถึงหมู่ที่ 3 บ้านสังข์น้อย บ้านสังข์ใหญ่ หมู่ที่ 10 (ปัจจุบัน) ซึ่งปัจจุบันขึ้นอยู่กับ ตำบลทุ่งหลวง ต่อมาบ้านสังข์น้อย หมู่ที่ 12 ตำบลทุ่งหลวง ได้ขอแยกจากบ้านฮ่องสังข์หมู่ที่ 4 (ตำบลทุ่งหลวงขณะนั้น) ต่อมาปี พ.ศ. 2527 ตำบลงกุลาร้องไห้แยกตัวจากตำบลทุ่งหลวง มีการจัดระดับหมู่บ้านใหม่ บ้านสังข์น้อย หมู่ที่ 12 มาเป็นบ้านสังข์น้อยหมู่ที่ 3 ต่อมาปี พ.ศ. 2528 บ้านสังข์ใหญ่ได้ขอแยกออกจากบ้านฮ่องสังข์ หมู่ที่ 4 มาเป็นบ้านสังข์ใหญ่ หมู่ที่ 10 ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 คุ้ม แต่ละคุ้มได้อพยพมาจากถิ่นอื่น ได้แก่ 1. คุ้มยางใหญ่ โดยมี นายน้อย จันทร์พิลม หัวหน้าในขณะนั้น อพยพมาจากอำเภอสุวรรณภูมิ นางสิงห์ สุวรรณา เป็นเจ้าบ้านเดิม นายเสน บัวลอย อพยพมาจากบ้านทุ่งหมื่น อำเภอพนมไพร นายถ่าย คิดหนองสรวง เป็นเจ้าบ้านเดิม และนายบุ่น นาคะวงค์ เป็นเจ้าบ้านเดิม โดยทั้ง 5 คนได้ร่วมกับชาวบ้านก่อตั้งเป็นคุ้มยางใหญ่ประมาณปี พ.ศ. 2470 2. คุ้มยางน้อย ได้ก่อตั้งประมาณปี พ.ศ. 2470 โดยมีหัวหน้าในการก่อตั้ง คือ นายสีดา – นางต่อย ดำนิล เป็นหัวหน้าคุ้ม อพยพมาจากบ้านน้ำเขียว อำเภอรัตนบุรี นายนาม จำปางาม อพยพมาจากตำบลระเวียง อำเภอรัตนบุรี พ่อใหญ่เที่ยง ดำนิล อพยพมาจากบ้านน้ำเขียว พ่อใหญ่คาร ดำนิล อพยพมาจากบ้านน้ำเขียว และพ่อใหญ่สิม ดำนิล อพยพมาจากบ้านน้ำเขียว 3. คุ้มโนนเม็ก ได้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2475 โดยมีนายลี ชินสิน หัวหน้าคุ้ม อพยพมาจากบ้านจาน นายซะ อพยพมาจากบ้านสองชั้น อำเภอสุวรรณภูมิ นายโถน มืดทัพไทย อพยพมาจาก ต.ช้างเผือก อำเภอสุวรรณภูมิ นายเสือ ชินสอน อพยพมาจากบ้านจาน ตำบลทุ่งกุลา 4. คุ้มโนนกลาง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2475 มีผู้นำในการก่อตั้งคือ นายแดง ซุยน้ำเที่ยง เป็นหัวหน้าคุ้ม อพยพมาจากบ้านลิ้นฟ้า อำเภออำนาจเจริญ 5. คุ้มโนนโพธิ์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยมีผู้นำในการก่อตั้งคือ นายจันทรา คาโส 6. คุ้มโนนหนามแท่ง ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยมีนายคูณ ซุยน้ำเที่ยงเป็นผู้ก่อตั้ง (หน้า 20, 21, 22)

Settlement Pattern

เนื่องจากบ้านฮ่องสังข์ มีลักษณะภูมิประเทศที่ตรงกลางเป็นโคกสูง จึงใช้เป็นที่ปลูกบ้านเรือน ส่วนบริเวณรอบๆ เป็น ที่ลุ่มใช้ในการทำนา ชาวบ้านอพยพมาจากหลายที่ ตั้งบ้านเรือนกันอย่างกระจัดกระจายเป็นคุ้มๆ มีการวางแผนผังหมู่บ้านสวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีถนนผ่านกลางหมู่บ้าน ทำให้แบ่งหมู่บ้านออกเป็น 2 ส่วน แบ่งการปกครองเป็น 6 คุ้ม ฝั่งด้านทิศใต้จะอยู่ในคุ้มที่ 2 ส่วนด้านทิศเหนือจะเป็นคุ้มที่ 3 – 5 แต่ละบ้านมีรั้วไม้ไผ่อยู่หน้าบ้าน และจะปลูกไม้ผลต่างๆ ตลอดจนพืชผักสวนครัวรั้วกินได้(หน้า 23) มีประชากรทั้งหมด 129 ครัวเรือน มีพื้นที่ในการทำนาทั้งหมด 2,496 ไร่ (หน้า 1)

Demography

บ้านฮ่องสังข์ ประกอบด้วย คุ้มบ้านยางใหญ่ มีจำนวนประชากร 43 ครัวเรือน, คุ้มบ้านยางน้อย, คุ้มบ้านโนนเม็ก มีจำนวนประชากร 41 ครัวเรือน, คุ้มบ้านโนนหนามแท่ง มีจำนวนประชากร 6 ครัวเรือน, คุ้มบ้านโนนโพธิ์ มีจำนวนประชากร 11 ครัวเรือน และคุ้มบ้านโนนกลาง มีจำนวนประชากร 12 ครัวเรือน (หน้า 20, 21, 22)

Economy

ระบบการผลิตในสมัยก่อนของชาวบ้านฮ่องสังข์ เป็นแบบเพื่อยังชีพ ถ้าปีไหนได้น้อยก็จะเก็บไว้บริโภค ปีไหนได้ข้าวมากก็จะแบ่งขายหรือเก็บไว้แลกกับเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆ เช่น ไก่ หมู จากชาวบ้านที่เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ (หน้า 34) ปัจจุบันการผลิตเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อบริโภคเป็นการผลิตเพื่อการค้า แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านฮ่องสังข์ก็ยังคงสามารถพึ่งตนเองได้เพราะชาวบ้านมีการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อการบริโภคในครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงไหมเป็นอาชีพรองอีกด้วย (หน้า 26, 32, 64) พื้นที่นาของชาวบ้านฮ่องสังข์บางแห่งเป็นที่ราบลุ่ม บางแห่งเป็นที่ดอน ชาวบ้านจึงต้องคัดพันธุ์ข้าวให้สอดคล้องกับพื้นที่นา นาที่เป็นที่ดอนจะใช้พันธุ์ข้าวเบา (ข้าวที่ให้ผลผลิตเร็ว) และในที่ลุ่มชาวบ้านจะใช้พันธุ์ข้าวหนัก (ข้าวที่ให้ผลผลิตช้ากว่าข้าวเบาและข้าวกลาง) ซึ่งพันธุ์ข้าวชาวบ้านจะคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธ์สำหรับเพาะปลูกเอง หากไม่มีพันธุ์ข้าวหรือพันธุ์ข้าวปะปนกับพันุธ์อื่น ชาวบ้านจะยืมหรือแลกเปลี่ยนกับเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ส่วนพันธุ์ข้าวพื้นบ้านในอดีตมีหลายพันธุ์ แต่ปัจจุบันคงเหลือเฉพาะข้าวป้องแอ้ว (ข้าวดอ) ที่ชาวบ้านยังคงใช้อยู่ (หน้า 51, 54, 68) ชาวบ้านจะปลูกข้าวเหนียวไว้สำหรับบริโภค ส่วนข้าวจ้าวจะนิยมปลูกข้าวหอมมะลิไว้สำหรับขายเนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดและราคาสูง (หน้า 33, 37) เครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการทำนาทุกชนิด เช่น คันไถ แอก รวมทั้งใบไถ ชาวบ้านต้องทำเองซึ่งเครื่องมือการเกษตรทำจากไม้ซึ่งหาได้จากป่าในหมู่บ้าน (หน้า 27, 29, 48, 76) จะซื้อเฉพาะสบไถ (ผาล) เท่านั้น การทำนาในอดีต ชาวบ้านต้องรอน้ำฝนเพื่อใช้ในการทำนา เมื่อฝนตกชาวนาจะต้องเตรียมเครื่องมือสำหรับทำนา จากนั้นจึงเริ่มเตรียมแปลงนาสำหรับเพาะกล้าข้าว หลังจากนั้นจึงไถดะเพื่อกลบหญ้าและเศษวัชพืชไว้ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณเดือนเศษจึงเสร็จ สามารถปักดำได้ ซึ่งจะพอดีกับอายุกล้าที่เริ่มเพาะไว้ในช่วงต้น ก่อนทำการปักดำชาวบ้านจะหาฤกษ์ยามที่เป็นสิริมงคลก่อนโดยไปทำพิธีเซ่นไหว้ผีตาแฮก (หน้า 27) การปักดำปกติพ่อบ้านจะออกไปปักดำแต่เช้า ส่วนแม่บ้านจะทำอาหารแล้วออกไปส่งที่นาจนการปักดำเสร็จ ถ้าใครมีนามากก็จะจ้างคนไปช่วยปักดำ การทำนาสมัยก่อนไม่ต้องมีการใส่ปุ๋ยอีก นอกจากครั้งแรกที่ไถดะไว้ โดยจะใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก แต่ปัจจุบันต้องใส่ปุ๋ยเคมีเป็นหลักและใช้ปุ๋ยคอกควบคู่ไปด้วย แต่อยู่ในอัตราที่ต่ำเพราะจำนวน วัว ควายในหมู่บ้านมีน้อย เนื่องจากไม่มีที่เลี้ยง (หน้า 50 , 62) การเก็บเกี่ยวในอดีตจะมีการลงแขกช่วยกัน โดยเจ้าของนาจะเป็นผู้เลี้ยงดูเรื่องอาหาร ซึ่งจะเลี้ยงข้าว 2 มื้อ คือ กลางวันและเย็น (หน้า 42, 56, 73) การเก็บเกี่ยวในอดีตเป็นกิจกรรมต่อเนื่องจากการดำนา เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย เครื่องทุ่นแรง จึงใช้แรงงานจากคนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหลังจากปักดำเสร็จก็จะพอดีกับฤดูเก็บเกี่ยว ก่อนทำการเกี่ยวก็จะต้องมีพิธีกรรมแฮกเกี่ยวก่อน ซึ่งพิธีนี้สืบทอดมาถึงปัจจุบัน แรงงานในอดีตเป็นแรงงานของคนในครอบครัว หรือจากญาติพี่น้อง ปัจจุบันมีการลงแขกอยู่บ้างแต่น้อยมาก ในขณะที่การว่าจ้างแรงงานในการเก็บเกี่ยวกำลังได้รับความนิยมในการบริโภคและการค้าข้าว (หน้า 31, 34, 59) มีระบบการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน โดยไม่คิดถึงมูลค่า แต่เป็นการช่วยเหลือจุนเจือซึ่งกันและกัน ส่วนในปัจจุบันชาวนายังคงมีการเก็บข้าวไว้กิน ไว้แลกเปลี่ยนและไว้สำหรับช่วยเหลือญาติพี่น้องเหมือนในอดีต แต่เนื่องจากได้รับเทคโนโลยีแบบใหม่เข้ามาใช้ มีการใช้ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืชทำให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น ชาวนาจึงขายข้าวในส่วนที่เหลือจากการเอาไว้กิน (หน้า 59) ผู้เขียนอ้างอิงงานวิจัยการเกษตรที่เกี่ยวข้องหลายงานวิจัย (หน้า 11 -19) จากเอกสารและงานวิจัยที่กล่าวอ้าง ผู้เขียนพบว่าปัญหาสำคัญของเกษตรกรในการผลิตข้าวคือ สภาพดินฟ้าอากาศ ต้นทุนการผลิต ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากระบบการผลิตเพื่อขาย (หน้า 19)

Social Organization

ความสัมพันธ์ของชาวบ้านฮ่องสังข์เป็นระบบเครือญาติที่มีเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่ย้ายมาจากบ้านหัวดง – หนองซำ มาตั้งเป็นบ้านฮ่องสังข์ ซึ่งผู้ที่อพยพมาในครั้งนั้นเป็นญาติพี่น้องกันทั้งสิ้น เมื่อแต่งงานมีการขยายครอบครัวออกไป มีลูกมีหลานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกหลานเหล่านั้นจึงมีปู่ย่าตายาย ที่เป็นเชื้อสายเดียวกัน จนปัจจุบันได้ขยาย ครอบครัวออกไปเป็นคุ้ม ซึ่งแต่ละคุ้มจะมีความสัมพันธ์โยงใยเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมู่บ้าน และจะมีการเคารพนับถือญาติผู้ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง (หน้า 40, 93) ลักษณะครอบครัวมีทั้งเป็นครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย (หน้า 75) ส่วนความสัมพันธ์ภายในหมู่บ้านเป็นความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ชาวบ้านมีความสนิทสนมกัน มีการเคารพนับถือผู้สูงอายุในหมู่บ้าน มีความศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า (หน้า 98) มีกิจกรรมที่ทำร่วมกันเป็นกิจกรรมทางศาสนา และการพัฒนาหมู่บ้าน เป็นกิจกรรมเชื่อมความสามัคคี (หน้า 26)

Political Organization

บ้านฮ่องสังข์ มีการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน โดยมี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วย ประกอบด้วย 6 หมู่บ้าน (6 คุ้ม) ได้แก่ คุ้มบ้านยางใหญ่, คุ้มบ้านยางน้อย, คุ้มบ้านโนนเม็ก, คุ้มบ้านโนนหนามแท่ง, คุ้มบ้านโนนโพธิ์ และคุ้มบ้านโนนกลาง นอกจากนี้ยังมีสมาชิก อบต. และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งมีความชำนาญในการออกแบบสร้างบ้านอีกด้วย

Belief System

ชาวบ้านฮ่องสังข์นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็มีการนับถือผีหรือสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติด้วยเช่นเดียวกัน โดยในหมู่บ้านจะมีทั้งวัดและดอนปู่ตา ในทุก ๆ เช้าผู้เฒ่าผู้แก่จะนำอาหารไปถวายพระที่วัด และเมื่อถึงเทศกาลสำคัญทางศาสนาก็จะมีกิจกรรมทางศาสนาที่วัดซึ่งเป็นกิจกรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ ความสามัคคีของชาวบ้านเข้าด้วยกัน ส่วนการนับถือผีนั้น ในเดือน 6 ของทุกๆ ปี ผู้นำของแต่ละคุ้มจะนำชาวบ้านไปเลี้ยงปู่ตา เพื่อเสี่ยงทายเรื่องของฟ้าฝน และขอพรจากปู่ตาให้คุ้มครองคนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีพิธีแฮกนา เลี้ยงผีตาแฮก ก่อนลงมือทำนา เมื่อเสร็จสิ้นการทำนาก็จะทำพิธีปลงพาหวาน หรือ เรียกว่า “ขึ้นปลง ลงเลี้ยง” ในด้านคติความเชื่อชาวบ้านฮ่องสังข์มีความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม เช่น มีการหาฤกษ์ยาม หาวันที่เป็นสิริมงคล การสู่ขวัญข้าว และทำพิธีกรรมต่างๆ (หน้า 40 , 89 , 95)

Education and Socialization

ชาวบ้านฮ่องสังข์ ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ภายในหมู่บ้านมีโรงเรียน 1 แห่ง เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 จนถึงชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อจบจากโรงเรียนในหมู่บ้าน ผู้ปกครองจำนวนไม่มากนักจะส่งลูกหลานไปศึกษาต่อโรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัดเนื่องจากชาวบ้านมีทัศนคติว่า เมื่อเรียนจบมาก็ไม่มีงานทำ จึงไม่นิยมส่งลูกหลานให้เรียนในระดับสูง (หน้า 24) สำหรับผู้ที่เข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ของหมู่บ้านเช่น เป็นเขย จะต้องมีการปรับตัวให้เป็นคนดี ขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพ ถ้าปรับตัวไม่ได้จะต้องออกจากหมู่บ้านไปโดยปริยาย (หน้า 41) สถาบันครอบครัวทำหน้าที่ให้การอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน สนับสนุนการศึกษา จัดระบบการผลิตและการแบ่งสรรภายในครอบครัวตลอดจนเครือญาติ ในขณะเดียวกันสถาบันทางศาสนาทำหน้าที่อบรมศีลธรรมให้แก่ชาวบ้าน รักษาวัฒนธรรมประเพณีทางพุทธศาสนาให้คงอยู่ในหมู่บ้าน ส่วนสถาบันการศึกษา สถาบันการปกครอง ผู้อาวุโสรวมทั้งชาวบ้านทุก ๆ คนต่างทำหน้าที่ตามขอบเขตของแต่ละปัจเจกบุคคลและงานส่วนรวมของหมู่บ้าน (หน้า 98)

Health and Medicine

หมู่บ้านฮ่องสังข์ในอดีตเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วยชาวบ้านจะใช้หมอพื้นบ้านรักษา แต่ปัจจุบันมีสถานีอนามัยตำบลทุ่งกุลาตั้งอยู่ที่บ้านจานเตย ห่างจากบ้านฮ่องสังข์ประมาณ 2 กิโลเมตร โรคที่ชาวบ้านเจ็บป่วยกันมากในอดีตคือ โรคขาดสารอาหาร รักษาโดยใช้สมุนไพร ส่วนโรคที่ชาวบ้านเป็นกันมากในปัจจุบันคือ โรคประสาท โรคคอพอก โดยไปรักษาที่โรงพยาบาล ปัจจุบันมีการบริหารสุขภาพระดับหมู่บ้านทำให้สุขภาพของคนในชุมชนแข็งแรง มีการตรวจหาผู้ขาดสารอาหารโดยการชั่งน้ำหนัก กำจัดยุงลาย มีการให้อาหารเสริมนมแก่เด็กที่ขาดสารอาหาร (หน้า 25 , 26)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

คติความเชื่อและพิธิกรรมเกี่ยวกับการทำนาของชาวบ้านฮ่องสังข์ ยังมีความเชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้า จึงมีพิธีกรรมเพื่อการอ้อนวอน และขอความคุ้มครองจากเทพเจ้าและผี ความเชื่อและพิธีกรรมที่ชาวนาบ้านฮ่องสังข์ยังยึดถือปฏิบัติในพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิต คือ เชื่อและเคารพแม่โพสพ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเทพีแห่งข้าวมีหน้าที่เป็นผู้รักษาต้นข้าว สามารถบันดาลให้ข้าวได้ผลดีหรือไม่ดีก็ได้ เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นกับข้าวก็จะต้องบอกกล่าวต่อแม่โพสพเพื่อขจัดปัดเป่าให้หมดสิ้นไป เมื่อเสร็จสิ้นจากการทำนา และขนข้าวขึ้นเล้าแล้ว ชาวบ้านจะประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวเพื่อเป็นการเรียกขวัญปลอบขวัญข้าว และระลึกถึงบุญคุณของแม่โพสพ (หน้า 95) พญาแถน ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในโลกและเป็นเทพเจ้าแห่งฝน ส่วนความเชื่อในเรื่องของผี ชาวอิสานเชื่อว่าผีมีบทบาทในชีวิตประจำวันหลายด้าน เช่น ฝนแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด เกิดจากการกระทำของผีทั้งสิ้น ซึ่งผีที่เกี่ยวข้องกับการทำนานั้น คือผีตาแฮก ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นผีที่มีบทบาทในการเจริญงอกงามของข้าว มีอำนาจที่จะบันดาลให้ข้าวอุดมสมบูรณ์ และยังมีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาท้องไร่ท้องนาอีกด้วย ก่อนที่จะลงมือทำนาทุกปีชาวนาจะประกอบพิธีเลี้ยงตาแฮก และหลังจากเสร็จสิ้นการทำนาก็จะทำพิธีปลงพาหวาน ผีบรรพบุรุษ ชาวบ้านเชื่อว่าเมื่อบรรพบุรุษตายไปแล้วแต่ก็ยังคงคอยดูแลทุกข์สุขและคุ้มครองบ้านเรือนให้แก่ลูกหลาน ส่วนในด้านการทำนา ชาวบ้านมีความเชื่อว่า ผีบรรพบุรุษจะช่วยบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ปกป้องดูแลต้นข้าวให้เจริญงอกงาม ชาวบ้านฮ่องสังข์มีพิธีเซ่นไหว้ผีเรือน และมีการทำบุญประเพณี เช่น ทำบุญข้าวประดับดินในเดือน 9 ทำบุญข้าวสากในเดือน 10 เพื่อทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งมีความเชื่อว่า “ครั้นบ่ไปทำบุญพ่อแม่บ่ได้กิน บ่เห็นลูกหลานทำบุญไปให้ พ่อแม่ก็จะนั่งร้องไห้” ความเชื่อปัจจุบันหรืออดีตไม่แตกต่างกันในหมู่บ้านเชื่อว่า การทำบุญต้องได้บุญ และมีความเชื่อว่าจะดี จะชั่วอยู่ที่โชควาสนา (หน้า 36-37)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

บ้านฮ่องสังข์ มีลักษณะเป็นหมู่บ้านเมืองกึ่งชนบท สภาพกึ่งเมืองดูได้จากกิจกรรมการลงแขกเริ่มหายไปจากหมู่บ้าน พร้อมๆ กับการนิยมว่าจ้างแรงงานด้วยเงินตราเข้ามาแทนที่ การรับเทคโนโลยีและสินค้าหลากหลายชนิดเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต ความสะดวกสบายและรวดเร็วในการเดินทาง การเคารพนับถือและยกย่องยำเกรงผู้ที่มีฐานะร่ำรวย การสูญเสียศักยภาพของการพึ่งตนเองในทางเศรษฐกิจ ผูกติดกับเศรษฐกิจจากภายนอก (สังคมเมือง) ส่วนสภาพกึ่งชนบทดูได้จากการปฏิบัติตามขนบประเพณีที่มีมาแต่อดีต ความสนิทสนมของผู้คนในหมู่บ้าน การเคารพนับถือผู้สูงอายุในหมู่บ้าน ความเรียบง่ายทางด้ารการกิน อยู่ ความอดทนและมีลักษณะประนีประนอม ความศรัทธาในสถาบันทางพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำนาของชาวบ้านฮ่องสังข์จากการทำนาดำมาเป็นการทำนาหว่าน มีผลกระทบในทางบวก เนื่องจากมีเวลาว่างจากการทำนามากถึง 1 - 4 เดือน เกษตรกรบ้านฮ่องสังข์ส่วนใหญ่ต่างก็ใช้เวลาว่างของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัวโดยการปลูกพืชผัก ผลไม้ ทำสวนครัว การเดินทางไปรับจ้าง นอกหมู่บ้าน รวมทั้งประกอบอาชีพเสริม การช่วยงานพัฒนาหมู่บ้าน และงานสาธารณะประโยชน์ต่างๆ (หน้า 98)

Critic Issues

ไม่มีข่อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ผู้เขียนใช้ตารางเพื่อเปรียบเทียบและอธิบายข้อมูลเชิงปริมาณ ให้เห็นภาพชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายในการทำนา (หน้า 65, 78) แหล่งเงินทุน (หน้า 72) การว่าจ้างแรงงาน (หน้า 63, 75)

Text Analyst ศศิกาญจน์ เดชราม Date of Report 28 มิ.ย 2560
TAG ไทยภาคอีสาน, การทำนาข้าว, การปรับเปลี่ยน, ผลกระทบ, ทุ่งกุลาร้องไห้, ร้อยเอ็ด, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง