สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลเวือะ,ชุมชน,ประวัติความเป็นมา,สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม,เสาอินทขิล,ปู่แสะ,ย่าแสะ,เชียงใหม่
Author กฤษณา เจริญวงศ์, เพชรา ประจนปัจจนึก
Title การสำรวจลัวะ 5 อำเภอ: อำเภอเมือง หางดง สันป่าตอง จอมทอง และฮอด
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 68 Year 2530
Source ศูนย์วิจัยและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยพายัพ
Abstract

ลัวะมีความสัมพันธ์อันดีกับคนพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยพญามังราย เนื่องจากปัจจัยด้านความแห้งแล้งทำให้เกิดการอพยพจากบนดอยลงมาสู่ที่ราบ ลักษณะการประกอบอาชีพจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากการทำไร่เลื่อนลอยตามป่าเขา สู่การทำนาเป็นอาชีพหลัก และใช้ความสามารถด้านการปั้นหม้อ และจักรสานมาประกอบอาชีพเสริม อาหารของชาวลัวะนั้นใกล้เคียงกับคนพื้นเมือง โดยมีถั่วเน่าเป็นอาหารประจำครัวเรือน ทางด้านศาสนาความเชื่อนั้นมีการรับเอาศาสนาพุทธเข้ามาผนวกกับผีที่เป็นความเชื่อดั้งเดิม สำหรับภาษาที่ใช้ยังคงมีการพูดภาษาลัวะในกลุ่มของตนเองและพูดภาษาพื้นเมืองเหนือกับคนอื่น ส่วนคนรุ่นหลังสามารถพูดภาษาไทยเป็นอย่างดีเนื่องจากเข้าศึกษาในโรงเรียน มีการรับเอาวัฒนธรรมตลอดจนประเพณีของคนพื้นเมืองจนผสมกลมกลืนไปด้วยกัน เช่น ประเพณีการเกิด การตายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นต้น

Focus

สำรวจชุมชนและหมู่บ้านลัวะในจังหวัดเชียงใหม่เบื้องต้นเพื่อศึกษาด้านประวัติความเป็นมา พัฒนาการ รวบรวมข้อมูลต่างๆ ตลอดจนทำความเข้าใจชุมชนลัวะในปัจจุบัน (หน้า 3)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ลัวะที่อาศัยในอำเภอเมือง อำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง และอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาของลัวะจัดอยู่ในกลุ่มปะหล่อง-ว้า (Pa Laung-Wa) และเรียง (Riang) ซึ่งอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร มีความคล้ายคลึงกับมอญ-เขมร แต่ไม่มีภาษาเขียนมีแต่ภาษาพูดเท่านั้น ซึ่งภาษาพูดของลัวะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลกัน มีการแบ่งภาษาออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ พวกลัวะในเขตลุ่มแม่น้ำปิงอยู่ในกลุ่ม Wa-Va และกลุ่มในเขตอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนอยู่ในกลุ่ม Ang-Ka (หน้า 1,14-15) ลัวะในไทยรู้ภาษาเหนือ บางหมู่บ้านพูดภาษาเหนือและลืมภาษาดั้งเดิมของตนแล้ว (หน้า 8) ภาษาลัวะจะใช้เมื่ออยู่บนดอยเท่านั้น เมื่อลงมาอยู่บนพื้นราบจะใช้ภาษาคำเมืองเพื่อความสะดวกในการสื่อสาร แต่ยังคงมีชาว ลัวะอำเภอฮอดที่ยังพูดภาษาลัวะกันมาก ส่วนอำเภอจอมทองและสันป่าตองจะพูดกันเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น (หน้า 49) ในช่วง 30 ปีต่อมาเด็กรุ่นหลังเข้าเรียนในโรงเรียนจึงพูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี (หน้า 65)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

เดิมสันนิษฐานกันว่าลัวะอาศัยอยู่ในตอนกลางของแหลมอินโดจีน โดยเฉพาะละว้าปุระคือเมืองลพบุรีในปัจจุบัน ได้อพยพขึ้นทางเหนือตามแนวลำน้ำแม่ปิง พวกแรกได้ตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำคงในรัฐไทยใหญ่ของพม่าและอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนพวกที่อพยพภายหลังได้ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายตามลุ่มแม้น้ำปิงเรียกว้าพวกว้าเขิด ซึ่งหมายถึงผู้ตกค้างที่อยู่เบื้องหลัง ส่วนคนไทยเรียกว้าเขิดว่า ลัวะ (Lua) ประมาณคริสตวรรษที่ 6 ได้ครองแผ่นดินล้านนาไทย ต่อมาตกอยู่ใต้อำนาจมอญเมื่อคริสตวรรษที่ 7 จึงได้อพยพหนีไปอาศัยอยู่บนภูเขา จนคริสตวรรษที่ 13 เริ่มมีกำลังกล้าแข็งจึงต่อต้านมอญได้คริสตวรรษที่ 16 ชนเผ่าลัวะมีจำนวนมากบริเวณลุ่มแม่น้ำปิง (หน้า 1,5)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ลัวะแต่เดิมนั้นอาศัยอยู่ตามป่าเขาซึ่งเป็นพื้นที่สูง มีการทำไร่หมุนเวียน พืชที่ปลูกคือข้าวจ้าว ต่อมาได้เรียนรู้วิธีปลุกข้าวแบบดำนาจากคนไทย มีการประกอบอาชีพเหมือนกันหมดใน 5 อำเภอคือ ทำนาเป็นหลัก แต่เดิมปลูกและบริโภคข้าวจ้าว แต่เมื่ออพยพมาอยู่ที่ราบจึงเปลี่ยนมาบริโภคข้าวเหนียว ข้าวจ้าวจึงปลูกเพื่อขายซึ่งมีการปลูกปีละ 2 ครั้ง ยกเว้นอำเภอฮอดที่ยังคงบริโภคข้าวจ้าวอยู่ นอกจากการทำนาแล้วยังมีการปลูกพืชไร่และผักสวนครัว อีกทั้งยังประกอบอาชีพเสริมอื่นๆด้วย (หน้า 63) เช่น ลัวะในบ้านกวนและบ้านขุนคงหลวงประกอบอาชีพทางการเกษตรคือทำไร่ทำนาอาศัยน้ำจากคลองชลประทานแม่แตง พื้นที่ทางการเกษตรของบ้านกวนมีทั้งหมด 548 ไร่ ส่วนบ้านขุนคงหลวงมีพื้นที่ทางการเกษตรทั้งสิ้น 1,188 ไร่ การปลูกข้าวจะปลูกข้าวเหนียวเพื่อบริโภคและปลูกข้าวเจ้าเพื่อขาย นอกจากนี้ยังมีการปลูกพืชไร่และผักต่างๆ เช่น พริก ถั่วเหลือง ผักกาด มะเขือเทศ เป็นต้น และหัตถกรรมพื้นบ้าน ได้แก่ ปั้นหม้อ และเครื่องจักรสาน เป็นอาชีพเสริมซึ่งใช้เวลาว่างจากการทำนา โดยแต่เดิมผลิตเพื่อไว้ใช้ในครัวเรือน แต่ปัจจุบันผลิตไว้เพื่อการค้าขายซึ่งมีการปั้นภาชนะต่างๆ นอกจากปั้นหม้อแล้ว เช่น กระถางปลูกต้นไม้ หม้อต้มเหล้า เป็นต้น สามารถปั้นได้วันละ 40-50 ใบ โดยมีพ่อค้าคนกลางเป็นผู้กำหนดราคา (หน้า 25-27) ลัวะในอำเภอสันป่าตองมีอาชีพหลักทำไร่ทำนา แต่เดิมนิยมปลูกและกินข้าวจ้าว แต่เปลี่ยนมากินข้าวเหนียวตามคนเมืองเพราะกินง่าย ไม่ยุ่งยากและราคาไม่แพงเท่าข้าวจ้าว ดังนั้นจึงนิยมปลูกข้าวจ้าวไว้ขายมากกว่าบริโภค โดยปลูกข้าวปีละ 2 ครั้ง อาศัยน้ำจากแม่น้ำวางและมีการสร้างฝาย พื้นที่การเกษตรมีทั้งสิ้น 824 ไร่ นอกจากทำนาแล้วยังปลูกพืชผักอื่นๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง กระเทียม หอมหัวใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการสานเสื่อ โดยชาวบ้านส่วนใหญ่จะขายให้กับพ่อค้าคนกลางซึ่งราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดของเสื่อ ต่อมามีการจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตเสื่อประจำหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและลดอำนาจของพ่อค้าคนกลางลง (หน้า 41-43) ลัวะบ้านบ่อหลวงมีอาชีพทำไร่ทำนา โดยทำนาปีละ 1 ครั้ง ปลูกและกินข้าวจ้าว และใช้เวลาว่างจากการทำนามาปลูกผักขาย เช่น กะหล่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการหากล้วยไม้ป่า ไม้สนชนิดน้ำมัน และของป่าต่างๆขายให้แก่พ่อค้าเพื่อส่งไปยังตัวเมืองเชียงใหม่ แต่เดิมมีการรับจ้างป๋วดหรือพวดเป็นการใช้ตระกร้าสะพายหลังหามส่งของจากอำเภอฮอดไปยังอำเภอแม่สะเรียงในช่วงที่รถยนต์ยังเข้าไม่ถึง อีกทั้งยังมีการตีเหล็กขาย ในปัจจุบันอาชีพดังกล่าวได้เลิกทำไปแล้ว (หน้า56)

Social Organization

หนุ่มสาวชาวบ้านกวนและบ้านขุนคงหลวงจะได้รับอิสระในการเลือกคู่ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตมีการเกี้ยวพาราสีภายในบ้านเท่านั้น และอยู่ในขอบเขตประเพณีการถือผี เรียกประเพณีว่าการแอ่วสาว โดยจะล่วงเกินฝ่ายหญิงไม่ได้จนกว่าจะยินยอมมิเช่นนั้นจะถือว่าผิดผี แต่เดิมประเพณีของลัวะจะไม่มีการจัดงานแต่งงาน แต่จะบอกให้ผู้ใหญ่รับทราบและมีพิธีการใส่ผีเพื่อบอกกล่าวให้ผีปู่ย่าได้ทราบ โดยเมื่อตกลงจะอยู่ด้วยกัน ผู้หญิงจะมาอยู่บ้านผู้ชายก่อน 4-5 วัน แล้วจึงบอกให้ญาติมารวมกัน และเลี้ยงผีโดยใช้เหล้าเลี้ยง และมีการจัดกินแขก โดยฆ่าหมูเลี้ยงผู้มาร่วมงานหลังจากมีการเลี้ยงผีแล้ว 5-6 เดือน ถ้าคนลัวะแต่งงานกับญาติหรือผู้ถือผีเดียวกันจะมีการแก้เคล็ดโดยให้ฝ่ายหญิงจูงหมาดำรอบบ้าน 3 รอบโดยมีฝ่ายชายเดินตาม เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายชายจะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงระยะหนึ่งแล้วจึงปลูกบ้านใหม่ แต่ถ้าเป็นญาติกันฝ่ายหญิงต้องไปอยู่บ้านฝ่ายชาย ถ้าแต่งงานกับคนเมือง ผู้ชายลัวะต้องออกไปอยู่บ้านผู้หญิงคนเมือง ถ้าเป็นผู้หญิงเข้ามาจะต้องเข้าผีลัวะด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ลัวะได้รับเอาประเพณีคนพื้นเมืองมาใช้ เช่น การสู่ขอ การหมั้นหมาย การผูกข้อมือ เป็นต้น (หน้า 28-30,45,55) สำหรับลัวะบ้านบ่อหลวงนั้นมีธรรมเนียมการแอ่วสาวที่แปลกออกไป กล่าวคือมีการจกลาว คือในเวลากลางคืนจะมีชายหนุ่มจะล้วงมือผ่านร่องที่เจาะไว้ใกล้ที่นอนผู้หญิงมาจับเนื้อต้องตัวเกี่ยวพาราสีกัน หากฝ่ายหญิงพอใจจะเปิดประตูให้ฝ่ายชายเข้าไปร่วมห้อง และตกลงเรื่องแต่งงานกัน (หน้า 57)

Political Organization

ชาวลัวะยอมรับอำนาจการปกครองของกษัตริย์ล้านนาตั้งแต่สมัยพญามังราย ซึ่งกษัตริย์ล้านนาให้การยอมรับการสืบทอดตำแหน่งสะมางหรือสะมังซึ่งเป็นหัวหน้าชาวลัวะหรือเรียกว่าตำแหน่งขุนอันเป็นตำแหน่งปกครองของชาวลัวะตามหลาบเงิน ต่อมาได้ยกเลิกวิธีการบริหารปกครองดังกล่าวหลังการปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพซึ่งเป็นการผนวกล้านนาเข้าเป็นเขตปกครองของกรุงเทพ (หน้า 66)

Belief System

ความเชื่อเรื่องผีปู่แสะย่าแสะ เชื่อว่าเป็นผีดูแลเมืองเชียงใหม่ที่สำคัญมาก กษัตริย์ ขุนนางและชาวบ้านจะร่วมกันทำพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ปกป้องรักษาให้อยู่ดีมีสุข ถ้าไม่ทำพิธีปู่แสะย่าแสะจะมาเอาคนและวัวควายไปกิน บ้านเมืองจะไม่สงบสุข มีการเข้าทรงเจ้านายเพื่อทำนายความเป็นอยู่ของบ้านเมือง ในการทำพิธีจะมีการฆ่าควายเซ่นสังเวย เนื่องจากมีความเชื่อว่าในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ที่ดอยคำ ได้พบกับยักษ์สามตนคือ ปู่แสะย่าแสะและบุตร ด้วยความเกรงกลัวบารมียักษ์จึงน้อมรับศีลห้า แต่ปู่แสะย่าแสะได้ขอกินเนื้อมนุษย์ปีละสองครั้ง ซึ่งพระพุทธองค์ได้ให้ไปถามเจ้าผู้ครองนครซึ่งอนุญาตให้กินควายได้ปีละครั้ง จึงมีพิธีการฆ่าควายตั้งแต่นั้นมา ในการสังเวยนั้นผีปู่แสะจะใช้ควายดำ ผีย่าแสะจะใช้ควายเผือก โดยควายจะต้องเป็นควายหุ่มและมีเขายาวเพียงหูและผ้าพระบทเขียนเป็นรูปพระพุทธเจ้าปางโปรดสัตว์มีอัครสาวกทั้งสองข้าง ในปัจจุบันใช้ควายดำเพียงตัวเดียว ส่วนบุตรนั้นได้บวชจำพรรษาอยู่บนดอยสุเทพ และลาสิกขาบำเพ็ญพรตจนสิ้นอายุขัย ซึ่งเชื่อว่าฤาษีตนนี้ได้สร้างเมืองหริภุญชัยและอันเชิญพระนางจามเทวีจากเมืองละโว้มาปกครอง (หน้า 17-22) การนับถือผีเป็นความเชื่อดั้งเดิม โดยผีได้รับการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผีดีและผีร้าย ผีดีจะปกป้องรักษาสมาชิกในหมู่บ้านได้แก่ ผีเจ้านาย ผีเจ้าบ้าน ผีวิญญาณประจำวัดประจำเรือน ผีเจ้าป่าเจ้าเขา เป็นต้น ส่วนผีร้ายจะทำร้ายคนให้เจ็บป่วยล้มตาย ต่อมาภายหลังพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามา ลัวะนับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับคนไทย แต่ไม่เคร่งครัดเท่าและยังนับถือผีอยู่มาก ผีต่างๆที่ชาวบ้านนับถือ เช่น ผีฮ่องหล่อ จะเลี้ยงผีตนนี้เมื่อมีเด็กผู้ชายเกิดใหม่ในหมู่บ้าน เชื่อว่าจะทำให้เจริญเติบโตแข็งแรงดี ผีเสามงคลบ้านหรือผีตะมังลอง จะเลี้ยงเมื่อมีงานแต่งงาน ขึ้นปีใหม่ หรือมีคนตายในบ้านและนำศพออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีผีเฮือน ผีหัวบันได ผีชานบ้าน ผีลาด ผีมิตรบ้าน เป็นต้น โดยการเลี้ยงผีทุกชนิดจะมีการเลี้ยง 2 ครั้ง คือ พิธีดิบ 1 ครั้ง คืออาหารเครื่องเซ่นจะดิบทั้งหมด และพิธีสุก 1 ครั้ง โดยอาหารทุกอย่างจะต้องสุก ในปัจจุบันชาวลัวะมีการนับถือผีบางชนิดเท่านั้น คือ ผีเฮือนหรือผีปู่ย่า ผีมิตรบ้าน และผีลาด (หน้า34-38,65) ตัวอย่างเช่น ลัวะที่หมู่บ้านหัวรินยังคงนับถือผีถึงแม้จะรับพระพุทธศาสนาเข้ามา แต่ไม่เคร่งครัดเท่าสมัยก่อน ผีที่ยังนับถือในปัจจุบันคือ ผีเรือนหรือผีปู่ย่าซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษจึงยังคงนับถืออยู่เพราะเชื่อว่าคอยปกป้องคนในบ้านเรือน (หน้า 43-44) ลัวะที่หมู่บ้านห้วยรากไม้ยังคงนับถือผี โดยผีเรือนเป็นผีที่ยังมีการบวงสรวงอยู่ (หน้า 52) ลัวะที่บ้านกองลอยยังคงนับถือผีเรือนหรือผีปู่ย่าอยู่ การเลี้ยงผีจะใช้หมากพลู เหล้า และวัวหรือควาย 1 ตัว เมื่อเลี้ยงเสร็จจะนำวัวหรือควายมาทำอาหารเลี้ยงกันในครอบครัวถ้ามีเนื้อเหลือจะแบ่งขายแก่ญาติหรือเพื่อนบ้าน (หน้า 54) สำหรับบ้านบ่อหลวงมีวัดอยู่ 3 วัด โดยวัดบ่อหลวงเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุด สร้างเมื่อปีพ.ศ. 2373 ส่วนการเลี้ยงผีนั้นที่นี่ยังมีการเลี้ยงผีนอกหรือผีละมังได้แก่ ผีปู่แสะย่าแสะและผีขุนวิลังคะ และผีในได้แก่ผีปู่ย่า ผีตะเคือง ผีตะโป๊ะ และผีตะเมาะ (หน้า 56)

Education and Socialization

ในระยะแรกๆที่ลัวะลงมาจากดอยที่อำเภอสันป่าตองนั้นจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ มีโอกาสได้เรียนบ้างในกลุ่มที่บวชเป็นพระ ในช่วง 60-70 ปีที่ผ่านมาเริ่มได้เข้าเรียนในระดับประถมศึกษา จบชั้นประถมศึกษาที่ 4 ไม่มากนักเพราะต้องช่วยครอบครัวทำงาน ในปัจจุบันการศึกษาเริ่มดีขึ้นมีการศึกษาต่อจนถึงระดับมัธยมและอุดมศึกษา (หน้า 50-51)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของลัวะใช้ผ้าที่ทอขึ้นเอง ผู้ชายสวมเสื้อผ่าอกแบบเสื้อกุยเฮง ใส่กางเกงหลวมๆ แบบกางเกงจีน ผู้หญิงสวมผ้าซิ่นสั้นแค่เข่ากับเสื้อแขนยาวหลวมๆคล้ายกะเหรี่ยง มีผ้าพันแข้ง เครื่องประดับใส่ลานหูทำจากโลหะซึ่งแต่เดิมทำด้วยม้วนใบลาน ผู้หญิงใส่ห่วงสวมคอและแขนที่ทำจากโลหะเงิน และนิยมพันหวายรอบใต้เข่า (หน้า 15,65)

Folklore

นิยายปรัมปรา เช่น ตำนานสุวรรณคำแดง หรือตำนานเสาอินทขิล ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา และจามเมวีวงศ์ เล่าเรื่องราวที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน แตกต่างเพียงรายละเอียด ตำนานได้เปรียบเทียบว่าลัวะเกิดจากรอยเท้าสัตว์ และสะท้อนให้เห็นจุดกำเนิดของลัวะว่าเกิดจากชุมชนขนาดเล็กในกลุ่มเครือญาติเดียวกัน ต่อมาชุมชนได้ขยายใหญ่ขึ้นจนสามารถสร้างเวียงบริเวณดอยสุเทพต่อไปถึงลำพูน (หน้า 8) โดยตำนานสุวรรณคำแดงหรือตำนานเสาอินทขิล ได้แสดงถึงการก่อตั้งชุมชนระดับเวียงในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง โดยบริเวณเชิงดอยสุเทพเป็นศูนย์กลางของเวียงอื่นๆ และมีการขยายชุมชนออกไปเป็นเวียงสอนดอก เวียงเชษฐบุรีและเวียงนพบุรี โดยตามตำนานกล่าวว่าเวียงวิเชียรบุรีสร้างโดยเศรษฐีชาวลัวะ 9 ตระกูล และมีการตั้งเสาอินทขิลเพื่อให้เวียงมั่นคงและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง (หน้า 9) ส่วนตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ และตำนานจามเทวีวงศ์ ได้กล่าวถึงการพัฒนาของรัฐหริภุญชัย ความพ่ายแพ้ของชนเผ่า ลัวะในการสู้รบกับกษัตริย์องค์แรกของแคว้นหริภุญชัยคือพระนางจามเทวีทำให้ลัวะกระจัดกระจายไปอยู่ตามป่าเขา โดยบางส่วนอยู่ในหริภุญชัย ต่อมาพระยามังรายกษัตริย์เมืองเชียงรายได้ส่งขุนนางชื่ออ้ายฟ้าซึ่งเป็นลัวะมาเป็นไส้ศึกที่เมืองลำพูนทำให้เสียเมืองให้แก่พระยามังรายในที่สุด หลังจากประทับที่หริภุญชัยเป็นเวลา 3 ปี จึงได้ย้ายเมืองไปทางเหนือเรียกว่าเวียงกุมกาม แต่เนื่องจากมีชัยภูมิไม่เหมาะสมจึงได้ย้ายมาตั้งเมืองเชียงใหม่บริเวณลุ่มน้ำปิง และยกหริภุญชัยให้อ้ายฟ้า (หน้า 9-11)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

คนไทยทางตอนเหนือกับลัวะอาศัยอยู่ร่วมกัน มีความใกล้ชิดผูกพันกันเป็นเวลานาน มีการพึ่งพาอาศัยกัน และเนื่องจากนับถือศาสนาพุทธเหมือนกันจึงมีการร่วมกันสร้างวัดตลอดจนร่วมพิธีกรรมต่างๆทางศาสนา แต่มีการกระทบกันบ้างในประเด็นที่คนพื้นเมืองมักมองว่าลัวะเป็นคนป่าคนดอยที่ไม่เจริญ มีเรื่องบาดหมางในหมู่หนุ่มๆตามงานปอยต่างๆ (หน้า 11-12, 67-68) สำหรับความสัมพันธ์กับกะเหรี่ยงนั้นมีอยู่บ้าง เช่น กะเหรี่ยงมารับจ้างทำงานไร่นากับลัวะ ตลดจนความสัมพันธ์ทางการแต่งงานระหว่างลัวะกับกะเหรี่ยง (หน้า 68)

Social Cultural and Identity Change

ลัวะยอมรับวัฒนธรรมประเพณีของคนพื้นเมือง มีการผสมผสานกลมกลืนไปกับคนพื้นเมืองในทุกๆด้าน (หน้า 66)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

อาหารที่สำคัญคือ ข้าวเบือ คือข้าวต้มใส่ถั่วเน่าซึ่งทำมาจากถั่วเหลืองนำมาหมักแล้วห่อใบตองย่างไฟ ใช้รับประทานกับข้าวหรือปรุงอาหาร เช่นน้ำพริก แกงต่างๆ (หน้า 15,64) ประเพณีการตาย พวกลัวะเดิมใช้วิธีฝัง แต่ปัจจุบันใช้วิธีเผาแบบคนพื้นเมืองมากขึ้นขึ้นกับความสะดวกของญาติ โดยการตายแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ การตายธรรมดา คือการตายด้วยโรคชราหรือเจ็บป่วยตายจะเก็บศพไว้ในบ้านแล้วจึงนำไปฝังในป่าช้าโดยการรื้อฝาบ้านด้านที่อยู่เหนือหัวศพออก การตายโหง เป็นการตายโดยอุบัติเหตุ ตายด้วยโรคระบาด และตายขณะคลอดลูกจะนำศพไปฝังทันที เช่นเดียวกับลัวะบ้านหัวริน (หน้า 32-33,46,58)

Map/Illustration

-แผนที่แสดงการอพยพของกลุ่มชนลัวะโดยสังเขป -แผนที่สังเขปอำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ -แผนที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

Text Analyst อภิรัตน์ ศุภธนาทรัพย์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ลเวือะ, ชุมชน, ประวัติความเป็นมา, สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม, เสาอินทขิล, ปู่แสะ, ย่าแสะ, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง