สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลเวือะ,ลัวะ,เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่,ความสัมพันธ์,สังคม,การเมือง,เศรษฐกิจ ล้านนา/ เชียงใหม่,แม่ฮ่องสอน
Author กฤษณา เจริญวงศ์
Title ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 47 Year 2542
Source ศูนย์วิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยพายัพ
Abstract

รายงานการวิจัยชิ้นนี้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มชนต่างๆ ในดินแดนล้านนา เพื่อเข้าใจบทบาทและความสำคัญของลัวะในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่มีต่อดินแดนล้านนาจากหลักฐานเอกสารตำนานและคำบอกเล่าของกลุ่มชนลัวะที่สืบเชื้อสายในหมู่บ้านเขต อ.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน งานศึกษาทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ บทบาทของลัวะที่มีต่อสังคมล้านนาในอดีตทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยลัวะในฐานะไพร่เมืองต้องปฏิบัติต่อชนชั้นปกครองในการยอมรับอำนาจของบ้านเมืองเช่นเดียวกับไพร่ทั่วๆ ไป เช่น การส่งส่วยมายังส่วนกลาง ความสัมพันธ์ ระหว่างลัวะกับผู้ปกครองมีลักษณะการประนีประนอมกันมากกว่าที่จะใช้อำนาจของผู้ปกครองต่อผู้ใต้ปกครอง แสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองยอมรับความสำคัญของชุมชนเดิมที่เคยอยู่อาศัยมาก่อนเช่นลัวะ ลัวะได้รับอำนาจปกครองตัวเองในชุมชนในรูปแบบสิทธิบัตรหรือที่ลัวะเรียกว่า “หลาบเงิน” ที่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มอบให้โดยให้สิทธิในการปกครองตนเองและได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน ลัวะมีบทบาทด้านเศรษฐกิจเป็นผู้ผลิตสินค้าทางการเกษตร ลัวะเป็นผู้นำสินค้าจากป่าเข้ามาขายในตัวเมือง เป็นตัวจักรเพิ่มพูนรายได้ให้อาณาจักรล้านนา

Focus

เพื่อทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนลัวะกับเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ รวมไปถึงความสัมพันธ์กับกลุ่มชนต่างๆ ในดินแดนล้านนา เพื่อเข้าใจบทบาทและความสำคัญของลัวะในด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคมที่มีต่อดินแดนล้านนา จากหลักฐานเอกสารตำนานและคำบอกเล่าของกลุ่มชนลัวะที่สืบเชื้อสายในหมู่บ้านเขตอ.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้าบทคัดย่อ , ฌ)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ศึกษากลุ่มชนลัวะทั้งจากเอกสารตำนานและคำบอกเล่าของกลุ่มชนลัวะที่สืบเชื้อสายในหมู่บ้านเขต อ.หางดง อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ และอ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน (หน้าบทคัดย่อ , ฌ)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

ลัวะมีถิ่นฐานเดิมอยู่ในตอนกลางของแหลมอินโดจีนเช่นเดียวกับมอญและเขมร โดยเฉพาะที่เมืองละว้าปุระ (เมืองลพบุรีในปัจจุบัน) ต่อมาอพยพไปทางเหนือจนตั้งถิ่นฐานตามริมฝั่งแม่น้ำคงรัฐไทยใหญ่ของพม่า ส่วนพวกที่อพยพมาทีหลังตั้งถิ่นฐานกระจายตามลุ่มน้ำปิงในประเทศไทย เรียกว่า “ว้าเขิด” (หมายถึงพวกที่ตกค้างอยู่เบื้องหลัง) ส่วนคนไทยเรียกว่า “ลัวะ” (หน้า 1)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างลัวะและคนพื้นเมืองมีมานานแล้ว โดยลัวะทำไร่ทำนาอยู่บนเทือกเขาและค้าขายกับชาวไตพื้นราบ บทบาทของลัวะถือเป็นผู้ผลิตของผลผลิตจากไร่นอกเหนือจากคนเมือง พืชที่ปลูกมักเป็นพืชที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ฝ้าย พริก เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมือง มีอำนาจในการเกณฑ์แรงงานเพื่อใช้ในยามสงครามและในยามสงบ ส่วนชาวลัวะนั้นมีหลักฐานจารึกในหลาบเงินว่าได้รับสิทธิข้อยกเว้นในทุกแห่งที่มีกลุ่มชนชาวลัวะอยู่ แต่ต้องส่งส่วยให้กับเจ้าเมืองซึ่งเป็นผลผลิตจากไร่นาแทน บทบาทของลัวะในระบบเศรษฐกิจล้านนาจึงเป็นฐานะของผู้ผลิตและผู้ทำหน้าที่ส่งส่วยให้แก่รัฐ ซึ่งทำให้ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานเหมือนไพร่เมืองทั่วๆ ไป (หน้า 27 – 40)

Social Organization

การจัดแบ่งหน้าที่ทางสังคมของลัวะมีกลุ่มผู้ปกครองเรียกว่า “สะมาง” กลุ่มประกอบพิธีกรรมเรียกว่า “ล่าม” และกลุ่มสามัญชน ปัจจุบันบทบาทของ “สะมาง” เป็นทั้งผู้ปกครองชุมชนและมีบทบาทด้านพิธีกรรมด้วย ลัวะเกือบทุกหมู่บ้านมักแบ่งคนออกเป็นสองพวกคือ ชาวลัวะธรรมดาทั่วๆไป บางครั้งเรียกว่าพวกไพร่น้อย และพวกลัวะเชื้อขุนที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นอดีตชนชั้นปกครองสมัยก่อน ในอดีตคนที่มีเชื้อสายขุนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำงานแบกหาม แต่ปัจจุบันทุกคนต้องทำเหมือนกันหมด (หน้า 9 – 13)

Political Organization

ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่กับชุมชนชาวลัวะในด้านการเมืองถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้น ทั้งการที่พระยามังรายพยายามก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ด้วยการให้อ้ายฟ้าซึ่งเป็นคนลัวะเป็นไส้ศึกก่อนโจมตีอาณาจักรหริภุญชัยจนสำเร็จและผนวกรวมอาณาจักรได้ และตอบแทนอ้ายฟ้าให้ปกครองอาณาจักรหริภุญชัยต่อไป การที่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่เป็นพันธมิตรที่ดีกับลัวะเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจของผู้ครองนครที่มีต่อลัวะ ขณะที่อีกมุมหนึ่งลัวะก็ยอมรับในอำนาจของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ด้วยเช่นกัน (หน้า 12 – 17) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ยอมรับการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าชาวลัวะผ่านทางสายโลหิตหรือ “สะมาง” ซึ่งถือเป็นผู้ที่มีอำนาจในชุมชนชาวลัวะ ขณะที่ “สะมาง” ต้องตอบแทนผลประโยชน์ของบ้านเมืองด้วยการส่งส่วยจำพวกทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่นไปให้ผู้ปกครอง เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ใช้การออกสิทธิบัตรหรืออาชญาบัตร (หลาบเงิน) ให้ลัวะรับไว้และปฏิบัติตาม อีกนัยหนึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าเมืองอื่นรวมไปถึงขุนนางมาบังคับหรือเกณฑ์ลัวะให้ไปเป็นแรงงานได้ ลัวะถือว่าจารึกหลาบเงินเป็นสิ่งที่ต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี เพราะเสมือนเป็นความคุ้มครองจากเจ้าผู้ครองนครไม่ให้ลัวะถูกรังแกจากขุนนางข้าราชการ จารึกหลาบเงินจะถูกเก็บไว้มิดชิดโดยใส่หม้อและฝังดินไว้ แม้ในช่วงที่เชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่ากว่า 200 ปี (พ.ศ.2101 – 2317) และเป็นการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์มังราย หลังจากพระยากาวิละขับไล่พม่าออกไปจากอาณาจักรล้านนาและสถาปนาราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน สมัยนี้เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ยังมอบจารึกหลาบเงินเป็นลายลักษณ์อักษรให้ชาวลัวะได้รับสิทธิเกี่ยวกับที่ดินทำกิน ยอมรับสิทธิและอำนาจของลัวะเหนือกะเหรี่ยง (หน้า 18 – 26)

Belief System

ลัวะมีความเชื่อโดยการนับถือผี เพราะในอดีตบ้านเมืองลัวะถูกข้าศึกรุกรานต้องอพยพหนีภัยสงครามขึ้นไปอยู่บนภูเขา ลัวะเชื่อว่าถ้าไม่มีผีคุ้มครองคงไม่มีกลุ่มชนลัวะจนกระทั่งทุกวันนี้ รวมไปถึงการอ้อนวอนผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพาะปลูกพืชให้ได้ผล (หน้า 10 – 11) ลัวะยอมรับความเชื่อตามพุทธศาสนาแบบล้านนาผสมรวมกับความเชื่อเรื่องผีแบบดั้งเดิม และเป็นการเสริมอำนาจการปกครองของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ตลอดสมัยราชวงศ์มังราย เช่น ในเวลาที่กษัตริย์มังรายต้องเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมเซ่นสังเวยผีบ้านผีเมืองเพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ป้องกันอันตรายกับบ้านเมือง และประเพณีดังกล่าวก็ปฏิบัติสืบทอดจนมาถึงทุกวันนี้ (หน้า 17) ลัวะมีคำกล่าวในหมู่ชาวบ้านว่า “พ่อแม่ตาย บ่เสียดายเท่าละฮีต” หมายถึงการนับถือผีในหมู่ชาวลัวะที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้ การเลี้ยงผีประจำหมู่บ้านถือว่าเป็นงานใหญ่ที่จัดทุกปี เพื่อช่วยอ้อนวอนอย่าให้มีความเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับคนในหมู่บ้าน อำนวยความอุดมสมบูรณ์ให้กับผลผลิตในท้องไร่ท้องนา เป็นต้น (หน้า 41 – 43)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

หากมีการเจ็บป่วยในครอบครัวลัวะ จะมีการถามหมอผีประจำหมู่บ้าน และมีการเลี้ยงผีด้วยไก่หรือหมู หากมีการเจ็บป่วยมากผิดปกติในหมู่บ้านต้องจัดพิธีเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน ในแต่ละปีแต่ละครอบครัวของลัวะต้องเลี้ยงผีเป็นจำนวนถึง 20 – 30 ครั้งต่อปี เหตุจากความเจ็บป่วยของสมาชิกในครอบครัว (หน้า 41)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ระหว่างลัวะกับไต นอกจากการที่ลัวะเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ในอาณาจักรล้านนา ซึ่งสมาชิกของสังคมต้องทำหน้าที่เป็นไพร่เมืองแล้ว ในด้านวัฒนธรรมการผสานความเชื่อระหว่างพุทธศาสนากับความเชื่อเรื่องผีเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลัวะและไตมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เช่น ตำนานที่กล่าวถึงความช่วยเหลือของลัวะที่มีต่อไตซึ่งถูกผีไล่มาจากเมืองเชษฐบุรี หรือการให้ไตตัดผมเหมือนลัวะเพื่อไม่ให้ผีจำไตได้ เป็นต้น ความสำคัญของลัวะทำให้ผู้ปกครองไตต้องยอมรับจารีตวัฒนธรรมของลัวะ รวมไปถึงความเชื่อและการบวงสรวงผีปู่แสะย่าแสะของลัวะที่ไตยอมรับและกลายเป็นประเพณีที่สำคัญของอาณาจักรล้านนาจนถึงปัจจุบัน แสดงถึงบทบาทความสำคัญของลัวะต่อการตั้งรัฐไต เพราะกษัตริย์จะร่วมมือกับขุนนางและประชาชนทำพิธีบวงสรวงปู่แสะย่าแสะในเดือน 9 ของทุกปี นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจูงหมา ซึ่งในอดีตการขึ้นครองอำนาจของกษัตริย์ล้านนาจะมี “ลัวะจูงหมาพาแจ้ก” นำหน้ากษัตริย์เข้าเมือง กระทั่งปัจจุบันในหมู่บ้านชาวลัวะ หากมีการแต่งงานระหว่างผู้ถือผีเดียวกันต้องแก้เคล็ดด้วยการให้ฝ่ายหญิงจูงหมาดำเดินรอบบ้าน 3 รอบ ฝ่ายชายเดินตาม หลังจากนั้นจะฆ่าหมาแล้วเอาเลือดใส่รางข้าวหมูให้คู่บ่าวสาวส่องดูเงาตัวเอง ประเพณีของลัวะที่ได้รับการยอมรับแสดงถึงความสำคัญของกลุ่มชนลัวะต่อการสร้างอาณาจักรล้านนา เป็นการยอมรับลัวะในฐานะผู้อยู่ในพื้นที่มาก่อน (หน้า 1 – 9)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

งานวิจัยชิ้นนี้มีภาพประกอบที่ทำให้เข้าใจงานวิจัยได้ดียิ่งขึ้น เช่น ภาพพิธีกรรมเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 9) ภาพ “สะมาง” หรือผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมและควายที่จะใช้เซ่นสังเวยผีประจำหมู่บ้านลัวะ (หน้า 41) เป็นต้น

Text Analyst กฤษณา เจริญวงศ์ Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ลเวือะ, ลัวะ, เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่, ความสัมพันธ์, สังคม, การเมือง, เศรษฐกิจ ล้านนา/ เชียงใหม่, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง