|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
จีนฮ่อ,การผลิตซ้ำ,อุดมการณ์,เชียงราย |
Author |
วัฒนา คุณประดิษฐ์ |
Title |
การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อในภาคเหนือของไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
98 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาอุดมการณ์ การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ
การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ ของชาวจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ของชาวจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
อุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อมีอยู่ 3 ลักษณะ ได้แก่ อุดมการณ์อำนาจ, อุดมการณ์ในการจัดการทรัพยากร และอุดมการณ์ในการรวมตัวกัน ความสามัคคี และความเป็นคนจีน ซึ่งอุดมการณ์ต่างๆ ของชาวจีนฮ่อนี้จะมีความสัมพันธ์กับความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ, ความเชื่อในอำนาจของธรรมชาติจากคติความเชื่อเรื่องเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ย และคุณค่าทางสังคม เช่น การให้คุณค่าความกตัญญู ความมั่งคั่ง และความเป็นจีน เป็นต้น
ส่วนเรื่องการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อนั้น ได้สะท้อนผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ และการอบรมสั่งสอน โดยมีเงื่อนไขปัจจัยทั้งภายในและภายนอกอันได้แก่ ครอบครัวและชุมชนได้ผลิตซ้ำทางอุดมการณ์สม่ำเสมอ การได้รับการสนับสนุนจากไต้หวัน และนโยบายของรัฐบาลไทยที่ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม |
|
Focus |
เพื่อศึกษาอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อในภาคเหนือของประเทศไทย การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อในภาคเหนือ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ (บทคัดย่อ) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้สร้างกรอบแนวคิดในเรื่องอุดมการณ์ การผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ และเงื่อนไขปัจจัยที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้ (หน้า 16-17)
1.แนวคิดในเรื่องอุดมการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องความเชื่อและคุณค่าที่สังคมยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ดีงามและสังคมสามารถมั่นใจในหลักการของความเชื่อนั้น โดยต้องศึกษาทั้งอุดมการณ์ว่าด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติ, อุดมการณ์ว่าด้วยธรรมชาติ และอุดมการณ์ทางสังคม
2.แนวคิดเรื่องการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ครอบครัวและชุมชนเข้ามาทำพิธีกรรมและอบรมสั่งสอน โดยมีระยะเวลาและโอกาสที่จะได้ทำพิธีกรรมนั้นต่อเนื่องกัน
3.แนวคิดเรื่องเงื่อนไขปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของชาวจีนฮ่อที่เป็นกรณีศึกษา ผู้เขียนได้นำเสนอดังนี้
3.1เงื่อนไขปัจจัยภายใน ได้แก่ วัฒนธรรมที่เข้มแข็งของชาวจีนฮ่อ, ครอบครัว และชุมชน ซึ่งวัฒนธรรมของชาวจีนฮ่อที่เข้มแข็งนี้เกิดจากกลไกในการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์อย่างต่อเนื่องอันได้แก่ ครอบครัวและชุมชน โดยผ่านการดำเนินพิธีกรรมต่าง ๆ และการอบรมสั่งสอน
ในเรื่องของการดำเนินพิธีกรรม การดำเนินพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสืบทอดความเชื่อเรื่องบรรพบุรุษและเจ้าที่เท่านั้น แต่ยังสืบทอดความสัมพันธ์ทางสังคมให้รวมกลุ่มกัน สามัคคีกัน และมีความเป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น พิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษประจำวันและพิธีกรรมสารทจีน เป็นต้น ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้แสดงถึงการสืบทอดอุดมการณ์อำนาจ โดยนำเอาอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมมาเกี่ยวข้อง
นอกจากพิธีกรรมแล้ว ยังมีระบบคุณค่าที่ครอบครัวและชุมชนอบรมสั่งสอนให้รักในการเรียนภาษาจีน มีความกตัญญู และสร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นการอบรมสั่งสอนให้มีความเป็นชาติพันธุ์เดียวกันและรักครอบครัวของตนเอง (หน้า 81)
3.2เงื่อนไขปัจจัยภายนอก มีดังนี้
3.2.1การได้รับการสนับสนุนจากไต้หวัน ซึ่งชาวจีนฮ่อจำนวนมากเป็นอดีตทหารในกองทัพของเจียง ไค เช็ก เมื่อเจียง ไค เช็กสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่ไต้หวันได้สำเร็จ ไต้หวันก็เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาหมู่บ้านชาวจีนฮ่อ สนับสนุนให้เดินทางไปทำงานยังประเทศไต้หวัน และให้การสนับสนุนองค์การการกุศลที่ใช้วัฒนธรรมจีนเผยแพร่ เช่น สำนักเจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนฮ่อกับไต้หวัน จึงเป็นเงื่อนไขปัจจัยภายนอกที่สำคัญในการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์และความเป็นชาติพันธุ์ โดยส่งเสริมให้มีการเดินทางไปทำงานที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นการรักษาวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ให้ดำรงไว้เช่นเดิม
ความนิยมชมชอบให้ไต้หวันนั้นได้มีการแสดงออกผ่านรูปภาพที่ประดับไว้ในบ้าน เช่น รูปของซุนยัตเซ็นและรูปของเจียง ไค เช็ค เป็นต้น การเรียนภาษาจีนก็มีการใช้เนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไต้หวัน อีกทั้งโทรทัศน์ก็นำเสนอรายการของไต้หวันที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์อำนาจ และละครจีนส่วนมากก็นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของตนเอง จึงได้สร้างความรู้สึกว่า ชาติของตนเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันนี้เป็นเงื่อนไขที่ส่งเสริมความเป็นจีน (หน้า 82-83)
3.2.2 นโยบายของรัฐไทยที่ยอมรับวัฒนธรรมย่อย ซึ่งรัฐบาลไทยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการในวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทยหากวัฒนธรรมนั้นไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง แต่ก็มีนโยบายการ พัฒนาของรัฐที่จะกลืนกลายชาวจีนฮ่อให้กลายเป็นคนไทย เช่น การเรียนภาษาไทยและโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยว กับการพัฒนาเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ เป็นต้น และยังมีความพยายามให้การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการพึ่ง ตนเองของชาวจีนฮ่อให้เป็นการพึ่งพารัฐ เช่น การสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ชาวจีนฮ่อก็ ยังมีอิสระในการดำเนินพิธีกรรมและประเพณีอันเป็นที่มาของการสร้างอุดมการณ์อำนาจต่อไปได้ (หน้า 83-84) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวจีนฮ่อที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาในการทำงานวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่ (หน้า 19)
1.ระยะเวลาในการค้นหาคำตอบคร่าว ๆ (กุมภาพันธ์ 2540 มีนาคม 2541)
2.ระยะเวลาการวิเคราะห์และตรวจสอบข้อมูล (เมษายน 2541 เมษายน 2542)
3.ระยะการแก้ไขงานให้เป็นที่ยุติ (เมษายน 2542 พฤษภาคม 2543) |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้เสนอประวัติของชาวจีนฮ่อ โดยแบ่งช่วงระยะเวลาออกเป็นสามช่วงได้แก่
1.ยุคก่อนปีพ.ศ. 2504 ซึ่งในประเทศจีนได้มีชาวจีนที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกและมีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนใหม่ จึงนำมาซึ่งการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิงโดยซุน ยัต เซ็นและจัดการปกครองใหม่เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย แต่ระบอบการปกครองของซุน ยัต เซ็นก็มีจุดอ่อน เปิดช่องทางให้เหล่านายพลประจำมณฑลต่าง ๆ มีอำนาจมากขึ้นและสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน จนทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยเหมา เจ๋อ ตุง แม้ว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เจียง ไค เช็คและเหมา เจ๋อ ตุงจะร่วมมือกันในการขับไล่กองทัพญี่ปุ่น แต่ในภายหลังทั้งคู่ก็ได้ต่อสู้กัน กองทัพของเจียง ไค เช็คได้พ่ายแพ้และแตกกระจายออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มของเจียง ไค เช็คได้หลบหนีไปยังไต้หวัน อีกส่วนหนึ่งได้หลบหนีเข้าไปยังพม่าและให้ความช่วยเหลือขบวนการกู้ชาติไทยใหญ่ แต่ก็ถูกรัฐบาลพม่าปราบปรามและเมื่อรัฐบาลพม่านำเรื่องเข้าที่ประชุมสหประชาชาติ กลุ่มชาวจีนเหล่านั้นก็ต้องถูกส่งตัวไปไต้หวัน แต่กระนั้น ก็มีบางส่วนที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย รัฐบาลไทยก็ให้แหล่งพักพิงตามแนวชายแดนไทยในปีพ.ศ. 2504 ตามคำแนะนำของสหรัฐฯในการหยุดการแพร่กระจายลัทธิคอมมิวนิสต์ (หน้า 32-33)
2.ยุคระหว่างปีพ.ศ. 2504-2526 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนฮ่อในประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลไทยก็ได้ประโยชน์จากการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนฮ่อจากการเป็นแนวกันชนกับประเทศพม่าและการหยุดยั้งการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ภายหลังที่รัฐบาลไทยเจรจากับไต้หวันในเรื่องการส่งชาวจีนฮ่อกลับประเทศในปีพ.ศ. 2513 แต่ไต้หวันก็ไม่ยอมรับชาวจีนฮ่อ รัฐบาลไทยจึงดำเนินการปลดอาวุธชาวจีนฮ่อในประเทศและจัดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ในเขตอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก็ประสบผลสำเร็จ หมู่บ้านสันติคีรีที่แต่เดิมเป็นที่ตั้งถิ่นฐานชั่วคราว ก็ได้กลายเป็นหมู่บ้านถาวรและมีการเปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนจากการสนับสนุนของรัฐบาลไต้หวัน แต่รัฐบาลมองว่าเป็นสิ่งขัดความมั่นคงของชาติ จึงดำเนินการปิดโรงเรียนและมีการส่งทหารเข้ามาควบคุมชุมชนอย่างหนาแน่น
ต่อมาในปีพ.ศ. 2521 รัฐบาลไทยได้เสนอที่จะให้ชาวจีนฮ่อมีสัญชาติไทย โดยแลกกับเงื่อนไขการเป็นผู้ช่วยเหลือในการปราบปรามคอมมิวนิสต์และเป็นผู้มีอาชีพหลักแหล่งเป็นเวลาเก้าปี ซึ่งผู้นำของหมู่บ้านก็ได้ยอมรับ แต่ก็เสียชีวิตลงก่อนที่จะได้ดำเนินการตามที่ตกลง แต่ก็เกิดการยึดอำนาจโดยนายหทารในกลุ่มผู้นำ แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่นายทหารและกลุ่มผู้ก่อการก็ได้หนีออกมาจากหมู่บ้านและให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ (หน้า 33-35)
3.ยุคปีพ.ศ. 2526-ปัจจุบัน ซึ่งเป็นช่วงการผสมกลมกลืนความเป็นคนไทย ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่การปิดโรงเรียนสอนภาษาจีน รัฐบาลไทยได้ให้การศึกษาที่เป็นภาษาไทย พยายามสร้างความกลมกลืนในทางศาสนา สร้างเส้นทางคมนาคม สร้างอาชีพ และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เช่น การตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยตั้งแต่ระดับชั้นประถมถึงมัธยม, การตั้งวัดสันติคีรีให้ชาวจีนฮ่อยอมรับศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และการเปิดให้หมู่บ้านเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น แต่จากที่ผู้เขียนได้ไปศึกษา แม้จะมีการดำเนินนโยบายของรัฐบาลไทยในการกลืนกลายชาวจีนฮ่อให้กลายเป็นคนไทย แต่หมู่บ้านก็ยังรักษาความเป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้อย่างเหนียวแน่น (หน้า 35-36) |
|
Settlement Pattern |
หมู่บ้านสันติคีรีมีการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่มีภูเขาโอบล้อมและมีแม่น้ำไหลผ่านบริเวณข้างหมู่บ้านตามความเชื่อในเรื่องเฟิงสุ่ย (หน้า 33) ประชาชนในหมู่บ้านจะตั้งบ้านเรือนริมสองข้างทางถนน เพื่อให้ง่ายต่อการเดินทางและการค้าขาย แต่บางครั้งอาจจะมีการอพยพในสองลักษณะ คือ การอพยพชั่วคราวไปทำงานต่างถิ่นและการอพยพถาวรเพื่อหาพื้นที่ทำการเกษตรแห่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 31) |
|
Demography |
ประชากรของหมู่บ้านสันติคีรีมีจำนวน 935 คน แบ่งเป็นชาย 459 คนและหญิง 479 คน มีจำนวนครัวเรือน 268 ครัวเรือน (หน้า 31) |
|
Economy |
ชาวจีนฮ่อประมาณครึ่งหนึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีชาวจีนฮ่อจำนวนประมาณสามสิบเปอร์เซ็นทำอาชีพค้าขาย และอีกจำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นจะทำงานรับจ้างทั่วไปและรับจ้างทำงานในต่างประเทศ (หน้า 31) |
|
Social Organization |
ครอบครัวและเครือญาติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลิตซ้ำอุดมการณ์อำนาจ โดยผ่านการรวมกลุ่มกันในการดำเนินพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวจีน โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการชักจูงลูกหลานให้เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติต่าง ๆ และเป็นผู้นำในการดำเนินพิธีกรรม อีกทั้งเป็นผู้ถ่ายทอดความเชื่อและพิธีกรรมเหล่านั้นด้วย (หน้า 65)
ผู้เข้าร่วมในการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ ซึ่งเรียงลำดับความสำคัญดังนี้ ผู้อาวุโส, พ่อ, แม่, ญาติพี่น้องที่อยู่ในครอบครัว และเด็ก ในการดำเนินพิธีกรรมจะมีการกำหนดตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับความอาวุโสและมุ่งเน้นให้สมาชิกใหม่หรือเด็กได้เรียนรู้อุดมการณ์อำนาจในพิธีกรรมที่ได้สืบทอดกันมา โดยเฉพาะพิธีกรรมที่สร้างความสนุกสนานให้เด็ก ๆ เพื่อให้เด็กเหล่านั้นได้รู้ถึงตำแหน่งของตนเอง นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ของผู้เข้าร่วมพิธีกรรมจะมีความสนิทสนมทางสายเลือดจากตระกูลเดียวกัน และการแต่งงานระหว่างชาวจีนฮ่อด้วยกันในชุมชนก็จะช่วยสร้างความผูกพันนี้ให้แนบแน่น มีความจงรักภักดีต่อครอบครัวและเครือญาติ (หน้า 65-66) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยให้อิสระแก่ชาวจีนฮ่อในการดำรงอัตลักษณ์ของตนต่อไปและสามารถดำเนินพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ ได้หากพิธีกรรมและประเพณีเหล่านั้นไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็พยายามจะกลืนกลายชาวจีนฮ่อให้กลายเป็นคนไทย เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพด้วยเช่นกัน (หน้า 84) |
|
Belief System |
ระบบความเชื่อต่าง ๆ ของชาวจีนฮ่อจะถูกเชื่อมโยงกับอุดมการณ์ในเรื่องอำนาจดังนี้
1.ความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ จำแนกได้ดังนี้
1.1 ความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงออกในการบูชาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดพื้นที่พิเศษในบ้านเป็นที่บูชา ประกอบพิธีกรรมบูชาในโอกาสต่าง ๆ เช่น ในรอบปี (หน้า 37) เพราะชาวจีนฮ่อเชื่อว่าบรรพบุรุษจะคุ้มครองและให้ความเจริญกับลูกหลานที่เซ่นไหว้ เท่ากับว่า ผีบรรพบุรุษมีอำนาจควบคุมสมาชิกของตระกูล
1.2 ความเชื่อเรื่องเจ้าที่หรือเทพเจ้าจีนที่อยู่ในศาลเจ้าเล็ก ๆ ซึ่งชาวจีนฮ่อเชื่อว่า เจ้าที่หรือเทพเจ้าจีนในศาลเจ้ามีอิทธิพลต่อครอบครัว ต้องประกอบพิธีกรรมและเซ่นไหว้ เพื่อแสดงความเคารพต่อวิญญาณเหล่านั้น (หน้า 41) เพราะเจ้าที่คือผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรต่าง ๆ และเป็นผู้ทรงอำนาจที่ควบคุมทรัพยากรของครอบครัว (หน้า 43-44)
1.3 ความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย คือ ความเชื่อในเรื่องนรกและผีร้าย ซึ่งชาวจีนฮ่อจะเชื่อว่า ผู้ที่ประพฤติตนฝ่าฝืนศีลธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมา จะได้รับการลงโทษในโลกหลังความตาย ซึ่งได้นำไปผูกกับอุดมการณ์อำนาจ โดยนำสิ่งเหนือธรรมชาติมาควบคุมให้ชาวจีนฮ่ออยู่ในกฎเกณฑ์ในการสืบทอดวัฒนธรรมและความเป็นจีน (หน้า 46)
1.4 ความเชื่อที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานิกายมหายาน ซึ่งผู้เขียนได้สังเกตเห็นบ้านเกือบทุกบ้านจะติดรูปเจ้าแม่กวนอิมและมีการถวายข้าวพร้อมน้ำชาเป็นประจำทุกวัน โดยเชื่อว่า เจ้าแม่กวนอิมจะบันดาลความสุขมาให้ นอกจากการบูชาเซ่นไหว้ภายในบ้านแล้ว ยังมีสำนักธรรมต่าง ๆ จัดพิธีกรรมเซ่นไหว้เจ้าแม่กวนอิมภายในหมู่บ้าน และมีการสอนภาษาจีนให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้าน โดยมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเจ้าแม่กวนอิม ความกตัญญูกตเวที กรรมเวร และความจงรักภักดีด้วย ความเชื่อนี้ได้กลายเป็นอุดมการณ์อำนาจด้วยการควบคุมชาวจีนฮ่อให้มีความเชื่อเดียวกันอันเป็นการแสดงถึงการเป็นพวกเดียวกัน (หน้า 46-48)
2.ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติเรื่องเฟิงสุ่ยหรือหวงจุ้ย ซึ่งเป็นการใช้พื้นที่ให้กลมกลืนกับธรรมชาติ เพื่อสร้างความเป็นมงคลต่อตนเองและบรรพบุรุษ เช่น การสร้างบ้านเรือนติดกับภูเขา, การสร้างบ้านในบริเวณของมังกร, การมีห้องโถงกลางบ้าน ตลอดจนการฝังศพในที่ที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการจัดการให้มนุษย์ได้กลมกลืนกับธรรมชาติ (หน้า 50-51)
3.คุณค่าทางสังคม ซึ่งชาวจีนฮ่อให้คุณค่ากับความกตัญญูและความมั่งคั่ง ซึ่งมีตัวอักษรจีนเป็นสัญลักษณ์เขียนที่ประตูบ้านและแท่นบูชา และตอบแทนบิดามารดาด้วยการให้เงิน รวมทั้งยกย่องผู้ที่สามารถหารายได้เก่ง (หน้า 51-52) |
|
Education and Socialization |
ชาวจีนฮ่อที่เป็นเด็ก เยาวชน และผู้อาวุโสชายจะมีความสามารถในการเขียนและอ่านภาษาจีนได้ ส่วนภาษาไทย เด็กจะสามารถอ่านและเขียนได้มากที่สุด เยาวชนส่วนใหญ่จบการศึกษาขั้นประถมชั้นปีที่ 6 สามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ดี (หน้า 31)
การผลิตซ้ำอุดมการณ์อำนาจของชาวจีนฮ่อมีวิธีการผ่านกลไกทางวัฒนธรรมดังนี้
1. พิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่จะให้ลูกกระทำพิธีกรรมนี้สองครั้งต่อวันและให้กระทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการสืบทอดอุดมการณ์อำนาจผ่านครอบครัว (หน้า 58-59)
2. การสืบทอดพิธีกรรมตรุษจีน ซึ่งเป็นพิธีกรรมปีใหม่ มีการนำแท่นบูชาบรรพบุรุษมาประกอบพิธีกรรม และมีอาหารมากมายเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พิธีกรรมนี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อเรื่องบรรพบุรุษให้ฝังแน่นมากขึ้น (หน้า 60) เพราะในงานเทศกาลตรุษจีน ครอบครัวและเครือญาติมาพบปะกัน และเด็ก ๆ ก็ได้รับแจกเงินเป็นแรงจูงใจให้เกิดการสืบทอดประเพณีนี้ต่อไป (หน้า 62)
3. การสืบทอดพิธีกรรมไหว้เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งจะมีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกปีในวันที่ 9 เดือน 9 โดยมีการกินอาหารเจ ละเว้นอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ พิธีกรรมนี้สามารถดำเนินได้ทั้งในบ้านโดยเอาอาหารเจเซ่นไหว้หน้ารูปเจ้าแม่กวนอิม นอกจากที่บ้านแล้ว พิธีกรรมนี้สามารถดำเนินได้ที่สำนักธรรม ซึ่งการไปเซ่นไหว้ที่สำนักธรรมจะมีพิธีกรรมเป็นเวลานานและมีการให้ธรรมะ รวมทั้งความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าที่ด้วย (หน้า 62-63)
4. การสืบทอดพิธีกรรมสารทจีน ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และสืบทอดความเชื่อของชาวจีนฮ่อที่ว่า ผู้ที่ไม่สืบทอดการบูชาบรรพบุรุษจะต้องได้รับการลงโทษ ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน และเมื่อตายไป ก็ต้องเป็นผีไม่มีญาติและพบกับความหิวโหยเสมอ ส่วนผู้ที่สืบทอดดำเนินพิธีกรรม ก็จะได้รับความสุขความเจริญ และสายสัมพันธ์ของบรรพบุรุษก็ผูกโยงเข้ากับเชื้อสายแซ่ตระกูลเดียวกัน ลูกหลานจึงมีหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้วางรากฐานไว้ เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้ใหญ่ เมื่อเข้าวัยผู้ใหญ่ ก็จะปฏิบัติความสัมพันธ์นั้นได้อย่างถูกต้อง (หน้า 64-65)
แต่กระนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงในการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์อำนาจ ซึ่งเกิดจากการเรียนการสอนของโรงเรียนของรัฐที่เน้นการใช้เหตุผลและวิทยาศาสตร์ซึ่งได้สั่นคลอนความเชื่อในเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ และระบบทุนนิยมที่เน้นความสำคัญของเงินและการบริโภค ก็ได้ทำให้ความเชื่อเรื่องเจ้าที่คุ้มครองธรรมชาติค่อย ๆ เลือนหายไป (หน้า 66) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในหมู่บ้านสันติคีรี มีประชากรชาติพันธุ์ต่าง ๆ มากมายประกอบด้วยชาวจีน, ไทยใหญ่, อาข่า, และลีซู โดยมีชาวอาข่าจำนวนมากที่สุด เนื่องจากชาวจีนฮ่อนิยมจ้างชาวอาข่ามาเฝ้าไร่การเกษตร และชาวอาข่าเองก็ได้อพยพเข้ามาทั้งครอบครัวและขาดการคุมกำเนิด (หน้า 31)
ชาวจีนฮ่อแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ของตนผ่านการกระทำต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันและค่านิยมต่าง ๆ เช่น ความนิยมใช้สินค้าจากจีน, ความนิยมทานอาหารแบบจีน, การเรียนภาษาจีน และการรวมกลุ่มดำเนินพิธีกรรมทางศาสนา เป็นต้น (หน้า 53)
ในเรื่องการรักในการเรียนภาษาจีน ชาวจีนฮ่อจะนิยมเรียนภาษาจีนและใช้ภาษาจีนเป็นภาษากลางในการติดต่อ รวมทั้งมีการรับสัญญาณโทรทัศน์ภาษาจีนจากไต้หวันด้วย ซึ่งภาษาจีนเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน และมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการดำรงอัตลักษณ์ของความเป็นจีน (หน้า 53-55)
การอบรมสั่งสอนการเรียนภาษาจีน เป็นสิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังเพื่อให้ลูกหลานได้เดินทางไปเรียนต่อที่ไต้หวัน ซึ่งการได้ไปทำงานที่ไต้หวันเป็นค่านิยมที่ชาวจีนฮ่อปลูกฝังกันมา และยังมีความสัมพันธ์กับความกตัญญูและความร่ำรวยด้วย การอบรมสั่งสอนให้รักการเรียนภาษาจีนนี้แสดงถึงการให้คุณค่ากับการเป็นพวกเดียวกันหรือชาติพันธุ์เดียวกันและเป็นการผลิตซ้ำอุดมการณ์ชาติพันธุ์หรือความเป็นจีน (หน้า 75-76)
นอกจากนี้ ชาวจีนฮ่อยังมีความนิยมไต้หวันด้วยซึ่งมีการแสดงออกดังนี้ (หน้า 55-56)
ความนิยมในการเรียนการสอนตามหลักสูตรของไต้หวันซึ่งจะสอนเรื่องราวประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐจีนและการสืบทอดวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม
ความนิยมในการไปทำงานที่ไต้หวันอันเป็นเป้าหมายที่สำคัญของชาวจีนฮ่อ และได้รับการสนับสนุนจากไต้หวันด้วย
ความนิยมในบุคคลสำคัญของไต้หวัน ซึ่งในบ้านของชาวจีนฮ่อจะมีรูปบุคคลสำคัญของไต้หวันประดับอยู่แทบทุกบ้าน
ความนิยมในการรับสื่อสารมวลชนของไต้หวัน ซึ่งชาวจีนฮ่อจะนิยมรายการโทรทัศน์, ข่าวสาร และหนังสือพิมพ์ของไต้หวัน
อีกทั้งพิธีกรรมไหว้พระจันทร์ ซึ่งเป็นพิธีกรรมเกี่ยวข้องกับเรื่องราวการกู้ชาติของชาวจีนจากชาวมองโกลที่เข้ามากดขี่ข่มเหง ได้สืบทอดความเป็นคนจีนในเชิงสัญลักษณ์และสนับสนุนเรื่องชาตินิยมผ่านเรื่องราวในพิธีกรรมนี้
นอกจากนี้ พิธีกรรมยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน และผู้อาวุโสก็ถ่ายทอดเรื่องราวของพิธีกรรมไหว้พระจันทร์ไปยังลูกหลาน จึงทำให้เกิดการสืบทอดอุดมการณ์การรวมกลุ่มความเป็นชาติพันธุ์ไปยังเด็ก ๆ (หน้า 73-75)
ชาวจีนฮ่อได้สร้างและรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเหนียวแน่น เช่น การใช้ภาษาจีน การเรียนภาษาจีน และการพึ่งพาตนเอง เป็นต้น อีกทั้งยังยกทัศนคติของชาวจีนฮ่อในเรื่องวัฒนธรรมของตนเองอยู่สูงกว่าวัฒนธรรมไทย และยังมีความคิดในเรื่องอำนาจของชาวจีนฮ่อเสมอภาคกับอำนาจของรัฐบาลไทย เนื่องจากชาวจีนฮ่ออพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทยในช่วงรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่มีการอ้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยและได้ร่วมปราบปรามกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่เขาค้อ รวมทั้งอนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกที่ไปรบที่เขาค้อและเขาย่าในหมู่บ้านของชาวจีนฮ่อก็ได้แสดงถึงความพยายามในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตำแหน่งที่สำคัญของสังคมไทย (หน้า 90)
ขณะที่รัฐบาลไทยเองก็พยายามสร้างความหมายให้ ชาวจีนฮ่อ เป็นชนกลุ่มน้อยชายขอบ โดยใช้คำว่า ชาวเขา ซึ่งแสดงถึงการจัดให้ชาวจีนฮ่อเป็นชนกลุ่มน้อยชายขอบของสังคมไทย มีการใช้คำเฉพาะในการเรียกชาวจีนฮ่อในลักษณะเหยียดหยามว่า จีนฮ่อ ทั้งที่พวกเขามิได้เรียกตนเองเช่นนั้นและให้ความหมายของ จีนฮ่อ ว่า เป็นคนป่าเถื่อนและมิใช่คนฮั่น และยังได้พยายามสร้างภาพชนกลุ่มน้อยในลักษณะที่เหมารวมว่า เป็นผู้ค้ายาเสพติดซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคง และสร้างความหมายของการทำการเกษตรของชนกลุ่มน้อยว่า เป็นผู้ทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นก็ปฏิเสธและให้ความหมายว่า การเกษตรของพวกเขาเป็นไร่หมุนเวียน โดยย้ายไปทำที่อื่นเพื่อรอให้ดินฟื้นตัวแล้วจึงกลับมาทำที่เดิม สิ่งเหล่านี้ได้บ่งบอกถึงอำนาจรัฐที่พยายามกีดกันมิให้ชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ มีส่วนร่วมในชาติและรัฐ ซึ่งมิใช่เพียงเฉพาะชาวจีนฮ่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์อื่นด้วย (หน้า 89-91)
นอกจากนี้ โรงเรียนของรัฐได้ดำเนินการผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของรัฐ ที่ตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจเพียงเรื่องเดียวและปลูกฝังอุดมการณ์การยอมรับอำนาจที่ชนชั้นอื่นกำหนดให้ (หน้า 91-92) และกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโรงเรียนก็เข้าไปทำลายความเป็นท้องถิ่น ทำให้ท้องถิ่นเกิดความอ่อนแอและต้องพึ่งพารัฐมากขึ้น ทั้งที่รัฐบาลกลางก็ไม่สามารถให้การดูแลได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งโรงเรียนก็ใช้กระบวนการสร้างความกลัวทั้งในระดับครอบครัวและระดับสังคม เพื่อเป็นการจัดระเบียบให้เด็กเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม (หน้า 91-93)
สิ่งสำคัญที่ใช้ในการครอบงำความคิด เช่น การกำหนดเวลาในการเปิดและปิดของสถานที่ราชการและโรงเรียนตามเวลาของทุนนิยม เป็นต้น และความสัมพันธ์ในการส่งทอดอำนาจลงมาทีละขั้น ซึ่งเป็นลักษณะความสัมพันธ์แบบบนลงสู่ล่าง ให้ความสำคัญเพียงการดำเนินงานตามความคิดของผู้บังคับบัญชา ซึ่งโรงเรียนก็ได้ถ่ายทอดอุดมคติทางการศึกษาแนวสารัตถนิยมตามความสัมพันธ์เช่นนี้ กล่าวคือ ครูจะเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในห้องเรียนและต้องถ่ายทอดความเป็นสารัตถะให้แก่เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนนักเรียนมีหน้าที่เพียงผู้รับการถ่ายทอดความคิดความรู้ของคนรุ่นก่อน ไม่ต้องคิดหรือแสวงหาความจริงด้วยตนเอง นอกจากนี้ การทำให้นักเรียนรู้สึกกลัวด้วยการลงโทษอย่างรุนแรง เพื่อให้สามารถจัดระเบียบได้ง่ายก็เป็นหนึ่งในกระบวนการครอบครองความคิดทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเช่นกัน (หน้า 93-94) ซึ่งกระบวนการลงโทษนี้มิได้ถูกใช้กับเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ดีเท่านั้น ยังรวมถึงเด็กนักเรียนที่มิได้มีความคิดตามที่ครูสั่งสอนด้วย ประกอบกับอัตราส่วนระหว่างจำนวนนักเรียน 40 คนต่อครูหนึ่งคนนั้น ก็ได้ทำให้ครูจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมที่ให้นักเรียนเงียบและเชื่อฟังทุกสิ่งที่ครูสอน จึงจะสามารถทำให้เด็กนักเรียนทุกคนมีความเหมือนกันได้ (หน้า 95)
นอกจากนักเรียนแล้ว ครูเองก็อยู่ภายใต้การดำเนินงานตามคำสั่งของราชการส่วนกลางด้วยเช่นกัน จึงต้องอยู่ในกรอบให้ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติให้มีการคิดเองทำเอง ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะความเคยชินจากการรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว (หน้า 95)
การศึกษาของภาครัฐจึงเป็นการครอบงำด้วยวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น วัฒนธรรมทุนนิยม, วัฒนธรรมบริโภคนิยม, วัฒนธรรมแบบยอมจำนน, วัฒนธรรมแบบอำนาจนิยม, วัฒนธรรมแห่งความเงียบและความเฉื่อยชา รวมถึงวัฒนธรรมการรอรับคำสั่งเพียงอย่างเดียว (หน้า 95)
ผู้เขียนจึงได้เสนอว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการครอบครองความคิด คือ การจูงใจและความสนุกสนาน ซึ่งจะสามารถปลูกฝังอยู่ในความคิดได้นานและสามารถเชื่อมเข้ากับจุดประสงค์ที่ต้องการได้ดีกว่า รวมถึงเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ การมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ในสังคมยังไม่ได้รับการยอมรับ และมีการปราบปรามผู้ที่มีความคิดแตกต่างตั้งแต่ในวัยเด็ก (หน้า 95-96)
พื้นที่ทางวัฒนธรรมการต่อสู้และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งชาวจีนฮ่อมีแนวคิดเรื่องพื้นที่อยู่สองระดับคือ แนวคิดพื้นที่ตามความเชื่อและแนวคิดพื้นที่ทางสังคม ซึ่งแนวคิดพื้นที่ตามความเชื่อของชาวจีนฮ่อจะเชื่อว่า พื้นที่ทุกแห่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติครอบครองอยู่ที่เรียกว่า เจ้าที่ การจะเข้าไปใช้ประโยชน์จะต้องทำพิธีกรรมขออนุญาตเสียก่อน (หน้า 96) ส่วนพื้นที่ทางสังคม คือ องค์รวมทั้งหมดของวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะภายในบ้าน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่บรรพบุรุษที่มีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ สำคัญรองลงมา ทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคมภายใต้การบูชาบรรพบุรุษที่ผูกพันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นพื้นที่ทางชาติพันธุ์ภายใต้พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ชาวจีนฮ่อสร้างขึ้นและผลิตซ้ำ (หน้า 97)
ส่วนพื้นที่ของรัฐในหมู่บ้านก็เป็นพื้นที่พิเศษที่มีอำนาจจากระเบียบคำสั่งจากราชการส่วนกลาง มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม มีระเบียบข้อห้ามต่าง ๆ มากมาย และไม่ยอมรับการใช้วัฒนธรรมท้องถิ่นในพื้นที่นี้ เพราะมีเป้าหมายให้ผู้คนในพื้นที่นี้เหมือนกันในทุกพื้นที่คือ เป็นคนไทยและมีวัฒนธรรมแบบไทย (หน้า 97)
พื้นที่ทั้งสองจึงมีความขัดแย้งกันเป็นพิเศษจากความแตกต่างในระเบียบปฏิบัติตนดังกล่าว หากดูทางด้านมิติเวลาแล้ว เด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทั้งสองแห่งจำเป็นต้องยอมตามอำนาจในพื้นที่นั้นตามเวลาที่เขาเชื่อว่าจะได้ประโยชน์ อีกทั้งอำนาจในการครอบครองความคิดจะต้องมีความละมุนละม่อมและมีการจูงใจที่ดี รวมทั้งใช้ระยะเวลาในพื้นที่ทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาหนึ่ง (หน้า 97-98) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่อธิบายที่ตั้งของอำเภอแม่ฟ้าหลวงและแผนที่แสดงการตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้านชาวจีนฮ่อที่ทำการศึกษา (หน้า 29-30) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่อธิบายที่ตั้งของอำเภอแม่ฟ้าหลวงและแผนที่แสดงการตั้งบ้านเรือนในหมู่บ้านชาวจีนฮ่อที่ทำการศึกษา (หน้า 29-30) |
|
|