สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทใหญ่,กะเหรี่ยง,คะฉิ่น,มอญ,ชนกลุ่มน้อย,รัฐบาลพม่า,การเมือง
Author พรพิมล ตรีโชติ
Title ชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่า
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 237 Year 2542
Source สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ
Abstract

ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังมาเป็นเวลานาน ปัญหาความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากปัจจัย 3 ปัจจัยหลักคือ ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ที่มีเทือกเขาสูงแบ่งแยกชนกลุ่มน้อยออกจากพม่า ปัจจัยทางประวัติศาสตร์ ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและถิ่นกำเนิดที่หลากหลาย รวมไปถึงปัจจัยการเมืองการปกครองหลังยุคอาณานิคมที่รัฐบาลพม่ามีความพยายามรวบรวมรัฐต่างๆเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และบานปลายจนเกิดสงคราม ถึงแม้การลดความช่วยเหลือของจีนต่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดนจีน-พม่า ตลอดจนความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจของพม่าจะนำไปสู่การผ่อนคลายการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อย เกิดข้อสรุปในการใช้นโยบายหยุดยิง อย่างไรก็ตามความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังคงไม่หมดไปอย่างสิ้นเชิง เพราะนโยบายดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น

Focus

ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ไทยใหญ่ บริเวณที่ราบสูงฉาน กะเหรี่ยง มอญ คะฉิ่น คะยาห์ หรือกะเหรี่ยงแดง บริเวณรัฐคะยาห์ติดชายแดนไทยบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน

Language and Linguistic Affiliations

ปีค.ศ. 1899 หมอสอนศาสนาได้คิดภาษาเขียนของชาวคะฉิ่นขึ้น (หน้า 137)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

ไทยใหญ่ อาศัยอยู่บริเวณที่ราบสูงฉาน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ชาวไทยใหญ่อพยพมาจากจีนตอนล่าง แบ่งแยกดินแดนออกเป็น 33 แคว้น มีเจ้าฟ้าที่สืบสันติวงศ์ปกครองแต่ละแคว้น ในอดีตหากพม่ามีความเข้มแข็งก็จะผนวกรัฐฉานเข้ามาอยู่ในอำนาจ แต่ให้อิสระในการปกครอง และมีการแย่งชิงอำนาจระหว่างเจ้าฟ้าด้วยกันในช่วงเวลาที่พม่าอ่อนแอ (หน้า 57-58) ในช่วงภายใต้การปกครองของอังกฤษรัฐฉานได้รับอิสรภาพในการปกครองตนเองภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนกระทั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังต่างๆใช้รัฐฉานเป็นสมรภูมิสู้รบทำให้สิ่งก่อสร้างต่างๆ ถูกทำลาย และได้ละทิ้งถิ่นฐานหนีเข้าป่า เกิดสภาพแร้นแค้นทั่วรัฐฉาน (หน้า 59-60) หลังพม่าเป็นอิสระจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เจ้าฟ้ารัฐฉานยอมรวมอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลพม่าภายใต้ข้อตกลงปางโหลงที่ให้รัฐฉานสามารถเป็นอิสระหลังจากอยู่ภายใต้สหภาพพม่าครบ 10 ปี เมื่อครบกำหนดรัฐฉานได้เรียกร้องสิทธินี้จากรัฐบาลพม่า แต่ในปีค.ศ. 1959 ได้ยกเลิกฐานันดรเจ้าฟ้าผู้ครองแคว้น (หน้า 62-63) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐฉานได้เป็นฐานของรัฐบาลพม่าในการขับไล่กองกำลังก๊กมินตั๋ง และต่อสู้กับกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า ในขณะนั้นเองรัฐบาลพม่าได้ค้นอาวุธและจับกุมผู้นำไทยใหญ่ ทำให้ชาวไทยใหญ่รวมตัวเข้ากับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆในการต่อต้านรัฐบาลพม่าตั้งแต่นั้นมา (หน้า 65-66) กะเหรี่ยง มีความเชื่อว่าบรรพบุรุษของตนสืบเชื้อสายมาจากเผ่ามองโกล ซึ่งได้อพยพมาจากริมแม่น้ำแยงซีเกียงลงมาอาณาจักรพม่าในศตวรรษที่ 7 มีการปกครองระดับหมู่บ้านตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยอาณานิคม และมีวิวัฒนาการดีขึ้นในสมัยสงครามระหว่างอังกฤษกับพม่า ทั้งนี้เพราะชาวอังกฤษอาศัยชาวกะเหรี่ยงเป็นทหารสู้รบกับพม่าทำให้พม่าและกะเหรี่ยงเป็นปรปักษ์ต่อกัน หมอสอนศาสนาทำให้กะเหรี่ยงบริเวณที่ราบมีการศึกษาที่ดีขึ้น ขณะที่กะเหรี่ยงบริเวณเทือกเขายังคงยึดถือขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ซึ่งการเข้ามาของอังกฤษและหมอสอนศาสนาช่วยยกระดับความเจริญของกะเหรี่ยงจนทัดเทียมพม่าได้ ทั้งในด้านเศรษฐกิจดีขึ้นจากการปลูกข้าว และการศึกษาที่ดีขึ้นถึงระดับมหาวิทยาลัยจนเกิดแนวคิดรัฐอิสระและเกิดกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงต่อต้านรัฐบาลพม่า(หน้า 90-93) มอญ สันนิษฐานกันว่ามอญเป็นชาวมองโกล อพยพมาจากจีน ตั้งภูมิลำเนาบริเวณชายทะเลใกล้แม่น้ำสาละวิน และขยายอาณาเขตขึ้นไปทางเหนือจนถึงแม่น้ำสะโตงและแม่น้ำอิระวดี ต่อมารวมเป็นประเทศรามัญโดยมีเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองชื่อ "สะเทิม" ซึ่งมีการติดต่อค้าขายกับอินเดียและลังกา จึงได้รับอารยธรรมทั้งด้านอักษรศาสตร์ ศิลปกรรมและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ภายหลังถูกรุกรานจากพม่าซึ่งอพยพมาจากทางเหนือและตั้งเมืองพุกามขึ้น และเสียอาณาจักรให้กับกษัตริย์พม่าในปี ค.ศ.1057 วังและป้อมปราการถูกทำลาย และมอญถูกแบ่งออกเป็นหลายหัวเมือง หลังจากนั้นได้พยายามตั้งอาณาจักรมอญขึ้นมาอีกครั้งจนสำเร็จในปีค.ศ. 1287 โดยพระเจ้าฟ้ารั่ว มีเมืองเมาะตะมะเป็นเมืองหลวง ภายหลังได้ย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองหงสาวดี ในปีค.ศ. 1369 และปีค.ศ.1531 ได้เสียเมืองหงสาวดีให้กับพระเจ้าตเบ็งชเวตี้ ภายหลังอาณาจักรมอญเป็นอิสระจากพม่าอีกครั้ง มีสมิงทอพุทธเกติเป็นกษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดี และขยายอาณาจักรออกไป อาณาจักรมอญเสียอิสรภาพอีกครั้งให้กับพม่าในสมัยพระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบอง การเสียอาณาจักรครั้งนี้ทำให้คนมอญจำนวนมากได้อพยพเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ (หน้า113-115) คะฉิ่น ประกอบด้วยชนเผ่ากลุ่มย่อยๆ 4 กลุ่มคือ จินเป่า (Jinghpaw) อาซิ (Atsi) ลาชิ (Lashi) และมารู (Maru) อพยพเข้ามาในพม่าราวศตวรรษที่ 16 อาศัยอยู่ในบริเวณทิศเหนือติดชายแดนจีน (หน้า 134-135) คะยาห์ หรือกะเหรี่ยงแดง อาศัยอยู่บริเวณรัฐคะยาห์ ในอดีตมีการปกครองระบบเจ้าฟ้า แบ่งออกเป็น 5 แคว้น มีการทำสงครามกับแคว้นไทยใหญ่จากการสนับสนุนของพม่า และมีการทำสงครามแย่งชิงอำนาจภายในบางครั้ง ในยุคอาณานิคมของอังกฤษผู้นำรัฐคะยาห์ได้ทำข้อตกลงร่วมกับผู้แทนรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลพม่าเรื่องการใช้ดินแดนของรัฐคะยาห์เป็นเส้นทางการค้าสู่ประเทศจีนเพื่อแลกกับอิสรภาพในปีค.ศ. 1875 ต่อมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้รวมรัฐคะยาห์เข้ากับการปกครองของพม่า ภายหลังผู้นำรัฐคะยาห์ได้ร่วมมือกับอังกฤษขับไล่ทหารญี่ปุ่นได้สำเร็จและได้กลับเข้ามามีอำนาจบริหาร แต่หลังจากพม่าได้รับอิสรภาพ รัฐคะยาห์ถูกรวมเข้าในสหภาพพม่า ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างชาวคะยาห์และรัฐบาลพม่าตั้งแต่นั้นมา (หน้า 145, 147)

Settlement Pattern

ชาวพม่าอาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบริมแม่น้ำ เช่น แม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสโตว และแม่น้ำชินวิน เป็นต้น ขณะที่ชนกลุ่มอื่นเช่น ไทยใหญ่ (Shan) กะเหรี่ยง (Karen) คะฉิ่น (Kachin) ฉิ่น (Chin) ว้า (Wa) ยะไข่ (Arakanist) และชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น มูเซอ อีก้อ สีซอ ปะหล่อง จีนโกกัง จะอาศัยบริเวณที่ราบสูงหรือเทือกเขาบริเวณชายแดน โดยชาวไทยใหญ่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบสูงฉาน (Shan Plateau) และที่ราบบริเวณใกล้เคียง กลุ่มฉิ่นอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาด้านทิศตะวันตก และกลุ่มกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาสูงและบางส่วนอาศัยอยู่บริเวณที่ราบรวมกับชาวพม่า (หน้า 6,9)

Demography

อาข่า 100,000 คน พม่า 29,000,000 คน ฉิ่น 750,000-1,500,000 คน จีน 400,000 คน ดานุ 70,000-100,000 คน อินเดีย 800,000 คน คะฉิ่น 500,000-1,500,000 คน กะเหรี่ยง 2,650,000-7,000,000 คน คะเรนนี 100,000-200,000 คน คะยัน 60,000-100,000 คน โกกัง 70,000-100,000 คน มูเซอ 170,000-250,000 คน มอญ 1,100,000-4,000,000 คน นากา 70,000-100,000 คน ปะหล่อง 300,000-400,000 คน ปะโอ 580,000-700,000 คน ยะไข่ 1,750,000-2,500,000 คน โรฮิงยา 690,000-1,400,000 คน ไทยใหญ่ 2,220,000-4,000,000 คน ทวาย 500,000 คน ว้า 90,000-300,000 คน (หน้า 7)

Economy

ในช่วงอาณานิคม อังกฤษสนับสนุนการเกษตรโดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดี แม่น้ำสโตง และแม่น้ำชินวิน ริเริ่มกิจการส่งออกข้าว นอกจากนี้ยังส่งเสริมการทำป่าไม้ เหมืองแร่ และอัญมณี ในขณะที่บริเวณชายแดนยังคงเป็นการเกษตรแบบดั้งเดิม มีการทำไร่เลื่อนลอย และยังคงแลกเปลี่ยนผลผลิตระหว่างชุมชน (หน้า 18-19) หลังการปฏิวัติรัฐบาลพลเรือนในปีค.ศ. 1962 ได้มีการปรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเป็น "สังคมนิยมวิถีพม่า" โดยทำการยึดกิจการเอกชนเป็นของรัฐ (หน้า 34) แต่จากเศรษฐกิจที่ล้มเหลวและความตึงเครียดทางการเมือง รัฐบาลพม่าจึงยกเลิกเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และใช้ระบบเศรษฐกิจการเปิดตลาดและเปิดเสรีทางด้านการลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมออกกฎหมายการลงทุนระหว่างประเทศในค.ศ. 1988 (หน้า 171) และตั้งแต่ปีค.ศ. 1980 ซึ่งรัฐบาลจีนได้เปิดการค้าเสรีมากขึ้นตลอดจนรัฐบาลจีนได้ลงนามสัญญาการค้าชายแดนกับพม่าในปีค.ศ. 1988 ทำให้การค้าชายแดนพม่า-จีนคึกคัก สินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนซึ่งราคาถูกกว่าสินค้าจากไทยได้ตอบสนองความต้องการของพม่าเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติของพม่าก็เป็นที่ต้องการของจีน เช่นเดียวกัน (หน้า 181) การเปิดสัมพันธ์การค้าอย่างเป็นทางการนี้ส่งผลลดอิทธิพลของชน กลุ่มน้อยที่แสวงหาผลประโยชน์จากการตั้งด่านเก็บภาษี อีกทั้งคะฉิ่นซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบบเลื่อนลอยและหาของป่า มีการติดต่อค้าขาย หยก ไพลิน อำพัน และเหล็กโดยตรงกับชาวจีนถูกจำกัดไปด้วย (หน้า 135, 182)

Social Organization

คะฉิ่นมีโครงสร้างทางสังคมแบ่งเป็น ชนชั้นปกครองเรียกว่าเจ้าฟ้า และชาวบ้าน มีความเชื่อเรื่องกลุ่มเครือญาติ โดยมีบุตรชายคนสุดท้องเป็นผู้สืบทอดมรดกและสิทธิการปกครอง (หน้า 135)

Political Organization

ในช่วงอาณานิคม อังกฤษเข้ามาปกครองพม่าในปีค.ศ. 1886 และผนวกพม่าเข้าเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดีย ยกเลิกการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชพร้อมแต่งตั้งข้าหลวงใหญ่จากอินเดียมาปกครองพม่า และนำข้าราชการฝ่ายปกครองจากอินเดียมา บริหารรัฐพม่าแทนข้าราชการในราชสำนักเดิม ใช้นโยบายการปกครองแบ่งแยกและปกครองโดยแยกพม่าจากส่วนกลาง(Proper Burma) ออกจากชายแดน(Frontier Areas) โดยมีข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษควบคุมดูแลกลุ่มชนชายขอบที่ได้รับอิสระในการปกครอง ส่วนส่วนกลางหรือพม่าแท้ อังกฤษได้ปกครองในรูปแบบสภานิติบัญญัติ ภายใต้การบริหารของข้าหลวงใหญ่ ปีค.ศ. 1937 พม่าพ้นสภาพจากการเป็นมณฑลของอินเดีย ในส่วนพม่าแท้มีรูปแบบการปกครองระบบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเองและมีการปกครองระบบสองสภา คือวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่บริเวณชายแดนยังคงอยู่ระบบดั้งเดิมตามชนเผ่าของตน แต่อังกฤษได้ยกระดับการปกครองของรัฐฉานแตกต่างออกไป โดยมีการจัดตั้งสหพันธ์รัฐฉานขึ้น มีสภานิติบัญญัติประกอบด้วยเจ้าฟ้าซึ่งเป็นผู้ปกครองแคว้น โดยมีข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษเป็นประธานสภา ต่อมามีการจัดตั้งคณะกรรมการสามัญประจำสภา จากนโยบายการปกครองของอังกฤษทำให้พม่าไม่มีเอกภาพทางด้านการเมืองรวมไปถึงความไม่เสมอภาคทางด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย (หน้า10-11, 13-17) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพพม่าและกองทัพญี่ปุ่นได้ร่วมรบจนสามารถขับไล่ทหารอังกฤษออกจากพม่าได้แล้ว จึงมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นในปี ค.ศ. 1942 หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขของประเทศ ภายหลังพม่าทราบว่าประมุขของประเทศเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลญี่ปุ่น จึงได้ร่วมมือกับอังกฤษและขับไล่ญี่ปุ่นออกจากพม่าสำเร็จในปี ค.ศ. 1945 อังกฤษจึงเข้ามาปกครองพม่าอีกครั้ง แต่เกิดการเดินขบวนเรียกร้องอิสรภาพขึ้น ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษจึงได้ให้อิสรภาพแก่พม่า (หน้า25-28) ในปี ค.ศ. 1947 ได้มีการประชุมระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยเกิด "ข้อตกลงปางโหลง" ซึ่งมีสาระสำคัญให้ชาวพม่าและชนกลุ่มน้อยรวมกันในรูปแบบของสหภาพ (Union) โดยที่รัฐฉานและรัฐคะยาห์มีสิทธิถอนตัวออกจากสหภาพหลังอยู่รวมภายในสหภาพสิบปีไปแล้ว ขณะที่รัฐคะฉิ่นไม่มีสิทธินั้นแต่สามารถปกครองตนเองได้ ส่วนกลุ่มกะเหรี่ยงมีความประสงค์จะเจรจากับอังกฤษโดยตรงโดยมุ่งหวังจะแยกเป็นอิสระจากพม่า และในปีเดียวกันได้มีการเลือกตั้งทั่วไปและร่างรัฐธรรมนูญขึ้น การปกครองใช้ระบบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการบริหาร รัฐสภาประกอบด้วย สภาชนชาติและสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลพม่าประกาศอิสรภาพในปี ค.ศ. 1948 (หน้า 28-31) หลังการประกาศอิสรภาพของพม่า ได้เกิดการจลาจลทำสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับกลุ่มมอญ กะเหรี่ยงและรัฐบาลพม่า (หน้า 33) เมื่อครบกำหนดในปีค.ศ. 1958 รัฐที่ได้รับสิทธิในการแยกตัวอิสระเริ่มมีการเคลื่อนไหวสู้รบกับรัฐบาลพม่า รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงเกิดการรัฐประหารขึ้นในปี ค.ศ.1962 ยกเลิกรัฐธรรมนูญปีค.ศ. 1947 และยกเลิกพรรคการเมือง ยกเลิกสิทธิพิเศษของชนกลุ่มน้อยต่างๆ การบริหารรัฐต่างๆถือเป็นอำนาจโดยตรงของรัฐบาลกลาง ทหารพม่ามีสิทธิเหนือประชาชนทั่วไป (หน้า 34) จนถึงปีค.ศ. 1988 เกิดการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลที่บริหารงานล้มเหลว ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่ถดถอย และคุณภาพชีวิตประชากรที่ตกต่ำ สหภาพพม่าจึง เริ่มเข้าสู่ยุคบริหารประเทศของสภาฟื้นฟูกฎและระเบียบแห่งรัฐ (State Law and Order Restoration Council-SLORC) ในปีค.ศ. 1990 ได้มีการเลือกตั้งทั่วไป แต่สภาฟื้นฟูกฎและระเบียบแห่งรัฐปฏิเสธการตั้งรัฐบาลพลเรือนของพรรคสันนิบาตประชาธิปไตยซึ่งชนะการเลือกตั้ง (หน้า 35,170-171) ชนกลุ่มน้อยมีโครงสร้างการปกครองเป็นของตนเอง ดังนี้ -กะเหรี่ยง อีก้อ มูเซอ และลีซอ มีโครงสร้างการปกครองระดับหมู่บ้านหรือหัวหน้าเผ่า-กลุ่มไทยใหญ่ กลุ่มคะฉิ่น และกลุ่มฉิ่นมีโครงสร้างการปกครองระดับนครรัฐมีเจ้าฟ้าเป็นผู้ปกครองนครรัฐ (หน้า 51)

Belief System

ชนกลุ่มน้อยจำนวนมากนับถือผี (animism) (หน้า 44) ชุมชนกะเหรี่ยงและคะถิ่นนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 44) มอญนับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท (หน้า 113) คะฉิ่นส่วนใหญ่นับถือผี (หน้า 135)

Education and Socialization

ในช่วงอาณานิคม อังกฤษได้พัฒนาการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะบริเวณพม่าแท้เท่านั้น เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างชาวพม่าแท้และชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในบริเวณชายแดน (หน้า 17) แต่ในขณะเดียวกันหมอสอนศาสนาได้เข้ามามีอิทธิพลต่อกะเหรี่ยง ทำให้กะเหรี่ยงมีพัฒนาการด้านการศึกษาที่ดีกว่าชนกลุ่มน้อยอื่นๆ (หน้า 21) โดยเฉพาะกะเหรี่ยงพื้นราบจะได้รับการศึกษา ขณะที่กะเหรี่ยงบริเวณเทือกเขายังคงยึดถือขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่ (หน้า 92) นอกจากนี้ชาวคะฉิ่นเป็นกลุ่มชนหนึ่งที่รับวัฒนธรรมการศึกษาในระบบโรงเรียนจากหมอสอนศาสนา ทำให้ชาวคะฉิ่นมีการศึกษาที่ดีขึ้น (หน้า 137)

Health and Medicine

ในช่วงอาณานิคม อังกฤษได้พัฒนาระบบสาธารณสุข สาธารณูปโภคเฉพาะบริเวณพม่าแท้เท่านั้น ในขณะที่บริเวณชายแดนถูกละเลย (หน้า 17)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เนื่องจากรัฐบาลพม่าในอดีตมีการปกครองแบบกระจายอำนาจ โดยให้สิทธิแก่ชนกลุ่มน้อยในการปกครองตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลพม่าจึงมีน้อยมาก ความสำนึกในการเป็นสมาชิกของรัฐพม่าแทบไม่มีเลย อีกทั้งนโยบายแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษที่ให้อิสระในการปกครองแก่ชนกลุ่มน้อยในยุคอาณานิคมก่อให้เกิดความแตกต่างกันในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตลอดจนช่องว่างทางการเมือง ก่อให้เกิดปัญหาต่อการสร้างชาติของพม่าหลังจากได้รับเอกราช (หน้า 2, 9-10,36) นอกจากนี้การปฏิบัติของอังกฤษในการให้เกียรติกลุ่มน้อยมากกว่าที่รัฐพม่าเคยปฏิบัติ เช่น การให้เจ้าฟ้าของรัฐฉานมีสิทธิแสดงความคิดเห็นในการปกครอง ผู้ชายชาวกะเหรี่ยงได้รับการศึกษาในระดับสูง และได้รับการแต่งตั้งเป็นทหารในกองทัพ ตลอดจนการที่อังกฤษใช้กองกำลังทหารกะเหรี่ยงปราบปรามชาวพม่า ยิ่งสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างชาวพม่าและชนกลุ่มน้อยมากยิ่งขึ้น (หน้า 52-53) นโยบายของรัฐบาลพม่าต่อชนกลุ่มน้อยหลังได้รับเอกราชนั้นมีความแตกต่างกันออกไปตามนโยบายของผู้นำแต่ละคน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยจึงมีความแตกต่างไปเช่นกัน ดังนี้ -อู ออง ซาน มีนโยบายริเริ่มรวมพม่าแท้และบริเวณชายแดนเข้าด้วยกัน โดยยังคงสิทธิการปกครองตนเองแก่ชนกลุ่มน้อยและได้รับการตอบรับจากหัวหน้าชนกลุ่มน้อยต่างๆเป็นอย่างดี (หน้า 36,38) -อู นุ มีนโยบายให้พม่าเป็นรัฐเดียว (unitary state) และมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียว ไม่ควรแตกแยกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย อีกทั้งมีความพยายามนำวัฒนธรรม ศาสนา และการศึกษาของชาวพม่าเข้าเผยแพร่ในชนกลุ่มน้อยต่างๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยที่เกรงว่าจะถูกกลืนวัฒนธรรม (หน้า 43) -เนวินมีนโยบายใช้วิธีการทางทหารปราบปรามชนกลุ่มน้อยหลังการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและชนกลุ่มน้อยไม่เป็นผล ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยขึ้น(หน้า46,48) หลังสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐเข้ามาทำหน้าที่บริหารประเทศในปีค.ศ. 1988 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับชนกลุ่มน้อยคลายความตึงเครียดลง มีการเจรจาหยุดยิงและเปิดโอกาสให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยเข้าพบรัฐบาลเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง พิจารณาเงื่อนไขต่างๆในการกลับมายอมรับและปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐ (หน้า 175, 180) ท่าทีที่ผ่อนปรนลงของรัฐบาลพม่าในยุคนี้อาจเป็นเพราะ เพื่อปรับภาพลักษณ์ในสายตาต่างชาติ ลดภาระการทำสงครามกับชนกลุ่มน้อยและเน้นดูแลเศรษฐกิจให้มากขึ้น รวมไปถึงการลดความช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าของรัฐบาลจีนหลังยุคเหมา เจอ ตุง (หน้า 180) ชาวคะฉิ่นมีมิตรไมตรีที่ดีกับชาวไทยใหญ่และชาวจีนที่มีพรมแดนติดกัน (หน้า 135)

Social Cultural and Identity Change

ชนกลุ่มน้อยต่างๆต่อสู้กับรัฐบาลพม่าด้วยเหตุผลเดียวกันคือ การปฏิเสธอำนาจเผด็จการของรัฐบาลกลางพม่า มีการร่วมมือกันอย่างหลวมๆระหว่างชนกลุ่มน้อยในการต่อสู้กับรัฐบาลพม่าเป็นครั้งคราว และมีพัฒนาการเป็นองค์กรนำในการต่อสู้กับรัฐบาลพม่าในปัจจุบัน เช่น กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ และกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยของพม่า (หน้า 153-154) ในช่วงอาณานิคม อังกฤษไม่ได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องสังคม ประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ชายแดน อีกทั้งไม่มีการติดต่อระหว่างชายแดนและชาวพม่า ทำให้วัฒนธรรมของกลุ่มชายแดนมีการพัฒนาคงความเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างเข้มแข็ง (หน้า 19-20)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

แผนที่ -แสดงบริเวณถิ่นที่อยู่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ (หน้า 8) -แสดงรัฐของชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดนไทย-พม่า (หน้า 49) -แสดงพื้นที่ครอบครองของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆของพม่าปีค.ศ. 1961 (หน้า 50) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในประเทศพม่า ธันวาคม ค.ศ. 1961 (หน้า 54) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในประเทศพม่า ธันวาคม ค.ศ. 1976 (หน้า 55) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในประเทศพม่า ธันวาคม ค.ศ. 1988 (หน้า 56) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังกลุ่มต่างๆของรัฐฉานและกองกำลังก๊กมินตั๋งในรัฐฉานระหว่างปีค.ศ. 1965-1966 (หน้า 70) -แสดงที่ตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าในรัฐฉาน ระหว่างปีค.ศ. 1971-1973 (หน้า 71) -แสดงที่ตั้งกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆในรัฐฉาน (หน้า 75) -แสดงที่ตั้งมาเนอร์ปลอว์ (หน้า 105) -แสดงที่ตั้งค่ายคอมูร่า (หน้า 106) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์พม่า กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง และกองกำลังพรรคมอญในเขตตะนาวศรี รัฐมอญ (หน้า 121) -แสดงอาณาบริเวณรัฐคะยาห์ -แสดงที่ตั้งของกองกำลังชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆของพม่าบริเวณชายแดนไทย-พม่า ธันวาคม ค.ศ. 1987 (หน้า 151) -แสดงที่ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยและจำนวนประชากรของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่อาศัยบริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า สิงหาคม ค.ศ. 1995 (หน้า 152) -แสดงที่ตั้งของกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ลงนาม หยุดยิง กับรัฐบาล ธันวาคม ค.ษ. 1993 (หน้า 215) รูปภาพ -คณะผู้แทนชุดแรกจากพม่าขณะก่อนเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นที่กรุงโตเกียว มีนาคม ค.ศ. 1943 (หน้า 12) -ดร.บามอ ผู้นำรัฐบาลพม่าและนายพลโชจิโร อิอิดะ ผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นในพม่า สิงหาคม ค.ศ. 1942 (หน้า 23) -อองซาน บิดาแห่งเอกราชพม่ากับนายคลีเมนต์ แอตลี นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ในการเจรจาเรื่องเอกราชของพม่า ที่ลอนดอน อังกฤษ มกราคม ค.ศ. 1947 (หน้า 27) -กลุ่มผู้นำทหารของกองทัพรัฐฉาน ชมการสวนสนามของเหล่าทหารในวันชาติรัฐฉาน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1969 (หน้า 77) -นายพลโบเมี้ยะและกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระ (หน้า 97) -การฝึกทหารใหม่ของกองทัพรัฐฉาน (ของขุนส่า) (หน้า 144) -ศูนย์บัญชาการของพรรคคอมมิวนิสต์พม่าในเขตรัฐฉานใกล้ชายแดนพม่า-จีน (หน้า 169) -กองคาราวานว้า (หน้า 183) -ออง ซาน ซู จี (หน้า 226)

Text Analyst อภิรัตน์ ศุภธนาทรัพย์ Date of Report 21 ก.พ. 2565
TAG ไทใหญ่, กะเหรี่ยง, คะฉิ่น, มอญ, ชนกลุ่มน้อย, รัฐบาลพม่า, การเมือง, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง