|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทใหญ่,รัฐฉาน,สถานภาพองค์ความรู้,สังคม,วัฒนธรรม,ลุ่มน้ำโขง |
Author |
รัตนา บุญมัธยะ, สุภา วิตตาภรณ์, ปริญญาภรณ์ พรมดวง |
Title |
การสำรวจสถานภาพองค์ความรู้เกี่ยวกับชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำโขง: กรณีสหภาพพม่า |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
49 |
Year |
2547 |
Source |
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
การศึกษาสถานภาพองค์ความรู้ด้านชาติพันธุ์ศึกษาในสหภาพพม่ามีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากข้อกำจัดในการศึกษาภาคสนามในระดับท้องถิ่น และสถานภาพทางการเมืองไม่เอื้ออำนวย ด้วยเหตุนี้การศึกษาเกี่ยวกับชาติพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงจึงต้องอาศัยการวิจัยเอกสารและการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์มากขึ้น จากการทบทวนวรรณกรรม ผู้เขียนพบว่า ในยุคล่าอาณานิคมจนถึงช่วงได้รับเอกราช การศึกษาเรื่องชาติพันธุ์นั้นกระทำโดยผู้เป็นเจ้าอาณานิคม ดังนั้นงานวิจัยที่ได้จึงสะท้อนผ่านมุมมองที่เป็นอคติทางชาติพันธุ์ที่ใช้สีผิวและมาตรฐานวัฒนธรรมของตนเป็นตัวกำหนด วัฒนธรรมท้องถิ่นของบรรดาเผ่าพื้นเมืองจึงถูกมองว่าเป็นวัฒนธรรมล้าหลัง งานเขียนในช่วงก่อนได้รับเอกราชจึงเป็นการศึกษาที่เน้นวัฒนธรรมพรรณนาว่าด้วยเรื่องชาติพันธุ์เป็นหลัก อาทิ ประวัติศาสตร์ การตั้งถิ่นฐาน โครงสร้างทางสังคม การเมือง ความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม การแต่งกาย ครอบครัว เครือญาติ การละเล่น เป็นต้น ส่วนในช่วงหลังได้รับเอกราชนั้น กระบวนการสร้างชาติก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในสหภาพพม่า ดังนั้นงานศึกษาหรืองานเขียนส่วนใหญ่จึงเน้นการนำเสนอความขัดแย้งด้านชาติพันธุ์และการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองการปกครอง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ลงตัว ก่อให้เกิดคนชายขอบที่มีอำนาจด้อยกว่า ความตึงเครียดความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ก่อให้เกิดคนพลัดถิ่น ลักษณะพหุสังคมนี้ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆ หรืออัตลักษณ์เดิม เพื่อแสดงตัวตนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง นอกจากนี้ผู้วิจัยมีความเห็นว่า ประเด็นการวิจัยเรื่องชาติพันธุ์ในสหภาพพม่าควรจะสะท้อน ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา วิวัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เชื่อมโยงท้องถิ่นสู่โลกาภิวัตน์ ตลอด จนผลกระทบจากโลกาภิวัตน์สู่ท้องถิ่น รวมถึงอนาคตการอยู่ร่วมกันอย่างสันติบนพื้นฐานความแตกต่างทางวัฒนธรรม |
|
Focus |
สำรวจองค์ความรู้เกี่ยวกับชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำโขง กรณีสหภาพพม่า โดยรวบรวมและวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง (หน้า 1-2) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนได้สำรวจเอกสารทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชาติพันธุ์ในสหภาพพม่า นำมาประมวลเอกสารและวิเคราะห์ข้อมูลโดยแบ่งเอกสารออกเป็น 2 ช่วงเวลาคือ ยุคอาณานิคมและกอบกู้เอกราช (ค.ศ.1824-1948) และช่วงหลังยุคอาณานิคม (ค.ศ.1949-ปัจจุบัน) และแยกประเด็นศึกษาออกเป็น 8 ประเด็น คือ อคติทางชาติพันธุ์และการต่อต้าน ความเป็นอื่นในแดนตน วัฒนธรรมพรรณนาว่าด้วยเรื่องชาติพันธุ์ การเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ คนพลัดถิ่นในแดนตน การศึกษาหมู่บ้านในกระแสทันสมัยนิยม และความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม ครอบครัว เครือญาติ และการแต่งงาน (หน้า2-3, 6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์บริเวณลุ่มน้ำโขง ในสหภาพพม่า อาทิ ชนชาติกะฉิ่นและคนไท แต่เน้นการนำเสนอเรื่องราวของ ไทใหญ่ เป็นหลัก |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นในช่วง ตุลาคม พ.ศ. 2545 - มีนาคม พ.ศ. 2547 วิเคราะห์ข้อมูลขั้นสุดท้ายและเขียนรายงานวิจัยในช่วง เมษายน-สิงหาคม พ.ศ. 2547 (หน้า 3) |
|
History of the Group and Community |
โดยชนชาติไทอาศัยบริเวณที่ราบลุ่มน้ำโขง สาละวินและอิระวดี เป็นเวลากว่าพันปี ปกครองระบบสหพันธรัฐ ถูกรุกรานโดยจีนและพม่า ต่อมาแตกออกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อยโดยการรุกรานของกองทัพราชวงศ์หมิงจากจีน และพื้นที่ถูกชนต่างชาติยึดครอง จึงกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศต่างๆ (หน้า 23, 25) |
|
Settlement Pattern |
ไทใหญ่ นิยมตั้งบ้านเรือบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำหรือที่ราบระหว่างหุบเขา (หน้า 24) |
|
Demography |
ผู้ที่ถูกเรียกว่า "ชนชาติไท" ซึ่งอาศัยอยู่นอกประเทศไทยประกอบด้วย 1) จ้วงในมณฑลกวางสีของประเทศจีน จำนวน 14 ล้านคน 2) ไทขาวไทดำในเวียดนามประมาณ 1.5 ล้านคน 3) ชาวลาวประมาณ 5 ล้านคน 4) ไทลื้อในสิบสองพันนา จำนวนหลายแสนคน 5) ชาวฉาน หรือ ไทใหญ่ในพม่าและจังหวัดใต้คงมณฑลยูนนาน จำนวน10 ล้านคน 6) ชาวอาหมในแคว้นอัสสัม จำนวน 2 ล้านคน 7) ชาวก๋ำ เก้อเหล่า หยี และปู้ยี ในมณฑลกุ้ยโจว ยูนนาน และไหหลำ รวมทั้งหมดประมาณ 30-40 ล้านคน (หน้า 22) |
|
Economy |
ไทใหญ่ ปลูกข้าวเป็นพืชหลัก (หน้า 24) |
|
Social Organization |
สังคมในสหภาพพม่ายุคก่อนล่าอาณานิคมมีลำดับชั้น โดยชาวนาและผู้ใช้แรงงานเป็นชนชั้นล่างในสังคม (หน้า 19) ความสัมพันธ์ของชาวไทใหญ่นั้นเป็นแบบระบบอาวุโส มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติกันมา (หน้า 24) |
|
Political Organization |
ยุคก่อนล่าอาณานิคม กลุ่มชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆเป็น "ข้า" ของเจ้านายในหัวเมือง และอาณาจักรต่างๆ การเมืองการปกครองเป็นภารกิจของคนชั้นสูง (หน้า 10-11, 13) ยุคอาณานิคม กลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบได้รับอิสระในการปกครองตนเอง แต่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษ (หน้า 14) หลังยุคอาณานิคม เกิดข้อตกลง "ปางโหลง" ซึ่งให้สิทธิความเสมอภาคทางการเมืองการปกครองร่วมกับรัฐบาลกลางแก่ชนกลุ่มน้อย แต่ข้อตกลงล้มเหลว และเกิดความขัดแย้งเรื่อยมา (หน้า 14-15) |
|
Belief System |
กลุ่มชนในที่ราบนับถือศาสนาพุทธ ร่วมกับการบูชาผีนัต และความเชื่อเรื่องโชคลาง โดยความเชื่อเรื่องนัตมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมทางสังคมของชาวพม่าตั้งแต่เกิดจนตาย สะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ และมีความสำคัญต่อโครงสร้างทางสังคมของพม่าด้วย(หน้า 19, 39) ชาวไทใหญ่ นับถือผี เชื่อโชคลาง ภายหลังผสมผสานศาสนาพุทธเข้ามาด้วย (หน้า 24) การถือผีแถน และความเชื่อเรื่องขวัญของคนไทในพม่า เป็นระบบความเชื่อดั้งเดิมที่เป็นระบบเดียวกับคนไทในที่อื่นๆ (หน้า 25) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวกะฉิ่นมีพิธีเต้นรำทางศาสนาเรียกว่า "มะเนา" (หน้า 40) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ยุคอาณานิคม ชาวยุโรปสะท้อนภาพกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบผ่านมุมมองอคติทางชาติพันธุ์ว่ามีความล้าหลัง ลึกลับ น่ากลัว และงมงายไสยศาสตร์ (หน้า 8) ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยเริ่มขึ้นหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากจักรวรรดินิยมอังกฤษในปีค.ศ. 1948 มีสาเหตุสำคัญมาจาก สภาพภูมิประเทศที่แบ่งแยกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ วัฒนธรรมภาษาที่แตกต่างกัน และความเป็นอิสระจากกันมานาน (หน้า 14-15, 21) เกิดความขัดแย้ง แย่งชิงทรัพยากรระหว่างชาวว้าและชาวลาหู่ อาข่าและไทใหญ่ หลังรัฐบาลพม่าสั่งอพยพชาวว้าจำนวน 126,000 คน จากถิ่นที่อยู่เดิมบริเวณชายแดนจีนมายังรัฐฉานตอนใต้ (หน้า 35) ช่วงปี พ.ศ. 2539-2544 รัฐบาลพม่าให้กองกำลังทหารพม่าที่ประจำการในรัฐฉานข่มขืนเด็กและสตรี เพื่อข่มขู่และปราบปรามชาวไทใหญ่ (หน้า 36) |
|
Social Cultural and Identity Change |
"ไตแลง" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐกะฉิ่น ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากพม่าในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง และพระเจ้าอลองพญา จนปรับรับวัฒนธรรมพม่ามาเป็นวัฒนธรรมไตแลง (หน้า 25-26) |
|
|