สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เซมัง,ซาไก,เงาะ,ถิ่นที่อยู่,อาหารการกิน,ภาษา,ตรัง,สตูล
Author สุวัฒน์ ทองหอม
Title เงาะ ชนผู้อยู่ป่า ชาติพันธุ์มนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ยังเหลืออยู่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 119 Year 2536
Source องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง
Abstract

เงาะ เป็นชนกลุ่มน้อยผิวดำ ผมหยิก อาศัยอยู่ตามป่า เขาบริเวณแหลมมลายู ซึ่งรวมถึงจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ “นิกริโต” ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของ “นิกรอยด์” ซึ่งเป็นมนุษย์ผิวดำ การจัดแบ่งชนชาติตามตระกูลภาษา เงาะ จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค สาขาย่อย มอญ – เขมร ในทางมานุษยวิทยา ได้จัดแบ่งเงาะออกเป็น 3 เผ่า ได้แก่ เงาะเซมัง (Semang) เงาะซาไก (Sakai) และเงาะซินอย (Senoi) ซึ่งต่างก็มีผิวสีดำ สูงประมาณ 145 – 155 เซนติเมตร เงาะไม่มีการตั้งหลักแหล่งอาศัยถาวร ดำรงชีพแบบวัฒนธรรมล่าสัตว์ (Hunting Culture) เก็บพืชผักผลไม้ และล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร ไม่นิยมสะสมทรัพย์สินใดๆ สังคมเงาะมีความเชื่อเกี่ยวกับผี เชื่อว่าการเจ็บไข้เกิดจากการกระทำของผี ในอดีตพื้นที่เขตจังหวัดตรังมีเงาะจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเหนือคลองตง กลุ่มคลองหินแดง กลุ่มเจ้าพะ กลุ่มนายสิงห์ และกลุ่มนางหยำ แต่ปัจจุบันได้อพยพไปที่บ้านมะนัง จังหวัดสตูล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายสิงห์ ซึ่งเดิมอาศัยบริเวณบ้านในตระ และกลุ่มนางหยำ ซึ่งเดิมอาศัยละแวกบ้านหินจอก บริเวณถ้ำเขาเขียด สังคมชาวเงาะในพื้นที่จังหวัดตรังทั้ง 3 กลุ่มเป็นสังคมระบบผัวเดียว เมียเดียว มีความเกี่ยวดองกันจากการสืบสายตระกูล การรวมกลุ่มของเงาะ ปกติจะรวมตัวกัน 2 ครอบครัวขึ้นไป จำนวนสมาชิกแต่ละกลุ่มรวม 15 – 30 คน ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก หลาน โดยมีผู้อาวุโสของกลุ่มเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกกลุ่มจะมี “ทับ” หรือที่เรียกกันว่า “ฮะหยะ” การรวมกลุ่มจะตั้งทับหันหน้าเข้าหากันเกือบเป็นวงกลม การรวมกลุ่มของกลุ่มเจ้าพะ จะมีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มอื่น คือ เป็นการรวมกันของครอบครัวพี่และครอบครัวน้อง สมาชิกในกลุ่มสามารถแต่งงานกันได้ แม้ว่าจะมิใช่การแต่งงานระหว่างพี่น้อง พ่อแม่เดียวกันก็ตาม

Focus

ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของเงาะในเขตป่าจังหวัดตรัง

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

นักวิจัยเรียกกลุ่มชนนี้ว่า “ซาไก” หรือ เงาะ และอธิบายว่า กลุ่มนี้ถูกเรียกโดยกลุ่มคนต่างๆ ดังนี้คือ มลายูโบราณ เรียก เซมัง คนไทยทั่วไป เรียก เงาะ/ เงาะป่า/ ซาไก คนในท้องถิ่นภาคใต้ เรียก ชาวป่า คนมลายูในจังหวัดยะลา และนราธิวาส เรียก ซาแก (หน้า 2 – 3,7,9)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาเงาะ จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค สาขาย่อย มอญ – เขมร ภาษาของเงาะในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 ภาษาคือ ภาษากันซิว เป็นภาษาของเงาะแถบจังหวัดยะลา ภาษาแต็นแอ๊นเป็นภาษาของเงาะแถบจังหวัดสตูลและพัทลุง ภาษาแตะเด๊ะเป็นภาษาของเงาะแถบอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และภาษายะฮายด์ เป็นภาษาของเงาะแถบแว้ง จังหวัดนราธิวาส (หน้า 17, 88)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

เงาะ เป็นชนกลุ่มน้อยผิวดำ ผมหยิก อาศัยอยู่ตามป่าและเขาบริเวณแหลมมลายู ซึ่งรวมถึงจังหวัดต่างๆทางภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย เช่น จังหวัดสตูล พัทลุง นครศรีธรรมราช และปัตตานี จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์ “นิกริโต” ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของ “นิกรอยด์” ซึ่งเป็นมนุษย์ผิวดำ ในการจัดแบ่งชนชาติตามตระกูลภาษา เงาะ จัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติค สาขาย่อย มอญ – เขมร ในทางมานุษยวิทยา ได้จัดแบ่งเงาะออกเป็น 3 เผ่า ได้แก่ เงาะเซมัง (Semang) เงาะซาไก (Sakai) และเงาะซินอย (Senoi) ซึ่งต่างก็มีผิวสีดำ สูงประมาณ 145 – 155 เซนติเมตร (หน้า 5 – 18) จากหลักฐานโบราณคดีบริเวณแหลมมลายูพบว่า “เงาะเซมัง” เป็นชนกลุ่มแรกที่เดินทางอพยพมาอาศัยในดินแดนเอเชียอาคเนย์ ต่อจากมนุษย์ผู้ยืนตัวตรง ที่เรียกกันว่า “มนุษย์วานร” “เงาะซาไก” เป็นชนอีกพวกหนึ่งที่อพยพเข้ามาหลังเงาะเซมัง ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตประเทศมาเลเซีย ตัวเตี้ยกว่าเซมัง ผิวคล้ำแดง ผมหยิกเป็นก้นหอย หน้าสั้น ฟันขาว คางใหญ่ ริมฝีปากหนา ตาพอง ท้องยาว น่องเรียว เป็นชนชาติที่กระจายมาจากอินเดียตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ส่วน “เงาะซีนอย” ถือว่าเป็นคนดั้งเดิมของมาเลเซีย เป็นกลุ่มชนผู้มีสายเลือดผสมระหว่างเซมังและซาไก (หน้า 18 -23) ในอดีตพื้นที่เขตจังหวัดตรังมีเงาะจำนวน 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเหนือคลองตง กลุ่มคลองหินแดง กลุ่มเจ้าพะ กลุ่มนายสิงห์ และกลุ่มนางหยำ แต่ปัจจุบันได้อพยพไปที่บ้านมะนัง จังหวัดสตูล 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนายสิงห์ ซึ่งเดิมอาศัยบริเวณบ้านในตระ และกลุ่มนางหยำ ซึ่งเดิมอาศัยละแวกบ้านหินจอก บริเวณถ้ำเขาเขียด (หน้า 35 - 36)

Settlement Pattern

การตั้ง”ทับ”อาศัยรวมกันเป็นกลุ่มส่วนมากจะหันหน้าเข้าหากันเกือบเป็นวงกลม (หน้า 37)

Demography

เดือนธันวาคม พ.ศ. 2535 เขตป่าจังหวัดตรัง มีชนชาวเงาะอาศัยอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเหนือคลองตง มีสมาชิก รวม 15 คน จำแนกเป็นชาย 9 คน และหญิง 6 คน กลุ่มคลองหินแดง มีสมาชิก รวม 18 คน จำแนกเป็นชาย 11 คน และหญิง 7 คน และกลุ่มเจ้าพะ มีสมาชิก รวม 18 คน จำแนกเป็นชาย 9 คน และหญิง 9 คน (หน้า 35 – 36) เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536 พบว่าสมาชิกกลุ่มเจ้าพะมี 5 ครอบครัว รวม 20 คน กลุ่มเหนือคลองตง มี 5 ครอบครัว รวม 21 คน กลุ่มคลองหินแดง มีสมาชิก 4 ครอบครัว รวม 20 คน (หน้า 38 - 43)

Economy

เงาะ ดำรงชีพแบบวัฒนธรรมล่าสัตว์ (Hunting Culture) เก็บพืชผักผลไม้ และล่าสัตว์ป่าเป็นอาหาร ไม่นิยมสะสมทรัพย์สินใดๆ (หน้า 2) ไม่มีการถือสิทธิ์ครอบครองที่ดิน แต่การหากินของสังคมเงาะแต่ละกลุ่มจะไม่ล่วงล้ำเขตซึ่งกันและกัน โดย กลุ่มเหนือคลองตง หากินตามป่าบริเวณสองข้างฝั่งคลองตง (คลองสายหนึ่งที่ไหลร่วมลงมาเป็นคลองปะเหลียน) หากปีไหนหรือช่วงใดที่อัตคัต จะออกมารับจ้างชาวบ้านแถบควนไม้ดำและบ้านกลาง เงาะกลุ่มคลองแดงเป็นกลุ่มที่อพยพหากินตามป่าบริเวณทั้งสองฝั่งของคลองหินแดง คลองลิพัง ถ้ำไผ่ตง เรื่อยมาจนถึงแนวป่าบ้านท่าเขา แต่ในระยะหลังมีการถางป่าปลูกยางพารา ทำให้การล่าสัตว์และหาของป่าลำบากยิ่งขึ้น เงาะกลุ่มนี้จึงนิยมรับจ้างถางสวนยางพาราและสวนพริกไทยในยามที่ล่าสัตว์ไม่ได้เพื่อแลกกับอาหาร ส่วนเงาะกลุ่มเจ้าพะ หากินบริเวณหนานเจ้าพะ ตามสายห้วยเม็ง ขึ้นไปทางเหนือ จรดสันปันน้ำคลองลิพัง เงาะกลุ่มเจ้าพะ เป็นเงาะที่มีความสัมพันธ์กับชาวบ้านชุมชนบ้านเจ้าพะมากเพราะมีถิ่นอาศัยประจำอยู่ใกล้กัน (หน้า 46 - 50) อาหารที่ชาวเงาะนิยมกินเป็นประจำจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาหารที่ได้จากพืชและอาหารที่ได้จากสัตว์ อาหารที่ได้จากพืชถือเป็นอาหารหลักของเงาะ ได้แก่ มันชนิดต่างๆ เช่น มัน ตามราก (ลันต๊าก) มันโสม (ตะโก๊บ) มันย่านเขียว (บะลูน) อาหารประเภทผัก เช่น ผักกูด ต้นอ่อนกล้วยป่า หน่อไม้ อาหารประเภทผลไม้ เช่น เดือยงัว ด้ามทอง พะวา(คล้ายมังคุด) หัวล้าน ลูกหวาย มะไฟดิน กล้วยป่าและมะปริงป่า ส่วนอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ถือว่าเป็นอาหารหลัก ไม่ได้กินเป็นประจำ กินเฉพาะเวลาที่หามาได้ เช่น ลิง หมูดิน กวาง กระจง เต่า ตะพาบน้ำ ตลอดจนนกและสัตว์น้ำชนิดต่างๆ (หน้า 60 - 65 )

Social Organization

เงาะ เป็นชนป่าเร่ร่อนอาศัยอยู่ตามป่าเขา ไม่มีการตั้งหลักแหล่งอาศัยถาวร เพราะหากถิ่นที่อาศัยเกิดภาวะอัตคัตด้านอาหาร มีผู้เสียชีวิตในสถานที่อยู่อาศัยหรือบริเวณใกล้เคียง มีสมาชิกในกลุ่มป่วยรักษานานก็ยังไม่หาย หรือเมื่อสมาชิกในกลุ่มคลอดบุตรเงาะจะอพยพเพื่อหาที่อยู่ใหม่ (หน้า 1 – 2,57 - 58) สังคมชาวเงาะเป็นสังคมระบบผัวเดียว เมียเดียว การรวมกลุ่มของเงาะ ปกติจะรวมตัวกัน 2 ครอบครัวขึ้นไป จำนวนสมาชิกแต่ละกลุ่มรวม 15 – 30 คน ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก หลาน โดยมีผู้อาวุโสของกลุ่มเป็นหัวหน้ากลุ่ม ทุกกลุ่มจะมี “ทับ” หรือที่เรียกกันว่า “ฮะหยะ” การตั้งทับส่วนมากจะหันหน้าเข้าหากันเกือบเป็นวงกลม การรวมกลุ่มของกลุ่มเจ้าพะ จะมีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มอื่นคือเป็นการรวมกันของครอบครัวพี่และครอบครัวน้อง สมาชิกในกลุ่มสามารถแต่งงานกันได้ แม้ว่าจะมิใช่การแต่งงานระหว่างพี่น้อง พ่อแม่เดียวกันก็ตาม (หน้า 36 – 38,91) เงาะในเขตจังหวัดตรังทั้ง 3 กลุ่ม มีความเกี่ยวดองกัน และจากการสืบสายตระกูลพบว่า เงาะทั้งสามกลุ่มต่อกันมาจาก 3 สายตระกูล (ในกรณีสืบสายตระกูลของเงาะทั้ง 3 กลุ่ม สามารถสืบได้แค่รุ่น พ่อ - แม่ของหัวหน้ากลุ่มปัจจุบันเท่านั้น)(หน้า 44) สังคมเงาะในจังหวัดตรังยังคงใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมไม่ได้เป็นสังคมเกษตร คือ ไม่มีการเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ (หน้า 51) สังคมเงาะนอกจากถูกกำหนดหน้าที่โดยสังคมแล้ว การหาอาหารระหว่างชายและหญิงยังสามารถกำหนดหน้าที่ตามลักษณะความยากง่ายของการใช้เครื่องมือ คือ ฝ่ายชายมีหน้าที่หาอาหารด้วยเครื่องมือที่มีวิธีใช้สลับซับซ้อน เช่น บอเลา (กระบอกตุด) ส่วนผู้หญิงหาอาหารด้วยเครื่องมือที่ใช้ได้ง่าย เช่น ใช้มือเปล่าจับสัตว์น้ำจำพวกหอย ปู หรือการขุดมัน เป็นต้น (หน้า 66 - 67) ประเพณีสำคัญของชาวเงาะได้แก่ ประเพณีการเกิด ประเพณีการแต่งงาน และประเพณีทำศพ ประเพณีการเกิด สังคมชาวเงาะจะให้ความสำคัญกับหญิงมีครรภ์มาก จะไม่ให้ทำงานหนัก การทำคลอดจะทำโดยหญิงสูงอายุ ก่อนถึงกำหนดคลอดนั้นสามีจะหาสมุนไพรที่เรียกว่า “ตำโตก” ให้ภรรยากินเพื่อให้คลอดง่าย หลังจากคลอดแม่จะต้องอยู่ไฟประมาณ 7 วัน โดยมีสามีต้มยาสมุนไพรบำรุงเลือดให้ดื่ม ประเพณีการแต่งงาน เมื่อลูกโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว พ่อแม่จะให้แยกไปสร้างทับขึ้นใหม่ สำหรับหญิงนั้นเมื่อเริ่มมีประจำเดือนก็สามารถแต่งงานได้ ส่วนผู้ชาย สังเกตจากหนวดเคราที่งอกขึ้น การเลือกคู่จะเป็นการเลือกโดยคู่หนุ่มสาว มีการสู่ขอตามประเพณีที่ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ในอดีตจะเรียกสินสอดจากฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นลิงหรือค่าง สำหรับการเลี้ยงแต่งงาน ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายจะนั่งอยู่ข้างคู่บ่าวสาวพลางพูดสั่งสอนคู่บ่าวสาว เมื่อสั่งสอนเสร็จจึงร่วมกันกินลิงหรือค่างที่เจ้าบ่าวนำมาเป็นสินสอดจนหมด เป็นอันเสร็จพิธีแต่งงาน ประเพณีทำศพ ของชาวเงาะในพื้นที่จังหวัดตรังไม่มีการฝังศพเพราะเชื่อว่าหากมีใครเดินข้ามหลุมศพจะเป็นบาป จึงมีการสร้างทับขึ้นใหม่หรือใช้ทับเดิมของผู้ตายเป็นที่ประกอบพิธีศพ โดยให้ผู้ตายนอนในทับ ใช้ใบไม้ปิดปากเป็นรูปกระโจม มีการวางเครื่องใช้ส่วนตัวไว้ภายในทับและก่อกองไฟไว้นอกทับหนึ่งกอง เป็นอันเสร็จพิธี (หน้า 91 - 103)

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

เงาะมีความเชื่อเกี่ยวกับผีสางนางไม้ เชื่อว่าการเจ็บไข้เกิดจากการกระทำของผี ความเชื่อต่างๆของสังคมเงาะสามารถจำแนกเป็นเรื่องต่างๆ อาทิ ความเชื่อเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย เช่น เมื่อมีคนตายในลุ่มที่อยู่อาศัย จะต้องย้ายไปอยู่ที่ใหม่ พื้นดินบริเวณใดที่ไม่มีต้นไม้เล็ก แสดงว่าบริเวณนั้นมีผีจึงห้ามอยู่อาศัย ความเชื่อเกี่ยวกับอนามัยและสาธารณสุข เช่น อาการคันหรือปวดเมื่อยตามตัว เกิดจากผีไม้เกาะ น้ำที่ไม่ไหลหรือน้ำที่ขังเป็นแอ่งตามลำห้วย ห้ามดื่มเพราะจะทำให้ไม่สบาย การนอนให้ศีรษะสูงกว่าเท้าจะทำให้สุขภาพดี ความเชื่อเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น กลางวัน กลางคืน เกิดจากรุ้ง(ฮุ่ง)กลืนหางตัวเอง ปีใดรุ้งกินน้ำมาก จะทำให้ผลไม้ในป่าดก(หน้า 107 – 110) การเลือกที่อยู่อาศัยของเงาะมีข้อพิจารณาตามความเชื่อที่สั่งสมมาแต่ครั้งบรรพชน คือ 1)พื้นที่จะต้องมีความลาดเอียงเล็กน้อย ไม่เป็นแอ่งที่น้ำฝนสามารถขังได้ 2)อยู่ใกล้แหล่งน้ำที่มีน้ำไหลตลอดเวลา 3)เป็นพื้นที่ที่มีต้นไม้ปกคลุมทั่วบริเวณ 4)บริเวณที่ตั้งต้องไม่เคยมีคนตายหรือมีผีเจ้าที่แรง ไม่มีจอมปลวกโดยเฉพาะจอมปลวกที่มีสีคล้ำเพราะเชื่อว่าเป็นที่สถิตของผีร้าย 5)มีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์(หน้า 52 – 55) เงาะนิยมนอนหันหัวออกนอกทับโดยเก็บเท้าไว้ด้านใน เพราะมีความเชื่อว่า หากมีเสือหรือสัตว์ร้ายอื่นมาทำร้าย ก็ยังมีเท้าที่สามารถหนีได้ (หน้า 56) สมาชิกในกลุ่มที่เป็นเด็ก ก่อนออกเดินทางผู้ใหญ่จะนำขี้เถ้ามาทาตามตัวและใบหน้า เพื่ออำพรางให้ผีร้ายเข้าใจผิดว่าเด็กเหล่านั้นไม่ใช่ลูกคน เพราะหากผีเหล่านั้นจำเด็กได้ ผีอาจจะทำร้ายเด็กในภายหลังได้ (หน้า 60)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

เงาะใช้สมุนไพรในการรักษาอาการป่วยหรือบาดเจ็บ ตัวยามีทั้งยาที่ได้จากพืชและยาที่ได้จากสัตว์ ยาที่ได้จากพืช เช่น หมากพร้าวนกคุ้ม กินผลสุกแก้เบื่ออาหาร ใบเผาให้เป็นขี้เถ้าทาทั่วลำคอเพื่อแก้ไอ เอื้องป่า คั้นน้ำในลำต้นกินแก้ปัสสาวะขัดข้อง ขุนเสนา ต้มกินบำรุงเลือด บำรุงกำลัง เป็นต้น ส่วนยาที่ได้จากสัตว์ เช่น ตับค่าง บำรุงเลือด แก้ปวดหลังปวดเอว เลือดตัวนิ่ม แก้ตาบอดกลางคืน เกล็ด แขวนแก้หอบ (หน้า 82 - 86)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เงาะ อาศัยอยู่ตามป่าเขา มีที่พักอาศัย “ทับ” หรือ “ฮะหยะ” แบบเพิงหมาแหงน หลังคามุงด้วยใบไม้หยาบๆ ภายในมีแคร่นอน เรียกว่า “ปะนง” สูงประมาณ 1 ศอก อีกด้านหนึ่งวางกับพื้น เพราะเงาะนิยมนอนหัวสูงกว่าเท้า แคร่สามารถบ่งบอกสถานภาพของเจ้าของทับ คือ หากมีแคร่นอนเดียว แสดงว่าเป็นคนโสด หากมีสองแคร่แสดงว่าแต่งงานแล้วในช่วงฤดูฝนอาจอาศัยในถ้ำ (หน้า 1,52,56) เครื่องมือในการหาอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ของเงาะ คือ บอเลา - บิลา “บอเลา”(กระบอกตุด)หรือหลอดเป่า ทำจากไม้ไผ่ ส่วน ”บิลา” คือลูกดอกที่ใช้คู่กับบิเลา ทำด้วยไม้เทา (เป็นไม้ตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง) เหลากลม ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1.5 – 2 เซนติเมตร เสี้ยมปลายให้แหลม วัดจากส่วนปลายเข้ามาประมาณ 3 เซนติเมตร และจะเหลาให้คอดกิ่ว จากนั้นนำไปลนไฟจนแกร่ง ส่วนปลายอีกด้านจะเสี้ยมให้แหลมเช่นกันเพื่อเสียบไม้ระกำซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่เกินรูของบอเลา ก่อนนำลูกดอกไปใช้ จะต้องอาบยาพิษเสมอ เพื่อเวลาเป่าถูกสัตว์ สัตว์จะได้ตายทันที ยาพิษดังกล่าว เงาะเรียก “อิโป๊ะ” ซึ่งทำจากยางต้นน่องเคี่ยวปนกับเปลือกชนช้างในใบชิง ซึ่งเป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง จากนั้นนำไปชุบที่ปลายลูกดอก จากนั้นนำไปเก็บใส่กระบอก ที่เรียกว่า “มันนึ” (หน้า 68 – 71) การแต่งกายของชนชาวเงาะเท่าที่พบมีหลายรูปแบบ แต่ทั้งนี้จะใช้วัสดุจากวัสดุธรรมชาติทั้งสิ้น เช่น ผู้ชายนิยมใช้ผ้าเตี่ยวซึ่งทำด้วยเปลือกไม้พันรอบตัว ปล่อยชายพกห้อยมาด้านหน้า ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้นที่ทำด้วยหญ้าหรือใบไม้ ใช้ผ้าคาดอก บ้างก็เปลือยอก เป็นต้น ส่วนเด็กเล็กจะเปลือยกาย ในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอธิบายว่า ผู้ชายนุ่งผ้าคาบหว่างขา เรียกว่า “นุ่งเลาะเตี๊ยะ” ชายที่ห้อยด้านหน้า เรียกว่า “กอเลาะ” คล้ายกับผ้านุ่งอย่างเขมรที่นครวัด ผู้หญิงนุ่งเตี่ยวชั้นในเรียกว่า “จะวัด” คือมีสายวัดปั้นเอวและผ้าทาบหว่างขาแล้วนุ่งห่มรอบเอว หากไม่มีผ้า จะใช้ใบไม้ เป็นต้น (หน้า 77 - 79)

Folklore

นิทานและเรื่องเล่าของชาวเงาะมีหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง “ญาเงาะ “ ซึ่งสังคมเงาะเชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจมากและเป็นผู้สร้างหรือผู้กำเนิดสรรพสิ่ง โดยมีเรื่องเล่าว่า ญาเงาะพำนัก ณ ดินแดนแสนไกลทางทิศตะวันออก ผู้เป็นภรรยาของหวัน (พระอาทิตย์) และเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ สัตว์คู่แรก ตลอดจนพืชพรรณต่างๆ เรียกว่า “พ่อเดิม - แม่เดิม” สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยฝูงผึ้งที่ญาเงาะเลี้ยงเพื่อเก็บขี้ผึ้งมาทำบัลลังก์สำหรับนั่ง ข้างบัลลังก์มีสายน้ำอันเป็นต้นน้ำของลำน้ำต่างๆตามป่าเขา ญาเงาะมี “ฮุ่ง” เป็นสัตว์คู่ใจ มีลักษณะคล้ายงูขนาดใหญ่ ยาว แผ่นหลังสีเขียว ใต้ท้องสีแดง ญาเงาะเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายบนผืนดิน ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือพืช เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นลูกหลานที่เกิดจากพ่อเดิมแม่เดิมที่ญาเงาะสร้างขึ้น นอกจากเรื่องญาเงาะแล้ว เงาะยังมีนิทานเรื่องต่างๆอีกจำนวนหนึ่ง เช่น คนมาจากไหน ตายแล้วไปไหน ข้างขึ้น – ข้างแรมเกิดขึ้นได้อย่างไร รุ้งกินน้ำมาจากไหน กลางวันกลางคืนเกิดขึ้นได้อย่างไร ฝนตก ฟ้าร้องเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมพวกเงาะจึงมีผิวดำ ผมหยิก และทำไมต้นไม้บางชนิดจึงมีใบเป็นแฉกคล้ายนิ้วมือคน เป็นต้น(หน้า 111 - 117 )

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ระหว่างปี พ.ศ. 2518 – 2520 เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์บริเวณเทือกเขาบรรทัด อย่างรุนแรง ทำให้เงาะได้รับความเดือดร้อนและบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก (หน้า 35)

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันเงาะกลุ่มเจ้าพะบางคนนิยมดื่มสุรา (หน้า 50) และเทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยนแปลง ในอดีตเงาะใช้ไม้แห้งสีด้วยหวายจนเกิดไฟ แต่ปัจจุบันนิยมใช้ไม้ขีดหรือไฟแช็ค(หน้า 59) การปรุงอาหารของเงาะในอดีตคือการเผา แต่ปัจจุบันเริ่มรู้จักการต้ม ผัด และการหลามแบบชาวบ้าน (หน้า 76) ส่วนความรู้สึกนึกคิดก็เปลี่ยนแปลง เช่น ด้านการเลือกคู่ครองของผู้หญิงชาวเงาะในอดีตจะพิจารณาจากความขยันในการออกป่า แต่ปัจจุบันจะพิจารณาจากความหล่อและความทันสมัยของการแต่งกาย (หน้า 92)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ภายในเล่นมีแผนที่จังหวัดตรัง และภาพที่เกี่ยวกับสังคมชาวเงาะร่วมร้อยรูป แต่ไม่มีคำบรรยายใต้ภาพ

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 09 เม.ย 2556
TAG เซมัง, ซาไก, เงาะ, ถิ่นที่อยู่, อาหารการกิน, ภาษา, ตรัง, สตูล, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง