สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทใหญ่,ลายสัก,แม่ฮ่องสอน,เชียงใหม่,เชียงราย
Author สายสม ธรรมธิ
Title ลายสักไทใหญ่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 39 Year 2538
Source สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

การสักของชาวไทใหญ่เป็นความเชื่อที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับจารีตประเพณี เหตุที่การสักมีอิทธิพลต่อไทใหญ่ในอดีต เนื่องจากต้องเผชิญศึกสงครามและการอพยพหนีภัย จึงต้องมีการสักอย่างแพร่หลายเนื่องมาจากการสักเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ ลดความหวาดกลัวภัยจากอันตรายต่างๆ แต่ปัจจุบันสภาพทางสังคมของไทใหญ่เปลี่ยนไป มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง มีชีวิตที่สงบสุขไม่ต้องอพยพหนีภัยอย่างอดีต จึงทำให้การสักลดบทบาทลงและมีรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม พิธีการสักยาของไทใหญ่ในพื้นที่กรณีศึกษา มีลักษณะคล้ายกัน ทั้งด้านรูปแบบ ความคิดความเชื่อ วัตถุประสงค์และส่วนประกอบของการสัก จะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของรายละเอียดบางอย่าง อาทิ ส่วนผสมของยาสัก แต่ทั้งนี้ความเชื่อในเรื่องขอการสักก็ยังเป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ เชื่อว่าการสักจะสร้างพลังอำนาจแก่ผู้ที่ได้รับการสัก พ้นจากภัยอันตรายต่างๆได้ ด้วยเหตุนี้ สังคมไทใหญ่จึงเป็นสังคมที่อาศัยความศรัทธา ความเชื่อทางพุทธศาสนาและไสยศาสตร์เป็นพื้นฐานในการสร้างขวัญ กำลังใจ และพลังอำนาจให้กับตัวเอง นอกจากนี้การสักของไทใหญ่ยังสามารถนำเอาธรรมชาติมาผสมผสานเชื่อมโยงกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ เช่น การสักรูปสัตว์ต่างๆ โดยเชื่อว่าจะทำให้สัตว์ดังกล่าวดูน่าเกรงขามมีพลังอำนาจเกินธรรมชาติของสัตว์ทั่วไป ในขณะเดียวกันการสักก็ยังก่อให้เกิดการยอมรับและเกิดความสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มชนต่างๆที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้น

Focus

ศึกษาลายสักของไทใหญ่

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ไทใหญ่

Language and Linguistic Affiliations

ไทใหญ่พูดภาษาไต ที่เรียกว่า “คำไต” ตัวอักษรไทใหญ่มีลักษณะกลมป้อมคล้ายอักษรมอญและพม่า บางครั้งไทใหญ่มักใช้ภาษาไทยวน (คำเมือง) ในการติดต่อราชการและค้าขายกับคนถิ่นทั่วไป (หน้า 7)

Study Period (Data Collection)

ไม่มีข้อมูล

History of the Group and Community

ไทใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทใหญ่เรียกตนเองว่า “ไต” อังกฤษและพม่าเรียกว่า “ชาน” (Shan) ถิ่นฐานของไทใหญ่อยู่ในรัฐฉานทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพม่า ทิศเหนือจรดรัฐคะฉิ่น ทิศตะวันออกจรดแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ทิศตะวันตกจรดมณฑลสะไกและเมืองมัณฑเลย์ของพม่า ทิศใต้จรดจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอนของไทย ประวัติศาสตร์ของไทใหญ่ไม่มีการบันทึกเป็นระบบ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นตำนานหรือพงศาวดารซึ่งมีความสับสนในเรื่องศักราชและที่ตั้งของเมือง จึงไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานยืนยันทางประวัติศาสตร์ได้ทั้งหมด บ้างก็ถือเอาพงศาวดารเมืองเมาซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรไทใหญ่โบราณเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ว่า เริ่มในปี ค.ศ.568 (พ.ศ.1111) โดยเทวบุตรสององค์ชื่อขุนลุงและขุนไล ซึ่งไต่บันไดทองคำลงมาจากสวรรค์ ณ บริเวณลุ่มแม่น้ำเมาหรือส่วยลี่ การเข้ามาของไทใหญ่ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าไทใหญ่ได้มาติดต่อสัมพันธ์กับชาวไทพายัพ (คนเมือง) ตั้งแต่ในสมัยพญามังรายที่ได้ขยายอาณาจักรล้านนาถึงเมืองไทใหญ่และได้ให้โอรสคือขุนเครือไปครองเมืองนาย ซึ่งเป็นหัวเมืองของไทใหญ่ นอกจากนี้ก็มีการติดต่อค้าขายกันระหว่างไทใหญ่และล้านนามาตลอด โดยผ่านเข้ามาในประเทศไทยทางด่านท่าขี้เหล็ก อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ด่านชายแดนที่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย และที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้การเกิดสงครามเชียงตุง ระหว่างปี พ.ศ. 2392 – 2393 และสงครามกวาดล้างของพม่าในช่วงที่มีจลาจลและเกิดความวุ่นวายในเมืองก๋องและเมืองใกล้เคียงเมื่อพ.ศ. 2428 ทำให้ไทใหญ่จำนวนมากลี้ภัยสงครามอพยพเข้าสู่ประเทศไทยในแถบชายแดนติดต่อระหว่างไทยกับพม่ามากยิ่งขึ้น (หน้า 1 - 2 )

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไทใหญ่ในอดีตดำรงชีพโดยอาศัยป่าเป็นแหล่งอาหาร ต่อมาเมื่อรู้จักชุมชนอื่นใกล้เคียงจึงไปรับจ้างทำไร่ทำนาโดยได้รับค่าตอบแทนเป็นข้าวสาร เมล็ดพันธุ์พืชเพื่อนำมาเพาะปลูก ปัจจุบันไทใหญ่เป็นสังคมที่มีลักษณะเกษตรกึ่งพาณิชย์ ไทยใหญ่ปลูกข้าวเป็นหลักและปลูกพืชผักต่างๆสำหรับบริโภคในครัวเรือน ไม่มีการซื้อขาย บ้างก็มีการแลกเปลี่ยนผลผลิตเพื่อนำไปบริโภค ในฤดูกาลเก็บเกี่ยวใช้ระบบการช่วยเหลือระหว่างกันมากกว่าเป็นระบบการจ้างแรงงาน (หน้า 5) ไทใหญ่มักทานอาหารรสไม่ค่อยเผ็ด ชอบอาหารประเภทคั่ว ผัดด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันพืช นิยมทานข้าวเจ้า ไม่นิยมทานกะปิและปลาร้า แต่จะมีการทำถั่วเน่าแข็งไว้ปรุงอาหาร (หน้า 8)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

สล่าสักยา(สล่า หมายถึงผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านใดด้านหนึ่ง)ในสังคมไทใหญ่ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากคนในสังคมรองจากพระสงฆ์ เนื่องจากสลักสักยาส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ผ่านการบวชเรียน ได้รับการอบรมหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา และได้เรียนรู้ศาสตร์หลายแขนง เช่น เป็นหมอยาสมุนไพร หมอไสยศาสตร์ และเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนและอ่านอักษรไทยใหญ่ เป็นต้น (หน้า 12)

Belief System

ไทใหญ่นับถือพุทธศาสนาและมีความเชื่อเรื่องผี พิธีกรรมและความเชื่อของไทใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ ไทใหญ่เชื่อว่าผีมีอำนาจ มีบทบาทในการควบคุมสังคมไทใหญ่ อาทิ ผีเจ้าเมือง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผีระดับนักปกครองที่ปกปักรักษาหมู่บ้าน โดยจะมีหอผีเจ้าเมืองเป็นจุดร่วมทางความเชื่อของคนในชุมชน ในทุกปีจะต้องมีพิธีกั่นตอ(ขอขมา,บูชา)ผีเจ้าเมือง มีการแห่ประโคมฆ้องกลองแห่ขบวนไปที่หอผีเจ้าเมือง ในพิธีจะมีการอัญเชิญผีเจ้าเมืองมาประทับร่างทรง โดยมีตั้งข้าว (พี่เลี้ยง) คอยเป็นผู้ถามสารทุกข์สุกดิบแทนชาวบ้าน (หน้า 6 – 7) ไทใหญ่เชื่อว่า การสักยา (สักยันต์) ทำให้คงกระพันชาตรี สามารถป้องกันอันตรายจากศัตราวุธและของมีคมต่างๆ (หน้า 10) พิธีกรรมในการสักยันต์แต่ละแบบนั้นจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดและข้อกำหนดบางประการ แต่การสักแทบทุกแบบจะต้องมีการตั้งขันครูและเงินค่าขันครู ในจำนวนที่แตกต่างกัน ดังเช่น พิธีในการสักยามหานิยม ผู้สักต้องทำขันครู 3 ขัน โดยจะใช้หว่านจะหลุ่ง(กะละมัง) บรรจุสิ่งของต่างๆ ได้แก่ ข้าวสาร 3 ลิตร ผ้าขาวและผ้าแดงอย่างละ 1 ผืน มะพร้าวอ่อน 1 ลูก สวยดอก (กรวยใส่ดอกไม้ ) 5 กรวย สวยพลู(กรวยใส่พลู) 5 กรวย เทียน 5 เล่ม และเงินค่าขันครู ซึ่งอัตราปัจจุบันแบ่งเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับขั้นต่ำ ใส่เงิน 37 บาท ผู้สักยาระดับนี้คือคนที่ยังไม่แน่ใจว่าตนจะยึดถือข้อปฏิบัติ(สัจจะ) หรือศีล 5 หลังจากที่สักยาไปแล้ว ระดับขั้นกลาง ใส่เงิน 108 บาท ผู้สักยาชั้นกลางคือผู้ที่มีความแน่ใจว่าตนไม่ดื่มสุราและไม่ประพฤติผิดศีลข้อกาเมฯ มาตั้งแต่ต้นแล้ว ส่วนระดับชั้นสูง ใส่เงินค่าขัน 270 บาท ผู้สักชั้นสูงจะต้องเป็นผู้ถือศีล 5 ได้อย่างเคร่งครัด เป็นต้น (หน้า 30 - 31)

Education and Socialization

ในอดีตไทใหญ่ได้เรียนรู้วิชาต่างๆภายในวัด ทั้งในด้านหลักธรรม ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ เวชศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ (หน้า 6) สล่าสักส่วนใหญ่เรียนรู้เรื่องการสักจากตำราสักยาซึ่งเป็นหนังสือพับสาโบราณที่ได้รับเป็นมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษหรือครูอาจารย์ของตน ตำราสักดังกล่าวเขียนด้วยตัวอักษรไทยวน(ตัวเมือง) นิยมใช้หมึกสีแดงหรือสีดำในการเขียน (หน้า 13)

Health and Medicine

ก่อนการสัก สล่าผู้สักยาจะให้ผู้รับการสักกลืนฝิ่นก้อนเล็กๆเพื่อลดความเจ็บปวด หลงจากการสักยา หากแผลมีอาการบวมพองจะรักษาโดยใช้ใบพลูลนไฟ นำมาแตะประคบเบาๆบนแผล เพราะใบพลูมีคุณสมบัติเป็นยาสมานแผลและรักษาแผลพุพอง (หน้า 26)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในอดีตการแต่งกายของไทใหญ่ผู้ชายมักนุ่งกางเกงขาก๊วย สวมเสื้อทอด้วยฝ้ายคอกลมแขนยาวแบบพม่า ผ่าอกตลอดและติดกระดุมแบบจีน สำหรับสวมเป็นเสื้อชั้นนอก เสื้อชั้นในนิยมสวมเสื้อคอปกเชิ้ตแขนยาวให้คอปกเสื้อโผล่พ้นคอเสื้อชั้นนอก โพกศีรษะด้วยผ้าแพรสีอ่อน แต่ปัจจุบันนิยมใช้ผ้าขนหนูแทน ส่วนผู้หญิงไทยใหญ่นุ่งซิ่นแบบพม่า โดยนุ่งขมวดปมเกลียว ไม่นิยมรัดเข็มขัด สวมเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาวที่มีขนาดพอดีตัว ชายเสื้อสูงอยู่เหนือเอวเล็กน้อย เสื้อที่สวมมักทำจากผ้าเนื้อบางหลากสี(หน้า 9) การสักยา (สักยันต์) ของไทใหญ่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือการสักส่วนบนและการสักส่วนล่าง การสักส่วนบนคือสักตั้งแต่เอวขึ้นไป การสักส่วนล่างคือสักตั้งแต่เอวลงไปจรดเท้า การสักที่นิยมสัก ได้แก่ สักยาข่าม (คงกระพัน)หรือสักก่ายะ สักยามหานิยม(ปิยะ) สักขาลาย(สับขาลาย) และสักข่ามเขี้ยว (สับข่ามพิษ) การสักยาข่าม (คงกระพัน)หรือสักก่ายะ เป็นการสักโดยใช้หมึกสีดำการสักยาข่ามนิยมสักเป็นรูปยันต์อักขระคาถาและรูปสัตว์ต่างๆ เช่น เสือ แมวดำและกระทิง เพื่อแสดงความเข้มแข็งอดทนและความมีพลังอันน่าเกรงขามของลูกผู้ชายและเพื่อป้องกันภัยอันตรายต่างๆทั้งจากภูตผีปีศาจ สัตว์ร้ายและอาวุธมีคมต่างๆ การสักยามหานิยม(ปิยะ) เป็นการสักเพื่อให้มีสิริมงคล ค้าขายเจริญก้าวหน้าและเป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป โดยใช้หมึกสีแดงที่ได้จากหาง(ผงแร่ธาตุชนิดหนึ่ง) ซึ่งสั่งซื้อจากประเทศพม่า นิยมสักอักขระอักษรพม่าและอักษรไทยวน(ตัวเมือง) และรูปสัตว์ต่างๆ เช่น นกยูง กระต่าย จิ้งจกสองหาง เป็นต้น การสักขาลาย(สับขาลาย) เป็นการสักตั้งแต่ช่วงเอวจรดเท้าด้วยหมึกสีดำ ลวดลายที่สักเป็นลายเส้นทึบหนา เพื่อแสดงถึงความอดทนเข้มแข็ง ส่วนการสักข่ามเขี้ยว (สับข่ามพิษ) โดยทั่วไปจะสักที่น่องไปจนถึงข้อเท้า เพื่อป้องกันพิษจากสัตว์ นิยมสักเป็นรูปแมว เสือ และอักขระคาถา ในอดีตนิยมสักทั้งชายและหญิง การสักยาของไทใหญ่มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการสัก คือ เข็มสัก(ส้าม)ที่เป็นแท่งกลม และเข็มสักปลายแบน(ส้ามปากเป็ด)ขนาดต่างๆ ส่วนผสมของยาสักข่าม คือยาข่ามหรือซวยกี บ้างก็เรียกว่า ยาคิวโออี (ยาโว) มีลักษณะเป็นก้อนคล้ายแร่ เชื่อกันว่าเป็นยาที่ฤาษีในป่าสร้างและปลุกเสกไว้ โดยส่วนใหญ่ก่อนใช้ต้องนำไปฝนกับถ้วยกระเบื้อง สีของยาที่ฝนออกมาจะมีสีแตกต่างกัน จากนั้นนำยาดังกล่าวไปผสมกับน้ำหมึกสีดำที่ได้จากเขม่าของไม้เกี๊ยะ หรือเขม่าตะเกียงน้ำมันก๊าด โดยจะใช้ใบพลูลนไฟไม้เกี๊ย และลนตะเกียงน้ำมันก๊าด และขูดเอาเขม่าที่ติดใบพลูไปผสมกับยาข่ามที่ฝนไว้ให้เป็นสีดำ ยาสักข่ามของไทใหญ่จะมีส่วนผสมหลายสูตร เช่น ยาสูตรของสล่าปุ้น ช่างเหล็กอายุ 60 ปี บ้านต่อแพ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จะนำยาข่ามผสมกับน้ำมะพร้าวอ่อน ฝนจันทน์ขาวและจันท์แดงเป็นยากระสาย จากนั้นนำยางเดื่อปล่อง ดีสัตว์และเขม่าไฟลงผสม ในขณะที่ผสมยาจะมีการเสกคาถากำกับเพื่อเพิ่มความขลังของยา เป็นต้น ขั้นตอนและวิธีการสักจะเริ่มจากการใช้เหลมจุ่มน้ำหมึก แล้วสักบนผิวหนังที่ต้องการสักพร้าเสกคาถากำกับ แต่ในกรณีที่สล่าไม่ชำนาญในการสักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ จะใช้สีหรือปากกาลูกลื่นร่างเป็นรูปยันต์หรือรูปสัตว์ลงบนผิวหนังก่อนแล้วจึงค่อยลงมือสัก หรือไม่ก็จะมีการใช้แบบสักที่ทำจากไม้แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ โดยเอาแบบสักนั้นมาทาด้วยยาสัก แล้วกดแบบลงบนผิวหนังส่วนที่ต้องการสัก จากนั้นจึงเริ่มสักตามรอยแบบที่ทำไว้ (หน้า 14 - 30)

Folklore

ไทใหญ่มีตำนานความเชื่อว่า ไทใหญ่หรือไต กำเนิดมาจากเสือ ส่วนชาวไทน้อย (ชาวไทกลุ่มอื่น) มีกำเนิดมาจากนาคาหรือนาค โดยมีเรื่องเล่าสืบมาว่า ณ ดอยมุงเมืองมีหญิงสาวกำพร้าปลูกกระท่อมอาศัยอยู่ดำรงชีพด้วยการตัดฟืนขายแลกอาหารจากคนในเมือง นอกจากนี้บนดอยมุงเมืองยังมีเสือเผือกขนาดใหญ่มากขนาดเหยียบก้อนหินแล้วปรากฏเป็นลอยลึก 1 ศอก กว้าง 1 เมตร ตัวหนึ่งซึ่งเป็นราชาแห่งเสือ เสือเผือกตัวนี้จะขึ้นดอยเพื่อสำรวจดูเมืองคน แล้วจะถ่ายปัสสาวะใส่รอยเท้าตนไว้ เมื่อหญิงสาวไปหาฟืนรู้สึกกระหายน้ำจึงดื่มน้ำที่ขังในรอยเท้าเสือ ต่อมาได้ตั้งครรภ์ คลอดบุตรเป็นหญิง เมื่อเด็กโตก็พยายามถามถึงพ่อของตน เพราะถูกชาวบ้านล้อเลียนว่า “ลูกไม่มีพ่อ” ต่อมาแม่ได้บอกลูกสาวว่าพ่อของลูกคือเสือเผือกที่อยู่ในป่า ลูกสาวจึงเดินตามรอยเท้าเสือจนพบถ้ำของพญาเสือ เมื่อพบพญาเสือ เด็กน้อยก็บอกว่าตนเป็นลูกสาวแต่พญาเสือไม่เชื่อ เมื่อเด็กหญิงแบมือให้เสือดู ปรากฏว่าที่มือทั้งสองข้างมีรอยเท้าเสือส่วนพญาเสือได้ตั้งสัตย์อธิษฐานว่าหากหญิงสาวคนนี้เป็นลูกของตนจริง ขอให้มีน้ำนมไหลออกจากปลายนิ้ว(เท้า)ของตน ก็เป็นไปตามที่อธิษฐาน พญาเสือจึงรับหญิงสาวผู้นี้เป็นลูกและเลี้ยงดูให้อยู่กับตนในถ้ำ นอกจากนี้ไกลจากป่าไม่มากนักมีเมืองชื่อเมืองติงจาระดิษย์ เจ้าเมืองมีธิดาองค์หนึ่งอายุราว 15 ปี ราชธิดาของเจ้าเมืองชอบเล่นแข่งเรือมากจึงได้ขออนุญาตเพื่อจัดงานแข่งเรือที่แม่น้ำใหญ่ โดยในขณะที่แข่งเรือเกิดพายุใหญ่มีผู้คนล้มตายกันมาก เหลือราชธิดาเพียงองค์เดียวที่รอดชีวิตอันเนื่องมาจากพระอินทร์เนรมิตกายเป็นชาวประมงมาช่วย แล้วพาไปฝากกับพระฤาษีที่สร้างอาศรมริมแม่น้ำ พระฤาษีได้เนรมิตปราสาทให้ธิดาสาวอยู่ใกล้ๆ อาศรม มาวันหนึ่งโอรสของพญานาคได้ขึ้นมาเที่ยวเมืองมนุษย์ และเห็นสาวงามในปราสาทจึงนึกรัก และขอนางจากพระฤาษี จากนั้นจึงกลับบาดาลเพื่อให้พญานาคผู้เป็นบิดาไปสู่ขอและอภิเษกสมรสอยู่ด้วยกัน ณ เมืองบาดาล ต่อมาราชธิดาตั้งครรภ์กำเนิดโอรส เมื่อโอรสอายุ 15 ปี จึงขออนุญาตออกไปเที่ยวป่าและหลงเข้าไปในดอยมุงเมือง ครั้นได้พบลูกสาวพญาเสือเผือกจึงเกิดหลงรัก ต่อมาพญาเสือได้ยกลูกสาวให้โอรสหนุ่ม จากนั้นทั้งสองจึงพากันกลับไปอยู่ที่เมืองติงจาระดิษย์ด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วมีลูกหลานสืบเผ่าพันธุ์มากมาย ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานจากเผ่าพันธุ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างเสือกับนาค ที่มักเรียกตนเองว่า “เผ่าไท(ไต)” หากเป็นเพศชาย เมื่ออายุประมาณ 15 – 16 ปี จึงสักหมึกที่ขาเป็นรูปเกล็ดพญานาคและรูปเสือ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ อันแสดงถึงความสัมพันธ์ของคนไทยทุกเผ่า (หน้า 19 - 21)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไทใหญ่พยายามปลดแอกตนเองให้เป็นอิสระจากการปกครองของพม่า ดังนั้นจึงทำสงครามจิตกับพม่าด้วยการศึกษาวิชาไสยศาสตร์ เพื่อการข่มขวัญศัตรู (หน้า 10) ในอดีตสังคมไทใหญ่เป็นสังคมปิด มีความเป็นชาติพันธุ์อย่างรุนแรง เช่น ห้ามไม่ให้ชายหญิงไทใหญ่ในหมู่บ้านแต่งงานกับคนนอกกลุ่ม (หน้า 6)

Social Cultural and Identity Change

ในอดีตสังคมไทใหญ่เป็นสังคมปิด มีความเป็นชาติพันธุ์อย่างรุนแรง แต่ปัจจุบันการกีดกันทางชาติพันธุ์ได้เสื่อมคลายลงอันเนื่องมาจากการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น (หน้า 6) การแต่งกายของไทใหญ่ในภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น สวมเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกง และกระโปรง แต่งแบบไทใหญ่เฉพาะในงานประเพณี (หน้า 9) ปัจจุบันคนทั่วไปนิยมสักยามหานิยมกันมากโดยเฉพาะผู้ชาย ส่วนผู้หญิงไม่นิยมสักเพราะกลัวเจ็บ แต่ในอดีตผู้หญิงนิยมสักเช่นกัน โดยมากสักเป็นอักขระคาถา เช่น วะ 3 ตัว วะ 5 ตัว หรือวะ 7 ตัว เป็นต้น (หน้า 18) การสักยาข่ามในสมัยก่อนต้องใส่เงินค่าขันคนละ 37 บาทแต่ปัจจุบันค่าของเงินลดลงจึงต้องใส่เงินเพิ่มขึ้นเป็น 370 บาท (หน้า 25) ปัจจุบันค่านิยมเรื่องการสักยาในชุมชนไทใหญ่เริ่มเสื่อมถอย โดยเห็นได้จากสล่าบางคนเลิกสักยาและหันมาทำเครื่องรางของขลังจำพวกยันต์และเทียนต่างๆ ที่ส่งผลด้านเมตตามหานิยมและด้านคงกระพัน การที่สังคมไทใหญ่รับวัฒนธรรมและศิลปะวิทยาการสมัยใหม่จากสังคมภายนอก ทำให้จารีตประเพณีและความเชื่อดั้งเดิมของท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไป อาทิ มีการนำสาธารณสุขขั้นพื้นฐานไปใช้ในการรักษาโรคในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อเรื่องการสัก เป็นต้น ในอดีตการสักถือเป็นค่านิยม แต่ในสังคมปัจจุบันรูปแบบของการสักได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็นค่านิยมที่คนในสังคมยอมรับ กลายเป็นตำนานความเชื่ออย่างหนึ่งที่คนทั่วไปถือเป็นเรื่องของแฟชั่น อีกทั้งค่าขันตั้งสักยาในปัจจุบันราคาสูงเกินไป ไม่คุ้มค่ากับการที่จะเสี่ยงต่อความเจ็บปวดและเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ เช่น บาดทะยักและเอดส์ เป็นต้น(หน้า 34 - 37)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

- ขันครูสักยา (หน้า 43) - ตำราสัก (หน้า 43) - ยาสักขม (หน้า 44) - ตลับบรรจุยาข่าม(หน้า 44) - ลายสักบนร่างกาย พ่อเฒ่าลน ช่างเหล็กบ้านต่อแพ อำเภอขุนยวม (หน้า 44) - สักข่ามเขี้ยว (ข่ามพิษ) ที่น่อง(หน้า 46)ล - สักมหานิยม (หน้า 46) - ตำราสักยาของสล่าแสนยี่คำ อินทรวิชัย (หน้า 51) - ตำราสักยาของสล่าเปล่ง วิเชียรสุวรรณ (หน้า 64) - ฯลฯ

Text Analyst สุวิทย์ เลิศวิมลศักดิ์ Date of Report 09 เม.ย 2556
TAG ไทใหญ่, ลายสัก, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง