|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวเขา,การสร้างภาพลักษณ์ในสังคมไทย,ประเทศไทย |
Author |
พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ |
Title |
การสร้างภาพลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
318 |
Year |
2550 |
Source |
หลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
ผู้เขียนพบว่าการสร้างภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" สามารถแบ่งได้ 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกคือก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 2420 - 2470) โดยช่วงนี้ภาพลักษณ์ของ "ชาวป่า / ชาวเขา" ถูกมองจากชนชั้นนำสยามว่าเป็นคนอื่นของสังคม เป็นคนล้าหลัง นับถือผี งมงาย ช่วงทศวรรษ 2420 2440 ชนชั้นนำสยามผลิตงานเขียนเกี่ยวกับการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ ปีพ.ศ.2455 มีการใช้คำว่า "ชาวเขา" เป็นครั้งแรก มีการใช้ภาพลักษณ์เชิงลบที่แสดงถึงความต่ำต้อย สกปรก ล้าหลัง การนับถือผีถูกมองเป็นเรื่องงมงาย ไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ตั้งแต่ทศวรรษ 2500) มีความเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนจากสถานการณ์ "ภัยคอมมิวนิสต์" อคติทางชาติพันธุ์ ภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ ถ่วงความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ทำลายป่า กลุ่ม "ชาวเขา" ที่ปลูกฝิ่นโดยเฉพาะชาวม้งถูกมองภาพลักษณ์เชิงลบจากรัฐบาล ขณะเดียวกัน "ชาวเขา" กลับถูกหาผลประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว จากภาพลักษณ์ที่ยังดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม มีความพยายามกลืนชาติรวมอัตลักษณ์ความเป็นไทยคำว่า "ชาวไทยภูเขา" จึงเกิดขึ้น มุมมองของกลุ่มคนต่างๆ ที่มีต่อชาวเขาจะแตกต่างกันไป ช่วงทศวรรษ 2420 - 2470 ชนชั้นนำสยามเป็นกลุ่มเดียวที่สร้างภาพลักษณ์ "ชาวป่า / ชาวเขา" ชาวตะวันตกที่เข้ามาในสยามก็มีมุมมองต่อภาพลักษณ์ของชาวเขาที่แตกต่างกันไป กลุ่มทหาร ตำรวจ มักมองในมุมมองของความมั่นคง กลุ่มพระสงฆ์ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ศาสนาเพื่อป้องกันภัยจากคอมมิวนิสต์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการสร้างภาพลักษณ์ความสวยงามให้กับ "ชาวเขา" เพื่อหาผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (หน้า ง / 312 - 318) |
|
Focus |
ศึกษาพัฒนาการและกระบวนการเปลี่ยนแปลงการสร้างภาพลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ "ชาวเขา" ในบริบททางประวัติศาสตร์ (หน้า ง , 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงศึกษากลุ่ม "ชาวเขา" ชาติพันธุ์ใดเป็นหลัก แต่คำว่า "ชาวเขา" ในงานชิ้นนี้ตามทัศนะของผู้เขียนเป็นคำพิเศษมีความหมายครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ถูกเรียกว่า "ชาวเขา" ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายไม่แน่นอนตามบริบทของประวัติศาสตร์ ดังนั้นการเลือกกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะศึกษาของผู้เขียนจึงแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ตามงานเขียนของพระประชากิจกรจักรในบทความ "ว่าด้วยประเภทคนป่าฤาข่าฝ่ายเหนือ" ได้จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์โดยใช้เกณฑ์ภาษาศาสตร์เป็นหลัก โดยแบ่งได้ 2 กลุ่มคือ กลุ่มแรกคือภาษาลาว ไทย(ลื้อ เขิน เงี้ยว ไทยและลาว) และกลุ่มภาษาที่ไม่ใช่ลาวไทย (ละวะ ยาง กะเหรี่ยง ข่ากลุ่มต่างๆ แม้ว หยัง ก้อ กุ้ย หนอแหน ลั้นแจ๋น เย้าหยิน มูเซอ และผีป่า) เรียกว่า "คนป่า" (หน้า 31) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้เขียนศึกษาข้อมูล 2 ช่วงเวลาหลัก ช่วงแรกสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 2420 - 2470) ช่วงเวลาที่ 2 คือสมัยระหว่าง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 2480 - 2520) (หน้า 4 - 5) |
|
History of the Group and Community |
คำว่า "ชาวเขา" เกิดขึ้นในสังคมไทยประมาณ 100 กว่าปีภายใต้บริบทการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ (หน้า 20 , 26) และหลังพ.ศ.2502 สถาบันวิจัยชาวเขากำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็น "ชาวเขา" ประกอบด้วย 9 กลุ่มชาติพันธุ์ คือ แม้ว เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ กะเหรี่ยง ลัวะ ถิ่น ขมุ (หน้า 26) เมื่อมองความหมายของชาวเขาในมุมมองทางประวัติศาสตร์ผู้เขียนได้จำแนกออกเป็น 2 ช่วงเวลาหลักคือ สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2420 - 2470) ชนชั้นนำสยามยังไม่ใช้คำว่า "ชาวเขา" เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แต่ใช้คำเรียกคนกลุ่มนี้รวมๆ ว่า "ชาวป่า / คนป่า" มีภาพลักษณ์ของความล้าหลัง ป่าเถื่อน นับถือผี ทำลายป่าไม้ (หน้า 1 - 2) และมีความหมายแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตภูเขาสูงทางภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศไทย (หน้า 28 - 29) ตามงานเขียนของพระยาประชากิจกรจักรในบทความ "ว่าด้วยประเภทคนป่าฤาข่าฝ่ายเหนือ" ระบุว่า "คนป่า" มีทั้งหมด 21 กลุ่ม บางกลุ่มถือได้ว่าเป็น "ชาวเขา" ในปัจจุบัน เช่น กะเหรี่ยง ลัวะ แม้ว พระยาประชากิจกรจักรได้สร้าง คู่ตรงข้ามระหว่างความเจริญกับความไม่เจริญ เปรียบเทียบ "ป่า" ให้ตรงข้ามกับ "เมือง" (หน้า 117) นอกจากนี้ยังมีงานเขียนของขุนธราภาคพาทีที่ให้ความหมายของ "คนป่า" ในเชิงลบอย่างมาก คือ ห่างไกลความเจริญ โง่ ไม่ต่างจากสัตว์ นอกจากนี้ยังมีบทความของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเรื่อง "ชาวป่า" ระบุว่าเป็นกลุ่มชนที่ อยู่อาศัยตามแนวชายแดนของสยาม ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตป่าและภูเขาห่างไกลความเจริญ เร่ร่อน ยากต่อการควบคุม ดังนั้นในสมัยนี้ (รัชกาลที่ 5) คำว่า "ชาวเขา" ยังไม่มี มีแต่คำว่า "ชาวป่า / คนป่า" (หน้า 31 - 34) สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การจำแนกว่ากลุ่มไหนคือ "ชาวเขา" เปลี่ยนผ่านจากชนชั้นนำสยามมาสู่ประชาชนสังคมไทยเริ่มรับรู้เรื่องราวของ "ชาวเขา" มากขึ้น จากการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จากนอกประเทศข้ามมายัง ฝั่งประเทศไทย เกิดการตื่นตัวที่จะจำแนกจัดระเบียบกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น งานเขียน "30 ชาติในเชียงราย" ของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ช่วยทำความเข้าใจ "ชาวเขา" ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ยังคงถูกมองว่าเป็น กลุ่มคนล้าหลังมีสภาพไม่ต่างจากสัตว์ (หน้า 55 - 58) กลุ่มชาติตะวันตกที่มีบทบาทต่อการสร้างภาพลักษณ์ "ชาวป่า / ชาวเขา" ในสมัยรัชกาลที่ 5 คืออังกฤษและฝรั่งเศส (หน้า 79) เฮอร์เบิร์ท วอร์ริงตัน สมิธ ชาวอังกฤษเรียก "คนป่า ว่า "Hill tribes" และ "Hill people" เป็นกลุ่มคนที่มี วิถีชีวิต "ร่อนเร่" ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน (หน้า 95) ขณะที่เคอร์ทีส มิชชันนารีอเมริกันใช้คำว่า "ชาวเขา" เรียกกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่ม ส่วนนักสำรวจชาวฝรั่งเศสใช้คำว่า "Sauvages" (โซวาจส์) หรือ "คนป่า / ชาวป่า" เป็นหลัก หรือเป็นกลุ่มคนที่ล้าหลังทางวัฒนธรรม อยู่ขั้นต่ำสุดของสายวิวัฒนาการทางสังคม ปราศจากชาติ ปราศจากประวัติศาสตร์ เป็นอนารยชน (หน้า 87 , 89) การสร้างกลุ่มชาติพันธุ์ใดให้เป็น "ชาวป่า" หรือ "ชาวเขา" ของชาวตะวันตกอยู่บนฐานแนวคิดวิวัฒนาการทางสังคมและชีวภาพ สร้างคู่ตรงข้ามให้เกิดขึ้นว่าชาวตะวันตกผิวขาวเป็นพวกสูงส่ง อยู่บนขั้นสูงสุดของสายวิวัฒนาการ (หน้า 93 - 94) ชนชั้นนำสยามมักนิยมวัฒนธรรมความรู้จากชาวอังกฤษจึงรับเอาคำว่า "Hilltribes" หรือ "Hill People" เป็นภาษาไทยว่า "ชาวเขา" ซึ่งปรากฏครั้งแรกในพระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ 2 เรื่องคือ "พระราชพงศาวดารพม่า" (พ.ศ.2455) และ "พงศาวดารไทยใหญ่" (พ.ศ.2456) ซึ่งอ้างอิงข้อมูลหนังสือจากชาวอังกฤษ หลังจากนั้นในปลายทศวรรษ 2460 คำว่า "ชาวเขา" มีการใช้อย่างแพร่หลาย (หน้า 35 - 41) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ถูกสร้างขึ้นหลายมิติเพื่อสนองเป้าหมายทางการเมือง นอกจากภาพลักษณ์ของความป่าเถื่อนแล้ว "ชาวเขา" ยังถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายความมั่นคงของชาติ ปลูกฝิ่น ทำลายธรรมชาติ เป็นตัวตลก (หน้า 1 - 2 , 183) ตั้งแต่ทศวรรษ 2500 มีงานเขียน ที่เสนอภาพว่า "ชาวเขา" เป็นตัวปัญหาของชาติในหลายๆ ด้าน (หน้า 14) ความรู้สึก "ชาตินิยม" ทำให้ "ชาวเขา" ถูกมองเป็น "คนอื่น" ของประเทศไทยและสังคมไทย (หน้า 185) ด้วยสถานการณ์คอมมิวนิสต์เริ่มแพร่กระจายในกลุ่มชาวเขา ปีพ.ศ.2502 รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้จัดตั้ง "คณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา" ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำกับดูแลชาวเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้คำว่า "ชาวเขา" เป็นคำเรียกกลุ่มชนบนภูเขาอย่างเป็นทางการ มีอยู่ 9 กลุ่มหลักคือ แม้ว เย้า มูเซอ ลีซอ อีก้อ กะเหรี่ยง ลัวะ ถิ่น และขมุ (หน้า 44 , 190 - 191) มติครม.วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2519 กำหนดความหมายของ "ชาวเขา" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในประเทศไทยมาก่อน พ.ศ.2518 และ พ.ศ.2519 ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพมาหลังจากนั้น (แม้จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับ "ชาวเขา" ก็ตาม) จะถูกเรียกว่า "ผู้อพยพ" เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศลาว (พ.ศ.2518) และประเทศพม่า (พ.ศ.2519) นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้คำว่า "ชาวไทยภูเขา" เรียก "ชาวเขา" เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นหมู่พวก (หน้า 52 - 53) ผู้วิจัยสรุปว่าการนิยามคำว่า "ชาวเขา" มีความหมายอยู่ 3 ประเภท คือเป็นการจำแนกตามที่อยู่อาศัย สองเป็น กลุ่มชนที่มีระดับสังคมในเผ่า และสุดท้ายเป็นการแบ่งจากจุดมุ่งหมายทางการเมืองเพื่อควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ที่รัฐมองว่าเป็นคนอื่น (หน้า 55) |
|
Settlement Pattern |
ภาครัฐระแวงชาวเขาว่ามีโอกาสเสี่ยงเป็นคอมมิวนิสต์ จึงพยายามควบคุมชาวเขาด้วยวิธีหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ การอพยพชาวเขามายังพื้นที่ที่รัฐจัดไว้ให้ เรียกว่า "นิคมสร้างตนเองสงเคราะห์ชาวเขา" มีการจัดตั้งที่ดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ (พ.ศ.2503) ดอยมูเซอ จ.ตาก (พ.ศ.2503) ดอยแสนใจ จ.เชียงราย (พ.ศ.2505) ที่รอยต่อ จ.พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย มีการจัดตั้ง "ศูนย์อพยพชาวเขา" ในพื้นที่การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์เพื่อให้ ชาวเขาหนีภัยคอมมิวนิสต์และไม่ประสงค์กลับไปอยู่บนภูเขาอีก และให้ "ชาวเขา" รับความเจริญจากด้านนอกได้ เร็ว (หน้า 211 - 212 , 245) ให้มีการตั้งหลักแหล่งถาวร ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอยไปเรื่อยๆ (หน้า 277) |
|
Economy |
"ชาวเขา" ถูกมองในฐานะของผู้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ภาพลักษณ์นี้เริ่มต้นสมัยรัชกาลที่ 5 และรุนแรงมากขึ้นสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวเขาถูกไล่ออกจากป่า ความเข้าใจผิดนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดในวิถีเกษตรกรรมของ "ชาวเขา" ที่ต้องย้ายแปลงเพาะปลูกไปเรื่อยๆ จนวิถีการเพาะปลูกเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นการ "ทำไร่เลื่อนลอย" "ชาวเขา" พึ่งพิงระบบการทำไร่หมุนเวียนที่ให้ชุมชนพอยังชีพได้ การเผชิญกับปัญหาดินเสื่อมสภาพทำให้ชาวเขาต้องย้ายไร่หมุนเวียนไปเรื่อยๆ และก่อนที่จะลงมือปลูกต้นไม้อื่นๆ ก็จะถูกเผาไปด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้คนภายนอกมอง "ชาวเขา" เป็นผู้ทำลายป่าไม้ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพลักษณ์การเป็นผู้ทำลายป่าของชาวเขา กินความไปถึงการจงใจทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ทำให้เกิดน้ำท่วมตามมาทั้งในภาคเหนือและภาคกลาง (หน้า 261 - 264) ชาวตะวันตกบางคนมองระบบการทำเกษตรของชาวเขาว่าเป็นแบบ "jooming" คือตัดไม้ ถางป่า และเพาะปลูกโดยใส่ขี้เถ้าเพิ่มปุ๋ยให้ดิน ส่งผลเสียมากกว่าผลดี เป็นการทำลายป่าไม้ ใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่า (หน้า 175 - 179) ภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ในฐานะผู้ทำลายป่า เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมองการตัดไม้ทำลายป่าของ "ชาวเขา" ว่าเป็น "เหตุร้าย" นำมาสู่การใช้กำลังปราบปรามด้วยความรุนแรงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ นอกจากนี้คนภาครัฐยังมองว่าการทำเกษตรกรรมของ "ชาวเขา" เป็นการเกษตรแบบไร้ประโยชน์ "ชาวเขา" จึงถูกมองว่าเป็น "คนไร้ประโยชน์" ในที่สุด พล.อ.ประภาส จารุเสถียร ประธานคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขาชี้ว่า วิธีการ "ทำไร่เลื่อนลอย" ของ "ชาวเขา" ส่งผลกระทบต่อ "ประชาชนคนไทย" เกิดอคติทางชาติพันธุ์ถึงขนาดที่รองอธิบดีกรมป่าไม้ได้เสนอการแก้ปัญหาทำลายป่าของชาวเขาว่าต้อง "บังคับให้ทำหมันไม่แพร่พันธุ์อีกต่อไป" หลังทศวรรษ 2500 รัฐพยายามพัฒนาระบบเศรษฐกิจของ "ชาวเขา" มาสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้าอย่างเต็มรูปแบบ เพราะรัฐมองว่าระบบเศรษฐกิจดั้งเดิมของ "ชาวเขา" เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ให้ "ชาวเขา" เลิกปลูกฝิ่น ตัดไม้ทำลายป่า มีการจัดตั้งโครงการหลายโครงการที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของ"ชาวเขา" ทั้งส่งเสริมปลูกพืชเงินสดหมุนเวียนตลอดปี ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ปลูกไม้ยืนต้น เป็นต้น (หน้า 245 - 248) ภาพลักษณ์ของชาวเขากับฝิ่น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกมองจากชาวตะวันตกว่าเป็นปัญหาของการใช้ดินที่ไม่คุ้มค่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 "ชาวเขา" เกือบทุกกลุ่มชาติพันธุ์มีภาพลักษณ์คู่กับฝิ่นและยาเสพติดประเภทอื่นๆ ด้วยเสมอ มีหลักฐานว่า "ชาวเขา" เริ่มปลูกฝิ่นมาตั้งแต่พ.ศ.2455 ในพื้นที่เชียงราย น่าน เด่นชัย โดยเชียงรายมีมากที่สุดถึง 1,000 ไร่ โดยฝิ่นที่ชาวม้งปลูกเรียกว่า "ฝิ่นลิ้นกระบือ" เป็นฝิ่นคุณภาพต่ำ รสชาติไม่ดี ไม่เป็นที่นิยมของคนสูบ หนังสือ "ประวัติสังเขปชนชาติ แม้ว เย้า มูเซอร์" (พ.ศ.2468) ระบุว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่ลักลอบปลูกฝิ่นมี 2 กลุ่มคือ "แม้ว" และ "เย้า" ขณะที่หนังสือ "ภูมิศาสตร์ประเทศสยาม" (พ.ศ.2468) ระบุว่ามีเพียงชาวม้งและชาวเมี่ยนเท่านั้นที่ปลูกฝิ่น (หน้า 179 - 182) ผู้วิจัยระบุว่าข่าว "ชาวเขา"กับยาเสพติดเริ่มมีปริมาณสูงตั้งแต่พ.ศ.2502 ทำให้ "ชาวเขา" โดยเฉพาะชาวม้งถูกมองว่าเป็นกลุ่มชนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายไทย ใช้ฝิ่นเพื่อความงมงายเพื่อให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ รัฐได้สร้างฝิ่นกับ "ชาวเขา" ให้เป็นเรื่องผิดปกติในสังคม ทั้งๆ ที่แต่เดิม "ชาวเขา"มองเรื่องการปลูกฝิ่นเป็นเรื่องปกติ (หน้า 283 287) |
|
Political Organization |
ภาพลักษณ์ของ "ชาวเขา" ถูกมองว่ามีส่วนร่วมเคลื่อนไหวกับคอมมิวนิสต์เป็น "ศัตรูของชาติ" ที่รัฐต้องจัดการ นับจากทศวรรษ 2500 ข่าวความสัมพันธ์ระหว่าง "ชาวเขา" ในการมีส่วนร่วมกับคอมมิวนิสต์ เริ่มปรากฏให้เห็นในหนังสือพิมพ์ มีการแพร่กระจายเสียงของวิทยุของคอมมิวนิสต์เป็นภาษาชาวเขา ขณะที่รัฐเองก็ตอบโต้โดยการตั้งสถานีวิทยุขึ้นมาเผยแพร่ข่าวสารเป็นภาษาชาวเขาเช่นเดียวกัน ตลอดทศวรรษ 2500 รัฐพยายามหาวิธีจัดการปัญหา "คอมมิวนิสต์" กับชาวเขามาโดยตลอด หลัง "วันเสียงปืนแตก" พ.ศ. 2508 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ร่วมปฏิบัติงานกับ "ชาวเขา" อย่างจริงจัง มีการตั้งฐานที่มั่น 9 แห่งในปีพ.ศ. 2511 รัฐพยายามตอบโต้คอมมิวนิสต์ด้วยการฝึก "ชาวเขา" ให้เป็นทหารและลูกเสือ ด้วยมองว่าชาวเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรบ โดยเฉพาะชาวม้งที่ถูกเพ่งเล็งจากรัฐมากเป็นพิเศษ เพราะความเชี่ยวชาญในการรบและการเคลื่อนไหวของชาว ม้งจากประเทศเพื่อนบ้าน (ประเทศลาว) หนังสือพิมพ์มีบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ของม้งในฐานะคอมมิวนิสต์ มีการตั้งฉายาให้ม้งว่าเป็น "แม้วแดง" (หน้า 188 - 207) ในตอนแรกๆ "ชาวเขา" ก็มีภาพลักษณ์ที่ถูกเหมารวมว่าเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย แต่ในปีพ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้ง "โครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา" หลังจากเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียน "ชาวเขา" และพบว่าต้องมีชีวิตที่ลำบาก และแตกมาเป็น "โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา" ในปีพ.ศ.2514 เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแทนการปลูกฝิ่น เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ชาวเขาจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ยังพระราชทานความช่วยเหลือด้านการศึกษาด้วยการก่อตั้งโรงเรียนถึง 160 แห่ง เป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของชาวเขาว่าเป็นผู้น่าสงสาร ด้อยโอกาสทางการศึกษาและสังคม เป็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็ทำให้ "ชาวเขา" ถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย (หน้า 232 - 241) |
|
Belief System |
การนับถือผีของ "ชาวเขา" ถูกนำมาเป็นเกณฑ์วัดความเจริญก้าวหน้าของสังคมว่าก้าวหน้าหรือล้าหลัง จากอิทธิพลของคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่มองว่าความเชื่อที่ต่างไปจากตน ความเชื่อในภูตผีวิญญาณมีความเจริญน้อยกว่าคริสต์ศาสนา เช่นความเห็นของมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทางภาคเหนือของไทยมองการนับถือผีของชาว ลาวว่า "คนลาวเป็นทาสของภูตผีนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสู่วาระสุดท้ายของชีวิต" และเช่นเดียวกับชาวมูเซอร์ที่ตก เป็นทาสของผีเช่นกัน แม้แต่ขุนนางชาวตะวันตกในรัฐบาลสยามก็มองว่าการนับถือผีของชาวเขาเป็นเรื่องงมงาย เช่น เฮอร์เบิร์ท วอริงตัน สมิธ ที่ระบุว่าความเชื่อของกะเหรี่ยงเป็น "การเชื่อคนง่ายและเชื่อถือโชคลางอย่างรุนแรง" และมองชาวมูเซอร์ว่าเป็นพวก "ไม่มีความคิดทางศาสนา นอกจากความกลัวภูตผีอย่างร้ายกาจ" เช่นเดียวกับความคิดของกลุ่มราชการที่มองว่าชน กลุ่ม "แม้ว" และ "เย้า" เป็นพวกไม่มีศาสนา (หน้า 163 - 171) ช่วงก่อนทศวรรษ 2500 ความเชื่อการนับถือผีของ "ชาวเขา" ไม่ถูกมองเป็นเรื่องร้ายแรง ผู้คนในสังคมมองแค่ว่าเป็นเพียงไสยศาสตร์ที่งมงาย ไม่สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ และตั้งแต่ทศวรรษ 2500 สังคมไทยมองความเชื่อการนับถือผีของ "ชาวเขา" เป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้เข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ได้โดยง่าย ทำให้รัฐมองการนับถือผีเป็นศัตรูต่อความมั่นคงอย่างหนึ่ง และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสถาบันหลักของชาติอย่างชาติ ศาสน์ กษัตริย์ การนับถือผีของ "ชาวเขา" จึงถูกมองเป็นเรื่องศัตรูของศาสนาไปด้วย จึงเกิด "โครงการพระธรรมจาริก" เข้าไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ชาวเขาด้วยจำนวนพระสงค์ที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีนับแต่พ.ศ.2508 - 2516 รวมพระสงฆ์มากกว่า 525 รูป และเกิดบทสรุปจากโครงการนี้ว่าทำให้ "ชาวเขา" เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากขึ้น อย่างไรก็ตามความพยายามของรัฐก็ไม่สัมฤทธิ์ผลมาก เพราะการยอมรับศาสนาพุทธของ "ชาวเขา" เป็นการยอมรับว่าพระสงฆ์เป็นคล้ายๆ หมอผีหรือพวกทำพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น (หน้า 222 - 232) |
|
Education and Socialization |
การมีหนังสือและการรู้หนังสือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ชนชั้นนำสยามใช้วัดระดับความเจริญ ซึ่ง "คนป่า" มักเป็นพวกที่ไม่มีหนังสือเป็นของตัวเอง แต่หยิบยืมมาจากจีน (หน้า 121) "ชาวเขา" ถูกกล่อมเกลาจากรัฐให้มีสำนึกของความเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติไทยผ่านแบบเรียน หล่อหลอมให้เกิดจินตนาการของความเป็นรัฐชาติเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการปลูกฝังความคิดทางการเมืองแบบประชาธิปไตยผ่านแบบเรียนตั้งแต่เยาว์วัยอีกด้วย (หน้า 221 - 222) ความเชื่อเรื่องผีของ "ชาวเขา" ถูกรัฐมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงนับตั้งแต่ทศวรรษ 2500 จึงเกิดความพยายามกล่อมเกลาด้วยการนำศาสนาพุทธเข้าไปเผยแพร่ด้วย "โครงการคณะพระธรรมจาริก" มีการอบรมกล่อมเกลาจิตใจชาวเขาผ่านสถานศึกษาและวัด มีการส่งเด็กชาวเขามาบวชเป็นเณรที่วัดในเชียงใหม่และกรุงเทพฯ ทุกปี จำนวนหลายคน (หน้า 226 - 232) นอกจากนี้ยังมีความพยายามปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่ ไชาวเขา" ถูกมองว่าเป็นตัวการทำลายป่าไม้ผ่านแบบเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ชี้แนะว่าพืชแบบไหนที่ "ชาวเขา" ควรจะปลูก (หน้า 276 - 277) |
|
Health and Medicine |
ช่วงทศวรรษ 2490 คนไทยหลายคนที่เดินทางไปหมู่บ้านชาวเขามักมองว่า "ชาวเขา" สกปรกอยู่เสมอ เช่นมองว่า "ชาวก้อชำระล้างร่างกายเพียงปีละ 2 - 3 ครั้ง" , "ใช้เสื้อผ้าชุดเดียวตลอดทั้งวัน" , "เหม็นสาบเหลือที่จะทนเข้าใกล้" (หน้า 250 - 253) รัฐกังวลว่าปัญหาเรื่องความสกปรก การด้อยสุขภาพอนามัยของ "ชาวเขา" อาจถูกชักนำจากคอมมิวนิสต์ให้เข้าร่วมขบวนการ เพราะมีการข่าวว่าคอมมิวนิสต์ได้ชักชวนม้งเข้าร่วมขบวนการโดยสัญญาว่าจะให้อาหารและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (หน้า 241) ปีพ.ศ.2515 รัฐได้มอบหมายให้คณะครุศาสตร์จัดพิมพ์"แบบเรียนสุขศึกษาสำหรับชาวเขา" เพื่อพัฒนาสุขภาพอนามัยให้ดีขึ้น ควบคู่กับบริการด้านสุขภาพ พยาบาลรักษาโรคภัยไข้เจ็บ (หน้า 254 255) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวตะวันตกมองการแต่งกายของ "ชาวป่า" "ชาวเขา" ว่าเป็นกลุ่มชนที่ล้าหลัง โดยเฉพาะการใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น การถอดเสื้อและดึงขากางเกงขึ้นเมื่อต้องทำงานท่ามกลางป่า ชาวตะวันตกแสดงทัศนะต่อการแต่งกายของชาวเขาว่า "แลดูเป็นสัตว์โลกที่ป่าเถื่อนที่สุดเท่าที่เคยเห็น" (หน้า 101 - 102) ชนชั้นนำสยามอย่างพระยาประชากิจกรจักรใช้เครื่องแต่งกายชี้วัดระดับความเจริญ การนุ่งผ้าน้อยชิ้นเป็นภาพลักษณ์ตัวแทนของ "คนป่า" เช่น กรณีของขมุที่เป็นป่าแท้ย่อมไม่นุ่งห่มผ้าเหมือนอย่างชาวบ้านชาวเมือง (หน้า 117) ความล้าสมัย ความสกปรกของ "ชาวเขา" ถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมบันเทิง ให้ผู้ชมตลกขบขัน ทศวรรษ 2510 มีนิยายเกี่ยวกับ "ชาวเขา" เรื่อง "แก้วกลางดง" และ "ใต้ฟ้าสีคราม" มีเนื้อหามอง "ชาวเขา" เป็นคนแปลกประหลาด เป็นตัวตลกในสังคม (หน้า 256 - 259) |
|
Folklore |
มีงานเขียนที่กล่าวถึงกลุ่มคนชาติพันธุ์หลายเล่ม บทความชิ้นแรกที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานเขียนประเภทชาติพันธุ์วรรณาของสยามคือบทความเรื่อง "ว่าด้วยประเภทคนป่าฤาข่าฝ่ายเหนือ" ของพระยาประชากิจกรจักร เมื่อปีพ.ศ.2428 เป็นบทความชิ้นแรกที่ชนชั้นนำสยามเขียนถึง "คนป่า" นอกจากนี้ "โคลงนิราศสุพรรณ" และเสภาเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" ก็ถือเป็นงานเขียนที่จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตสยามไว้มากที่สุด (หน้า 30 31) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนในสังคมมักมอง "ชาวเขา" เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์ทางสังคมวัฒนธรรมบางประการร่วมกัน แต่คำว่า "ชาวเขา" มักเป็นเพียงคำเรียกเพื่อจัดกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายและอาศัยอยู่บนภูเขา ที่มาของชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มักมาจาก 2 ลักษณะคือ 1.กลุ่มชาติพันธุ์นั้นๆ ตั้งชื่อเรียกตัวเองเช่นชาวม้งเรียกตัวเองว่า "ม้ง" และ 2.กลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่ปฏิสัมพันธ์ด้วยตั้งชื่อให้ใหม่เช่น "ชาวมลาบรี" เดิมถูกเรียกว่า "ผีตองเหลือง" ซึ่งเป็นความหมายในเชิงดูถูก (หน้า 20) "แม้ว" คนภายนอกเรียก "ม้ง" มีความหมายว่าเป็นคนป่าเถื่อน คนจีนเรียก "เมี่ยน" ว่า "เย้า" แปลว่า "ข้าทาส" หรือ "อาข่า" ถูกคนภายนอกเรียกว่า "อีก้อ" เป็นต้น (หน้า 26 - 27) อย่างไรก็ตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกลุ่มคนภายนอกดูถูกก็จะนิยามและตั้งชื่อเรียกของตนใหม่โดยมีความหมายของคำว่า "คน" (หน้า 22) และแนวโน้มการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ก็มีฐานคิดของการเคารพสิทธิของความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น เช่นใช้คำว่า "กลุ่มชาติพันธุ์" แทนที่การเรียกว่า "ชนกลุ่มน้อย" "ชนเผ่า" "ชาวเขา" (หน้า 23) นอกจากนี้คนในสังคมไทยยังเรียก "ชาวเขา" ด้วยคำต่างๆ อีก เช่น สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้คำว่า "ชาติ" และ "คนต่างชาติต่างภาษา" สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เรียกว่า "ชาวไทยภูเขา" , "บุคคลบนพื้นที่สูง" , "ชนกลุ่มน้อย" , "ชุมชนบนพื้นที่สูง" เป็นต้น (หน้า 55 - 68) ชาวตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพ "ชาวป่า" "ชาวเขา" ให้เป็นกลุ่มชนที่ดุร้ายป่าเถื่อน อย่างไรก็ตามความเกลียดชังระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่เดิมในท้องถิ่นก็มีส่วนเสริมภาพลักษณ์นั้น เช่นที่ชาวลาวมองชาวข่าว่าเป็นพวกที่ดุร้ายป่าเถื่อน (หน้า 100 - 101) |
|
Social Cultural and Identity Change |
"ชาวเขา" ถูกนำมาสร้างภาพลักษณ์ให้กับการท่องเที่ยว ถูกนำมาเป็นจุดขายเรื่องความสวยงาม ความแปลกประหลาดของหน้าตา การท่องเที่ยวลดทอน "ชาวเขา" เหลือเพียงแค่สินค้า วิถีชีวิต ความเชื่อ พิธีกรรมถูกเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับฤดูกาลการท่องเที่ยว มีการเลิกใส่ชุดประจำเผ่า แปลงบ้านมาเป็นแบบคนเมือง เลิกผลิตงานหัตถกรรม การส่งเสริมการท่องเที่ยวยังหมู่บ้านต่างๆ ของ "ชาวเขา" มีมาตั้งแต่พ.ศ.2479 ในทศวรรษ 2490 เริ่มมีสิ่งพิมพ์หลายฉบับที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเกิดขึ้นมา อนุสารอ.ส.ท.ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ให้ความสนใจการนำเสนอ "ชาวเขา" มากขึ้น ถึงขนาดมีการนำภาพ "ชาวเขา" มาลงหน้าปก อย่างไรก็ตามบางครั้งก็มีการเสนอภาพวิถีชีวิตของ "ชาวเขา" ว่าเป็นผู้สร้างปัญหาให้รัฐสอดแทรกในเนื้อหาอยู่บ้าง (หน้า 289 - 301) นอกจากนี้ภาพลักษณ์ "ชาวเขา" กับวัฒนธรรมทางเพศแบบเสรีก็ถูกนำเสนอควบคู่กัน คนพื้นราบมองว่า "ชาวเขา" เป็นพวก "ฟรีเซ็กซ์...ไม่หวงเนื้อหวงตัว" กระตุ้นนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งพยายามเดินทางไปพิสูจน์นับตั้งแต่ทศวรรษ 2490 โดยเฉพาะ "อาข่า" ที่ถูกมองว่ามีวัฒนธรรมทางเพศเสรี ผ่านเรื่องเล่า "ลานกอดสาว" และ "มิดะ" ถูกนำเสนอด้วยภาพลักษณ์ของความสำส่อน ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ชาวอาข่าเป็นอย่างมาก (หน้า 301 - 311) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตารางและภาพ เพื่อช่วยอธิบายภาพลักษณ์เกี่ยวกับ "ชาวเขา" ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ตารางที่ 3 หน้า 295 ที่แสดงจำนวนของบทความที่เขียนถึง "ชาวเขา" ในอนุสาร อ.ส.ท. ในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2504 - 2530) ภาพแสดงเครื่องประดับและหุ่นจำลองของชาวเขาของชาวเขาเผ่าต่างๆ (หน้า 210) |
|
|