สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไย้,ไต,เกาลาน,ไท,การตั้งถิ่นฐาน,ภาษา,การปกครอง,ความเชื่อ,พิธีกรรม,เวียดนามเหนือ
Author สุมิตร ปิติพัฒน์, พิเชษ สายพันธ์, นาริสา เดชสุภา, เทียมจิตร์ พ่วงสมจิตร์
Title ไย้ ไต เกาลาน : กลุ่มชาติพันธุ์ไทในเวียดนามเหนือ
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 61 Year 2546
Source สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาสำรวจวิถีชีวิตเบื้องต้นของไย้ ไต เกาลาน ในเขตจ.เลากายและเอียนไบ ประเทศเวียดนาม ผลการศึกษาพบว่า ไย้และไตเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พูดภาษาในตระกูลไต (Tai) ส่วนเกาลานอยู่ในกลุ่มไต – ถาย (Tai – Thai) ลักษณะบ้านเรือนของไย้มักปลูกติดพื้นดิน ส่วนไตและเกาลานมักยกพื้นเรือนขึ้นสูง ไย้ ไต เกาลาน มีอาชีพหลักคือการทำนา และปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง แบบแผนการแต่งงานของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 3 เหมือนกัน คือ ผู้หญิงต้องไปอยู่เรือนฝ่ายชายและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย นอกจากนี้ยังนับถือผีอื่นๆ และมีพิธีเซ่นไหว้ตามเทศกาลต่างๆ ในรอบปี ไย้มี “ย่าจิ่ม” ทำหน้าที่ร่างทรงรักษาอาการเจ็บป่วย มี “หมอ” หรือ “ต๊าว” ทำหน้าที่ติดต่อกับโลกวิญญาณ ส่วน “ไต” มี “มด” รักษาอาการเจ็บป่วย ส่วน “หมอ” เป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ส่วนเกาลานมี “องไซ” ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บป่วย และ “ไซฟู” ส่งผู้ตายไปเมืองฟ้าในงานศพ ในชุมชนทั้งสามผู้ประกอบพิธีกรรมลดลง แต่พิธีกรรมที่เคยสูญหายไปกำลังได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ เพื่อส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวของเวียดนาม (หน้าบทคัดย่อ)

Focus

สำรวจวิถีชีวิตเบื้องต้นของไย้ ไต เกาลาน ในเขต จ.เลากายและเอียนไบ ประเทศเวียดนาม (หน้าบทคัดย่อ)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ศึกษาชาวไตที่ ต.มิงเลือง ต.หัวลาว อ.วันบ่าน จ.เลากาย และศึกษาชาวไย้ที่ ต.บ้านโห่ ต.ดาวัน ในเขตอ.ซาปา และที่ ต.ก๊กซาน ต.บ้านกวา ต.เมืองวี ในเขตอ.บัดซาด จ.เลากาย และศึกษาเกาลาน ณ ต.เตินเฮือง อ.เอียนบิง จ.เอียนไบ (หน้า 2 – 3 , 47)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ไท (Tai Ethnic Groups) ในภาคเหนือของเวียดนาม พูดภาษาตระกูลไท (Tai Language Family) นักวิชาการเวียดนามจำแนกคนกลุ่มนี้จากเกณฑ์การใช้ภาษา ลักษณะการอยู่อาศัยให้เป็นพวกที่พูดภาษา “ไต – ถาย” (Tay – Thai speaking groups) แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ (1) กลุ่มไต (Tay) พูดภาษาในตระกูลภาษาไทสาขาเหนือและกลาง (2) กลุ่มถาย (Thai) พูดภาษาตระกูลภาษาไทสาขาตะวันตกเฉียงใต้ (หน้า 1) “ไย้” ถูกนักภาษาศาสตร์สากลจำแนกให้เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท (Tai Language Family) สาขาเหนือ ส่วนนักวิชาการเวียดนาม จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ไย้ให้เป็นกลุ่มที่พูดภาษาในกลุ่มไต – ถาย (Tay – Thai) (หน้า 3,11 - 15) “ไต” เป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลภาษาไท (Tai Language Family) สาขากลาง นักวิชาการเวียดนามจำแนกเป็น กลุ่มที่พูดภาษาไต (Tay) “ไต” พูด 2 ภาษาคือ ภาษาไตและเวียดนาม เวลาอยู่ในครอบครัวพูดภาษาไต ถ้าไปติดต่อราชการจะพูดภาษาเวียดนาม (หน้า 29 , 31 - 32) “เกาลาน” นักภาษาศาสตร์จำแนกให้อยู่ในตระกูลภาษาไท สาขากลาง (Tai Language Family) แต่นักวิชาการเวียดนามจำแนกให้เกาลานอยู่ในกลุ่มที่พูดภาษาไต – ถาย (Tay – Thai) (หน้า 45 , 48 - 51)

Study Period (Data Collection)

คณะผู้วิจัยลงพื้นที่เก็บข้อมูล 2 ครั้ง ครั้งแรกระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2544 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 3 – 17 เมษายน 2545 (หน้าถ้อยแถลง)

History of the Group and Community

โย้ โคตรวงศ์ของไย้มาจากกุ้ยโจว ประเทศจีน อพยพเข้ามาในเวียดนามช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เคยมีอำนาจรุ่งเรืองมาก่อน แม้แต่ราชสำนักเวียดนามยังปราบไม่ได้ ต้องพึ่งพิงกองทัพจีนมาช่วยแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่งฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลในเวียดนามถึงปราบไย้ได้สำเร็จ (หน้า 5) เกาลาน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยของซันไจ้ (San Chai) ซันไจ้มีถิ่นฐานเดิมอยู่เทือกเขา “ถังหว่านถ่ายเซิน” อยู่บนเทือกเขา “ปักเหวินเซิน” ในเขตเทือกเขาชายแดนจีนเวียดนาม โดยกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเวียดนามนี้เข้าใจว่าอพยพเข้ามาเมื่อ 400 ปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าเกาลานอพยพจากจีนเข้ามาเวียดนาม 2 เส้นทาง เส้นทางแรกเข้ามาทางมณฑลกวางตุ้งและมณฑลกวางสีของจีนพวกนี้ถูกเรียกว่า “ซันจิ๊” อีกกลุ่มอพยพลงมาทางใต้แล้วแยกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผ่านคุนหมิง พวกนี้ถูกเรียกว่า “เกาลาน” หรือ “ซันเจ้ยบ๊าน” (หน้า 45 – 46)

Settlement Pattern

หมู่บ้านไย้ที่ผู้วิจัยเข้าไปศึกษาเช่นหมู่บ้านแว่นมีการตั้งถิ่นฐานกระจายไปตามเนินเขา ไย้สร้างเรือนติดดินประกอบด้วยเรือนพักอาศัยและครัวไฟ โครงสร้างภายในเป็นโครงสร้างไม้สูง 2 ชั้น คล้ายกับเรือนกลุ่มไต – ถาย (Tay – Thai) ฝาเรือนทำด้วยดินอัด ก่ออิฐทึบ กลางเรือนเป็นห้องโถง ห้องด้านหน้าและด้านหลังของเรือนทำเป็น 2 ชั้นมีบันไดขึ้นลง ชั้นบนมักเป็นที่เก็บข้าวเปลือก ส่วนชั้นล่างมักกั้นเป็นห้องนอน ด้านหลังของเรือนเป็นห้องครัว หิ้งบูชาผีบรรพบุรุษตั้งอยู่ด้านในตรงข้ามประตู (หน้า 6 – 10) บ้านไตเป็นเรือนใต้ถุนสูง หลังคาจั่วมุงด้วยใบก้อ เรือนที่ติดถนนจะทำรั้วล้อมรอบกันวัวควายเข้ามาในบ้าน เรือนส่วนใหญ่มีเสาเรือน บันได เสาเรือนตั้งอยู่บนก้อนหิน เรือนรุ่นใหม่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี พื้นเรือนมีทั้งพื้นกระดานและพื้นฟากแล้ว แต่ฐานะเศรษฐกิจของแต่ละครัวเรือน ฝาเรือนทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะ มีเตาไฟตั้งอยู่ห้องกลางของเรือน ครัวอยู่ด้านท้ายสุดของเรือน (หน้า 28 - 30) บ้านของเกาลานใช้เสาไม้กลมเป็นเสาไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนก้อนหิน หลังคามุงใบก้อ โครงจั่ว พื้นเรือนปูฟากตลอด บันไดขึ้นเรือนทำด้วยไม้จริง หิ้งผีบรรพบุรุษอยู่กลางเรือนหันหน้าออกมาทางบันได ครัวไฟอยู่ข้างเรือน บางเรือนมีใต้ถุนสูง บางเรือนติดพื้นดิน (หน้า 47 – 48)

Demography

จ.เลากายมีประชากรประมาณ 600,000 คน แบ่งเป็น 27 ชนเผ่า ชาวกิง (เวียดนาม) เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของจังหวัด รองลงมาเป็นชาวม้ง – เย้า กลุ่มคนพื้นเมืองที่เรียกว่า “โท้” มีจำนวน 16 กลุ่ม ชาวไต (Tay) เป็นกลุ่มใหญ่สุดมีจำนวน 82,000 คน รองลงมาเป็นกลุ่มถาย (Thai) จำนวน 51,000 คน ชาวไย้จำนวน 24,000 คน ส่วนจ.เอียนไบ จากการสำรวจประชากรเมื่อปีพ.ศ.2535 มีประชากรจำนวน 640,000 คน มี 13 กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวกิง (Kinh) เป็นประชากรกลุ่มใหญ่จำนวน 54% รองลงมาเป็นไต (Tay) 17.27% เย้า (Zao) 9.1% ม้ง (Hmong) 7.7% และถาย (Thai) 6% (หน้า 1 – 2) หมู่บ้านไย้ที่คณะผู้วิจัยเข้าไปศึกษามีประชากรดังนี้ (1) หมู่บ้านแว่น ประชากร 120 หลังคาเรือน (2) หมู่บ้านโหลงหม่อ มีประชากร 300 หลังคาเรือน (3) หมู่บ้านโหลงหลาว ครอบครัวไย้ 70 ครัวเรือน ครอบครัวกิง 12 ครัวเรือน (4) หมู่บ้านโหลงเดอ ประชากร 289 คน 84 หลังคาเรือน (5) ตำบลตาวันและตำบลบ้านโห่ ประชากร 100 หลังคาเรือน (หน้า 6 -10) หมู่บ้านไตที่คณะผู้วิจัยเข้าไปศึกษามีประชากรดังนี้ (1) ตำบลมิงเลือง มี 11 หมู่บ้าน 527 ครัวเรือน เป็นชาวไต 502 ครัวเรือน เย้า 20 ครัวเรือน อื่นๆ อีก 5 ครัวเรือน (2) ตำบลหัวลาว มี 368 ครัวเรือน ประชากร 1,600 คน (หน้า 28 – 30) เกาลานที่คณะผู้วิจัยได้เข้าไปศึกษาที่ ต.เดินเฮือง อ.เอียนบิง จ.เอียนไบ มีประชากร 1,639 คน และยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อาศัยร่วมอยู่ด้วย เช่น ไต 21 คน เย้า 1,545 คน กิง 3,211 คน (หน้า 47)

Economy

หมู่บ้านไย้ที่ผู้วิจัยเข้าไปศึกษาเช่นหมู่บ้านแว่นมีการตั้งถิ่นฐานกระจายไปตามเนินเขา ไย้สร้างเรือนติดดินประกอบด้วยเรือนพักอาศัยและครัวไฟ โครงสร้างภายในเป็นโครงสร้างไม้สูง 2 ชั้น คล้ายกับเรือนกลุ่มไต – ถาย (Tay – Thai) ฝาเรือนทำด้วยดินอัด ก่ออิฐทึบ กลางเรือนเป็นห้องโถง ห้องด้านหน้าและด้านหลังของเรือนทำเป็น 2 ชั้นมีบันไดขึ้นลง ชั้นบนมักเป็นที่เก็บข้าวเปลือก ส่วนชั้นล่างมักกั้นเป็นห้องนอน ด้านหลังของเรือนเป็นห้องครัว หิ้งบูชาผีบรรพบุรุษตั้งอยู่ด้านในตรงข้ามประตู (หน้า 6 – 10) บ้านไตเป็นเรือนใต้ถุนสูง หลังคาจั่วมุงด้วยใบก้อ เรือนที่ติดถนนจะทำรั้วล้อมรอบกันวัวควายเข้ามาในบ้าน เรือนส่วนใหญ่มีเสาเรือน บันได เสาเรือนตั้งอยู่บนก้อนหิน เรือนรุ่นใหม่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและสังกะสี พื้นเรือนมีทั้งพื้นกระดานและพื้นฟากแล้ว แต่ฐานะเศรษฐกิจของแต่ละครัวเรือน ฝาเรือนทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะ มีเตาไฟตั้งอยู่ห้องกลางของเรือน ครัวอยู่ด้านท้ายสุดของเรือน (หน้า 28 - 30) บ้านของเกาลานใช้เสาไม้กลมเป็นเสาไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนก้อนหิน หลังคามุงใบก้อ โครงจั่ว พื้นเรือนปูฟากตลอด บันไดขึ้นเรือนทำด้วยไม้จริง หิ้งผีบรรพบุรุษอยู่กลางเรือนหันหน้าออกมาทางบันได ครัวไฟอยู่ข้างเรือน บางเรือนมีใต้ถุนสูง บางเรือนติดพื้นดิน (หน้า 47 – 48)

Social Organization

ไย้มีแบบแผนการแต่งงานที่ผู้หญิงต้องเข้าไปอยู่เรือนของผู้ชายหลังการแต่งงาน ไย้ยังแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ ปัจจุบันหนุ่มสาวมักเลือกคู่กันเอง เมื่อมีอายุ 16 ปีขึ้นไป พ่อแม่จะอนุญาตให้แต่งงานได้ ไย้ห้ามแต่งงานกับคนในตระกูลเดียวกันโดยนับญาติทางฝ่ายชาย การรับลูกสะไภ้มาอยู่เรือนฝ่ายชาย ถ้าเรือนนั้นมีสะใภ้อยู่ก่อนแล้ว สมาชิกครัวเรือนต้องสร้างเรือนใหม่ให้กับพี่คนโตที่แต่งงานก่อนแล้ว บางครอบครัวที่ผู้ชายเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิง เพราะฝ่ายชายยากจน ไม่มีเงินสู่ขอต้องใช้แรงงานให้กับพ่อแม่ฝ่ายหญิงตามปีที่ตกลงกัน (หน้า 21 – 23) ในอดีตไตแต่งงานโดยพ่อแม่จัดหาคู่ให้แต่ปัจจุบันหนุ่มสาวมักเลือกคู่ครองกันเอง มีข้อห้าม ห้ามแต่งงานข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ ห้ามแต่งกันเองภายในตระกูล ผู้หญิงเมื่อมาอยู่เรือนฝ่ายชายต้องเปลี่ยนมานับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย ผู้ชายมีอำนาจปกครองดูแลสั่งสอนบุตร (หน้า 39 – 41) การแต่งงานของเกาลานส่วนใหญ่พ่อแม่เป็นฝ่ายจัดหาคู่ให้ บางคู่ก็เลือกกันเอง เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงต้องมาอยู่บ้านฝ่ายชายและนับถือผีบรรพบุรุษของฝ่ายชาย หน้าที่ของชายและหญิงไม่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน การทำครัวผู้ชายก็ทำได้ (หน้า 56)

Political Organization

ระบบการปกครองของไย้มีผู้นำสำคัญ คือ ผู้นำของโคตรตระกูล ชุมชนรวมตัวในระดับหมู่บ้านเรียกว่า “โหลง” ถ้าเป็นหมู่บ้านที่อาณาเขตกว้างใหญ่เรียกว่า “เมือง” นอกจากผู้นำชุมชนในระดับผู้ปกครองแล้ว ไย้ยังมีผู้นำอาวุโสของแต่ละชุมชนเรียกว่า “ปู้แจ่” ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย (หน้า 16) ไตมี “ต๊าว” เป็นผู้นำการปกครอง โดย “ปู่แวน” คือผู้นำในระดับหมู่บ้าน “หลี่เจือง” คือผู้นำในระดับตำบล “ต๊าวกวาน” คือผู้นำในระดับตำบล 2 – 3 ตำบล (หน้า 32 – 33)

Belief System

“ไย้” นับถือผีบรรพบุรุษและผีฟ้า โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ในรอบหนึ่งปีจะมีพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษหลายครั้ง “ย่าจิ่ม” ทำหน้าที่ร่างทรงเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ไม่มีหน้าที่ส่งผี การรับหน้าที่เป็นย่าจิ่มเกิดจากการเป็นคนธรรมดาเจ็บป่วยรักษาไม่หาย เมื่อรับหน้าที่เป็นย่าจิ่มแล้วอาการต่างๆ ก็หายไป ส่วน “หมอหรือต๊าว” เป็นผู้ชายทำหน้าที่ติดต่อโลกวิญญาณ ตรวจดูอาการเจ็บป่วยว่าเกิดจากผีตนใด และทำหน้าที่ส่งผีในงานศพ เมื่อหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด ย่าจิ่มและหมอต้องทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้แม่และลูกที่อยู่ในครรภ์ก่อนถึงกำหนดคลอด ส่วนพิธีศพดั้งเดิมมักเก็บศพไว้หลายวัน แต่ปัจจุบันเก็บศพไว้ 3 วัน และหมอเป็นผู้นำในการประกอบพีส่งขวัญผู้ตายในพิธีศพ (หน้า 17 ) ผีที่ “ไต” นับถือและเซ่นไหว้มีดังนี้ (1) ผีบรรพบุรุษ คือผีพ่อผีแม่ที่ลูกหลานต้องเชิญมาบูชาที่เรือนคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข (2) ผีเมือง อยู่บนฟ้าคุ้มครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข (3) ผีบ้าน คือผีที่คอยดูแลหมู่บ้านให้สงบสุข (4) ผีน้ำ ไตเชื่อว่าลำน้ำแต่ละสายมีผีดูแลรักษาอยู่ เมื่อสร้างเหมืองฝายต้องเซ่นไหว้เพื่อความอุดมสมบูรณ์ (5) ผีดิน เวลาไถพรวนดินเพื่อเพาะปลูกต้องมีการเซ่นไหว้ผีให้ดินอุดมสมบูรณ์ ผู้ประกอบพิธีกรรมของ “ไต” มี “มด” ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บป่วย ถ้าเป็นผู้ชายเรียก “มดลาว” ผู้หญิงเรียก “มด” ขณะเดียวกัน “หมอแถน” ก็ทำพิธีรักษาอาการเจ็บป่วย “หมอผีตาย” หรือ “องหมอ” ทำหน้าที่ส่งขวัญผู้ตายขึ้นไปสวรรค์ “หมอบ้านหมอเมือง” ประกอบพิธีเสนบ้านเสนเมืองให้มีความสงบสุข “หมอยอ” เป็นหมอทำนายหรือบางคนเรียกว่า “หมอทัก” “หมอฮ้อง” ทำหน้าที่เรียกขวัญ “หมอเจ็บใส่” ทำหน้าที่เรียกขวัญให้ผู้ที่เจ็บป่วย (หน้า 33 – 39) เกาลานนับถือผีบรรพบุรุษและผีอื่นๆ อีกหลายชนิด “หม่าง” เป็นคำเรียกผีทั่วไป ผีบรรพบุรุษคือผีพ่อแม่ที่เสียชีวิตต้องเชิญมา ไว้ที่หิ้งผีบรรพบุรุษบนเรือน เกาลานเชื่อว่าตั้งไว้เพื่อถึงเวลาทำพิธีเท่านั้น ส่วนวิญญาณของผีบรรพบุรุษจริงๆ จะอยู่ที่หลุมฝังศพ บางบ้านมีหิ้งผีประจำโคตรตระกูลคอยดูแลที่ดินของตระกูล มีพิธีเลี้ยงผีนาเพื่อให้ต้นข้าวเจริญงอกงาม เกาลานเชื่อว่า “เหม่าฟาน” ที่แขวนที่หลุมฝังศพเป็นสวรรค์ 9 ชั้น เรียกว่า “เฮือนบน” มีทุกอย่างเหมือนโลกมนุษย์ เกาลานเรียกขวัญว่า “วัน” เชื่อว่าผู้ชายมี 7 ขวัญ ผู้หญิงมี 9 ขวัญ ผู้ประกอบพิธีกรรมของเกาลานมี “องไซ” เป็นหมอที่รักษาอาการเจ็บป่วย โดยเสี่ยงทายจากการโยนแผ่นไม้ 2 อัน เซ่นไหว้ผีให้ออกไป ส่วน “ไซฟู” คือหมอที่ทำหน้าที่ส่งขวัญผู้ตายไป “เฮือนบน” (หน้า 55 – 59)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

“พ่อหมอ” และ “ย่าจิ่ม” ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บป่วยของไย้ เมื่อมีผู้เจ็บป่วยต้องนำเสื้อผ้าของผู้ป่วยให้พ่อหมอดูว่าผีตนใดทำให้เกิดการเจ็บป่วย ย่าจิ่มจะตรวจดูอีกครั้งว่าสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ ถ้าได้ย่าจิ่มจะเป็นผู้รักษาด้วยการเข้าทรงและทำขวัญ (หน้า 18 – 19) อดีต “ไต” มี “หมอแถน” ทำหน้าที่รักษาความเจ็บป่วย ปัจจุบันมี “มด” หรือ “หมอ” ทำหน้าที่รักษา โดยญาติเอาเสื้อผ้าของผู้ป่วยไปให้ “หมอ” ด้วย บางคนก็ไปรักษาที่สถานีอนามัย (หน้า 37) เกาลานมี “องไซ” เป็นหมอที่รักษาการเจ็บป่วยโดยการเสี่ยงทายเพื่อดูว่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำของผีตนนั้นจริงหรือไม่ (หน้า 54)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้หญิงไย้นุ่งกางเกง เสื้อคอป้ายติดกระดุม คอเสื้อและขอบแขนขลิบด้วยผ้าสีอื่นต่างจากตัวเสื้อ ผ้าโพกศีรษะเป็นไหมพรมลายสก๊อต หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะใส่เสื้อสั้น ถ้าแต่งงานแล้วต้องใส่เสื้อยาว (หน้า 11) ผู้หญิงไตนุ่ง (ถิน) ซิ่นสีดำ คล้ายไทดำต่างกันที่สีเสื้อ หญิงไตใส่เสื้อ 2 ชั้น เสื้อตัวในเป็นเสื้อตัวสั้น ตัวนอกเป็นเสื้อตัวยาว ปัจจุบันนิยมโพกผ้าไหมพรมลายสก๊อตแบบคาดหน้าแล้วผูกชายไว้ข้างหลัง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมักสวมกำไลข้อมือเงิน ย้อมฟันดำ ส่วนผู้ชายนุ่งกางเกงและสวมเสื้อ (หน้า 31) เดิมหญิงเกาลานนุ่งซิ่น ปัจจุบันนุ่งกางเกงขายาวสีดำ เสื้อแขนยาวสีแดง – ดำ แขนเสื้อตัดจากผ้าสีแดง ตัวเสื้อมีสีดำสีแดงปนกันเล็กน้อย เสื้อยาวคลุมเข่า ผ้าคาดเอวมีหลายสี แดงดำ น้ำตาลดำ ผ้าโพกศีรษะสีดำ (หน้า 48)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไย้เรียกตัวเองว่า “ปู้ไย้” ส่วนไย้ที่อยู่ใกล้กับคนไต จะเรียกตัวเองว่า “เกิ้นไย้” สมัยก่อนคนนอกกลุ่มจะเรียกไย้ว่า “หยัง” ในช่วงฝรั่งเศสเข้ามาเวียดนาม ชาวเวียดนามมักไม่อยู่รวมกลุ่มกับไย้ ไย้มักจะอยู่รวมกับชาวไต จีน ม้ง เย้าจึงเรียกไย้ว่า “ไต” (หน้า 4 – 5) ไตเรียกตัวเองว่า “เกิ้นไต” แปลว่า “คนไต” ในอดีตชาวเวียดนามเรียกคนกลุ่มนี้ว่า “โถ” หรือ “โท้” หมายถึงคนเก่าดั้งเดิมท้องถิ่น (หน้า 27) เกาลานเรียกตัวเองว่า “ซันเจ้ย” แต่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เรียกว่า “เกาลาน” (หน้า 45)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

งานวิจัยชิ้นนี้มีภาพประกอบเพื่อให้เข้าใจงานวิจัยมากยิ่งขึ้น เช่น ภาพการแต่งกายของหญิงชาวไย้ ภาพของหมอชาวไต และภาพลักษณะเรือนของเกาลาน เป็นต้น

Text Analyst สิทธิพร จรดล Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ไย้, ไต, เกาลาน, ไท, การตั้งถิ่นฐาน, ภาษา, การปกครอง, ความเชื่อ, พิธีกรรม, เวียดนามเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง