สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ไทยพวน,ประเพณี,ความเป็นมา,ลพบุรี
Author สมคิด จูมทอง
Title วัฒนธรรมไทยพวนตำบลบ้านทราย
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) Total Pages 58 Year 2546
Source องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี
Abstract

งานเขียนกล่าวถึงประวัติความเป็นมา สังคม ชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมประเพณีของไทยพวนตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ซึ่งไทยพวนกลุ่มนี้ แต่เดิมมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองพวนแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ได้อพยพมาอยู่ประเทศไทยเป็นเวลากว่าร้อยปี ซึ่งในการอพยพมาครั้งแรกไทยพวนได้ตั้งรกรากอยู่ที่เมือง พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แต่อยู่ได้ 1 ปี เนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต จึงย้ายที่อยู่มาอยู่ที่หมู่บ้านทราย เนื่องจากเห็นว่ามีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาเหมือนกับเมืองพวน ที่เคยอยู่ในประเทศลาว

Focus

เพื่อเป็นการเผยแพร่ประวัติของชาวไทยพวน กิจกรรมของสภาวัฒนธรรมตำบลบ้านทราย และวิถีชีวิตของไทยพวนตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี (หน้าคำนำ)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ไทยพวน คือกลุ่มคนเชื้อชาติไทย ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมอยู่เมืองพวน แขวงเชียงขวาง ซ้ำเหนือ ซำใต้สิบสองปันนา สิบสองจุไทย ในประเทศลาว (หน้า 1)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาไทยพวน สำเนียงการพูดของไทยพวนที่อยู่เมืองพวนในประเทศลาว หากเป็นสำเนียงลาวจะออกเสียงสระไอ แต่ภาษาไทยพวนจะออกเสียงสระเออ หากภาษาลาวออกเสียงสระเอีย ก็จะออกเสียงสระเอือในภาษาไทยพวน (หน้า 1)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน

History of the Group and Community

ประวัติการอพยพของไทยพวนบ้านทราย ไทยพวนบ้านทรายแต่เดิมมีบรรพบุรุษตั้งรกรากอยู่เมืองพวน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ภายหลังได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอพยพมาถึงลำน้ำน่านแล้วล่องแพมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วมาตั้งที่อยู่ใหม่ที่เมืองพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แต่เมื่ออยู่ได้ 1 ปีก็เลยย้ายที่ใหม่เพื่อหาที่อยู่ที่ใกล้เคียงกับเมืองพวนในประเทศลาว ดังนั้นจึงย้ายมาตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ที่บ้านโคกพุทรา (ทุกวันนี้คือบ้านถนนแค) ตำบลถนนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี อยู่ได้ 20 ปี (หน้า 12) จึงย้ายหมู่บ้านวังเดือนห้า ซึ่งอยู่ทางเหนือของหมู่บ้านถนนแค 28 กิโลเมตร การอพยพในครั้งนั้นนำโดยครูบานาวา พระผู้ใหญ่ที่ไทยพวนบ้านทรายให้ความเคารพนับถือ (หน้า 13) ประวัติการอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยของไทยพวน แบ่งออกเป็น 4 ครั้ง มีดังนี้ (หน้า 4) 1)สมัยกรุงธนบุรีตอนปลาย เมื่อกองทัพฝ่ายไทยไปตีเมืองเวียงจันทน์และเมืองอื่นๆ จึงได้อพยพชาวเวียงจันทน์มาเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าตอนนั้นจะมีไทยพวนอพยพติดตามมาด้วย เนื่องจากในขณะนั้นเมืองเชียงขวางกับเมืองพวนอยู่ในการปกครองของไทย สำหรับการอพยพครั้งนี้ทางการไทยได้ให้ชาวเวียงจันทน์และไทยพวนมาอยู่ที่ หัวเมืองชั้นในได้แก่ ลพบุรี สระบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา(หน้า 5) 2)สมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ.2335 เมืองแถง เมืองพวน กระด้างกระเดื่องต่อเมืองเวียงจันทน์ ภายหลังจากปราบปรามเมืองแถง เมืองพวน ทางการไทยจึงให้ลาวทรงดำ(ผู้ไทยดำ) ไปอยู่เมืองเพชรบุรี ส่วนลาวพวนให้มาอยู่กรุงเทพฯ (หน้า 5) 3)สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งทำศึกปราบเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ และได้อพยพชาวพวนจากเมืองเชียงขวาง กับเมืองพวน โดยให้มาอยู่ที่ จังหวัดลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี เป็นต้น (หน้า 5) 4)สมัยรัชกาลที่ 5 ชาวพวนได้อพยพมาในช่วงที่ทางการไทยส่งกองทัพไปปราบปรามฮ่อกระทั่งเกิดปัญหากับญวน (หน้า 5)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

ตำบลบ้านทรายแบ่งออกเป็น 6 หมู่บ้าน มีบ้านเรือน 792 หลังคาเรือน มีประชากรจำนวน 3,693 คน (หน้า 11)

Economy

อาชีพ ชาวบ้านทรายทำนาเป็นนาอาชีพหลัก ภายหลังเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น เมื่อขาดแคลนที่ทำกินก็มีการทำอาชีพอื่นหลายอย่าง เช่น ทอผ้า ทำปลาส้ม หมูส้ม ทำงานรับจ้าง และอื่นๆ (หน้า30)

Social Organization

การแต่งงานหรือ ”กินดอง” (บางครั้งก็เรียก”เอาผัว เอาเมีย”) หากหนุ่มสาวรักกันหากตกลงใจจะแต่งงาน เมื่อญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอนุญาตก็จะทำพิธีสู่ขอและหมั้น จากนั้นก็กำหนดวันแต่งงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเดือนคู่ และไม่อยู่ในช่วงเทศกาลและช่วงเข้าพรรษา ในวันแต่งงาน ก็จะทำพิธีส่งเขยไปบ้านเจ้าสาว ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็จะกั้นประตูเงินประตูทอง จนถึงบนบ้าน ต่อมาก็จะประกอบพิธีบายสีสู่ขวัญ จากนั้นก็จะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีซึ่งเรียกว่า “การกินหมู” ส่วนในตอนเย็นญาติกับเพื่อนๆ ก็จะส่งตัวเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาว และจัดเลี้ยงอีกครั้ง เมื่อแต่งงานได้ 3หรือ 7 วัน เจ้าสาวก็จะไปเยี่ยมบ้านญาติเจ้าบ่าวและนำขนม เช่น ข้าวเกรียบ ขนมวงแหวนและอื่นๆ ไปฝากด้วยซึ่งเรียกว่า ”ไปคืนเฮือน” ส่วนบ้านพ่อแม่เจ้าบ่าวนอกจากฝากขนมแล้วก็จะฝากเสื้อผ้า (หน้า 28)

Political Organization

ตำบลบ้านทรายมีการปกครองอย่างเป็นทางการมีกำนันเป็นผู้นำตำบลและในแต่ละหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ ฝ่ายบริหารมีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านทราย(อบต.)บริหารงานในส่วนต่างๆ ของท้องถิ่น (หน้า 39) ส่วนการจัดกลุ่มองค์กรต่างๆ ในการทำกิจกรรม ประกอบด้วย กลุ่มพัฒนาสตรี กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มผู้สูงอายุ เป็นต้น (หน้า 40)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อของไทยพวน ไทยพวนนับถือผีและศาสนาพุทธ สำหรับสถานที่เคารพของคนในหมู่บ้านในพื้นที่ได้แก่ ศาลเจ้าปู่บ้านทรายหรือทุกวันนี้เรียกว่าศาลเจ้าพ่อสนั่น ตั้งอยู่ฝั่งคลองสนามแจง ทางด้านหน้าอุโบสถวัดทรายหลังเก่า (หน้า 15) ประเพณี ชาวบ้านทรายมีประเพณีที่ถือปฏิบัติในแต่ละเดือนดังนี้ เดือนอ้าย (1) บุญข้าวเม่า อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม- มกราคม ซึ่งอยู่ช่วงทำนาปีข้าวเริ่มออกรวง การทำบุญข้าวเม่าจะตรงกับวันพระ ทำได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม เมื่อถึงวันทำบุญ ชาวบ้านจะเกี่ยวข้าวใหม่มาตำเมื่อตำกระเทาะเปลือกออกแล้วก็จะได้ข้าวใหม่จากนั้นก็จะคลุกด้วยมะพร้าวและน้ำตาลเมื่อทำเสร็จก็จะนำไปทำบุญที่วัดในช่วงเช้าวันพระ (หน้า 24) เดือนยี่ (2) บุญข้าวหลาม ตรงกับเดือนมกราคม ซึ่งทางวัดจะกำหนดทำบุญ ก่อนถึงวันงานชาวบ้านจะไปตัดไม้ไผ่อ่อนแล้วกรอกข้าวเหนี่ยวที่ผสมด้วยน้ำกระทิ ปิดกระบอกแล้วนำไปเผาไฟ พอสุกเรียบร้อยแล้วก็จะแกะเปลือกออกก็จะนำไปทำบุญที่วัดในตอนเช้าวันพระ (หน้า 25) เดือนสาม ทำบุญกำฟ้า คือ “การสักการะบูชาฟ้า “ เพื่อเป็นการขอบคุณฟ้าที่ทำให้มีฝนตก มีน้ำทำนา (หน้า 25) ก่อนถึงวันงานคือวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 จะเตรียมอาหารคาวหวาน เผาข้าวหลาม ทำข้าวจี่ ในตอนเช้าวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3ก็จะนำอาหารไปทำบุญที่วัด (หน้า 26) ตอนบ่ายจะมีการละเล่นแบบพื้นบ้าน เช่น วิ่งสามขา ขี่ม้าส่งเมือง ชักกะเย่อ และอื่นๆ ส่วนตอนกลางคืนก็จะมีการละเล่นเช่น ลำพวน รำวง ฯลฯในวันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษเพราะการทำบุญคนในหมู่บ้านจะหยุดงานเป็นเวลา 1 วัน (หน้า 27) เดือนสี่ บุญบวชนาค จะอยู่ในช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยว ลูกชายจะบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ (หน้า 27) เดือนห้า วันสงกรานต์ อยู่ระหว่าง 13-15 เมษายน ของทุกปี ในวันที่ 13 เมษายน ชาวบ้านจะไปทำบุญที่วัด และตีกลองร้องเพลง พอวันที่ 14 จะนำอาหารไปถวายพระ (หน้า28) วันที่ 15 ทำบุญและเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์ และหยุดงานทั้งสามวัน (หน้า 29) เดือนหก บุญวิสาขบูชา กวนข้าวทิพย์ งานเลี้ยงศาลเจ้าพ่อ การทำบุญก็คือก่อนถึงวันวิสาขบูชา วันขึ้น 14 คำเดือน 6 ชาวบ้านจะทำพิธีกวนข้าวทิพย์ หรือ “ข้าวมธุปายาส “หรือบางครั้งก็เรียกว่า “ข้าวสับปะปิ “ การทำข้าวทิพย์จะทำจากสิ่งต่างๆ คือ น้ำตาล นม ถั่ว งา โดยจะนำมากวนบนเตาไฟ คนที่เริ่มกวนจะเป็นสาวพรหมจรรย์ สวมชุดสีขาว 4 คน ต่อมาชาวบ้านก็จะมาช่วยกันกวนจนกระทั่งทำข้าวทิพย์เสร็จทั้งหมด จากนั้นก็จะเตรียมไว้เพื่อนำไปทำบุญที่วัดในวันวิสาขบูชา (หน้า 29) ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 สำหรับงานเลี้ยงศาลเจ้าพ่อ ซึ่งตั้งอยู่ทิศใต้ของวัดบ้านทราย ซึ่งปกติทุกวันจะมีชาวบ้านไปเซ่นไหว้เจ้าพ่อในช่วงเช้า เพื่อแก้บนในสิ่งที่ขอไว้กับเจ้าพ่อ ส่วนการเซ่นไหว้ประจำปีชาวบ้านจะกำหนดร่วมกันว่าจะจัดวันไหน ในวันงานก็จะช่วยกันบริจาคเงินเพื่อทำอาหารไปเซ่นไหว้เจ้าพ่อจากนั้นก็จะกินข้าวร่วมกัน ซึ่งตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการขอบคุณที่เจ้าพ่อให้ความคุ้มครอง ทำให้เจริญรุ่งเรืองในชีวิต (หน้า 30) เดือนเจ็ด บุญกลางบ้าน หรือบุญลานบ้าน คือการทำบุญที่ลานของหมู่บ้าน วันทำบุญชาวบ้านก็จะนิมนต์พระมาฉันอาหารเช้า ปะพรมน้ำมนต์รับประทานอาหารร่วมกัน (หน้า 30) เดือนแปด วันอาสาฬหบูชา เข้าพรรษา การทำบุญวันอาสาฬหบูชา ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ชาวบ้านทรายจะไปทำบุญฟังเทศที่วัด สำหรับวันเข้าพรรษาซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 วันนี้ในหมู่บ้านทรายจะไปทำบุญที่วัดถวายผ้าอาบน้ำฝนและถวายเทียนพรรษา (หน้า 31) เดือนเก้า บุญห่อข้าว (สารทพวน) การทำบุญก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ก่อนวันงานชาวบ้านจะทำขนมกระยาสารท เพื่อเตรียมไปทำบุญและมอบให้กับญาติและเพื่อนบ้าน เมื่อถึงวันทำบุญตอนเช้า แต่ละบ้านจะทำห่อข้าว โดยจะใส่ข้าว อาหาร ขนม ผลไม้และอื่นๆ แล้วห่อด้วยใบตอง เท่ากับจำนวนสมาชิกครอบครัวจากนั้นก็จะเอาไปถวาย ซึ่งเรียกว่า “เวนห่อข้าว” วางไว้รอบอุโบสถ เจดีย์ หรือใต้ต้นโพธิ์ เพื่อทำบุญให้กับผีไร้ญาติ โดยจะวางให้เสร็จก่อนตะวันจะส่องแสง ช่วงสายก็จะนำอาหารไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ช่วยบ่ายก็จะปั้นดินเหนียวเป็นรูปข้าวของที่ใช้ในครัวเรือน ปั้นวัว ปั้นควาย และสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ใส่กระด้งแล้วนำไปวางที่ทางสามแพร่ง ซึ่งขั้นตอนนี้ว่าส่ง “ผีย่าผีเกียง” คนที่ถือกระด้งจะต้องเดินหน้าไม่หันหลังกลับด้านหลังพอวางกระด้งเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้มีดเล่มเล็กๆ ขีดกากบาท บนถนนที่จะเดินกลับบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ผีเดินมาพร้อมด้วยขณะกลับบ้าน ในช่วงเย็น ลูกหลานจะไปรับตา ยายที่ไปทำบุญที่วัดกลับบ้าน สำหรับผีย่า ผีเกียง ก็จะให้ค้างที่บ้านหนึ่งคืน เจ้าของบ้านจะเตรียมอาหารไว้ให้ผี เมื่อถึงตอนเช้าก็จะพาผีย่า ผีเกียง ไปส่งที่ทางสามแพร่งเช่นเดิม (หน้า 32) เดือนสิบ บุญแหวนต้นทาน คือการทำบุญที่มีที่บ้านทรายในอดีต สำหรับการทำบุญแหวนต้นทานนั้น ชาวบ้านจะทำบุญด้วยพืชผลไม้ต่างๆ เช่น ฟักแฟง ฟักเขียว ผัก แตงกวา มะละกอ ขนุน ส้มโอ ฯลฯ เนื่องจากในอดีตที่บ้านทรายอุดมสมบูรณ์มีพืชผักผลไม้จำนวนมาก (หน้า 33) เดือนสิบเอ็ด ออกพรรษา ตักบาตรเทโว ทอดกฐิน คือวันออกพรรษาจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 วันนี้คนในหมู่บ้านจะไปทำบุญที่วัด ส่วนการตักบาตรเทโวจะมีขึ้นหลังวันออกพรรษา 1 วันคือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 การทำบุณคนจะนำอาหารแห้งและขนมมาทำบุญตักบาตรเทโวที่วัด สำหรับงานทอดกฐินจะอยู่ในช่วงเวลาไม่เกิน 1 เดือน หลังจากวันออกพรรษา นับจากวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 กระทั่งถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (หน้า 33) เดือนสิบสอง ทำบุญเทศน์มหาชาติ, เส่อ(ใส่)กระจาด การทำบุญเส่อกระจาดหรือใส่กระจาดจะทำพิธีหลังจากวันออกพรรษา ในช่วงเดือน 12 โดยจะทำก่อนวันเทศน์มหาชาติ 1 วันบางครั้งก็เรียกว่าวันตั้งบุญมหาชาติ (หน้า 33) ในวันเส่อกระจาด จะไปเชิญญาติพี่น้องที่อยู่หมู่บ้านอื่นมาช่วยเตรียมงาน โดยเจ้าของบ้านจะเตรียมอาหารไว้ต้อนรับเช่นขนมจีน น้ำยา ขนมหวาน ข้าวต้มมัด ส่วนคนที่มาช่วยงานก็จะนำสิ่งของมาเส่อ(ใส่)กระจาดได้แก่ กล้วย อ้อย ส้ม ส้มโอ ผลไม้อื่นๆ รวมทั้งธูป เทียนและเงิน ใส่กระจาด เมื่อช่วยงานแล้วเจ้าภาพก็จะให้ข้าวต้มมัดคนละมัดซึ่งเรียกว่า “คืนกระจาด” ในวันต่อมาจะเป็นวันเทศน์มหาชาติหรือบุญพระเวศ คนในหมู่บ้านจะนำอาหารคาวหวานไปทำบุญและฟังเทศน์ที่วัด สำหรับการเทศน์มหาชาติ มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าใครฟังเทศน์ได้ครบทั้ง 13 กัณฑ์ภายในวันเดียวจะได้บุญมาก (หน้า 34)

Education and Socialization

ในพื้นที่มีโรงเรียนระดับประถมศึกษา 1 แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอีก 1 แห่ง (หน้า 11)

Health and Medicine

สถานรักษาพยาบาล ตำบลบ้านทราย มีสถานีอนามัย 1 แห่ง (หน้า 11) การรักษาแบบพื้นบ้าน ต้นหมี่ ผู้เขียนได้เดินทางไปบ้านหมี่ เมืองพวน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว โดยได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับต้นหมี่ที่พบว่า ต้นไม้ชนิดนี้เปลือกมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคพยาธิวัว ควาย ใบหมี่ถ้าสัมผัสจะมีอาการระคายเคือง ส่วนต้นที่มีขนาดใหญ่สามารถตัดมาสร้างบ้านเรือน (ภาพหน้า 38)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เจดีย์ครูบานาวา ชาวบ้านทรายสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ครูบานาวา พระผู้นำสร้างวัดบ้านทราย หลังจากที่ชาวบ้านได้ย้ายที่อยู่มาจากบ้านถนนแค เมื่อ พ.ศ.2399 มาอยู่ทางทิศตะวันตกของวังน้ำใหญ่ ชาวบ้านได้ร่วมกันสร้างเจดีย์หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ภายในเจดีย์บรรจุอัฐิของครูบานาวา โดยสร้างไว้ทางทิศตะวันตกของอุโบสถวัดบ้านทราย เจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูน แบบย่อเหลี่ยม 4 มุม ฐานรูปสี่เหลี่ยมจุตุรัส มีความยาวด้านละ 2 วา สูง 4 วา ส่วนบน ส่วนบนเป็นรูปดอกบัวรับกับฐานระฆังคว่ำ (หน้า 14) อุโบสถวัดบ้านทราย เป็นเครื่องบ่งบอกอย่างหนึ่งว่าไทยพวน อพยพมาจากทิศใด เช่น ลักษณะอุโบสถวัดบ้านทรายหลังปัจจุบันนั้นสร้างเหมือนอุโบสถวัดบ้านถนนแค ที่เคยอยู่ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ในที่ตั้งในปัจจุบัน รูปแบบของอุโบสถมีลักษณะใกล้เคียงกันเช่นกว้าง 3 วา ยาว 4 วา มุขด้านหน้ามี 1 มุข ประตูหน้า 1 บาน หน้าต่างไม้มีข้างละ 2 บาน หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ช่อฟ้ามี 3 ช่อ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้า 2 ช่อและอีก 1 ช่อ อยู่ด้านหลัง ในการบอกทิศทางอุโบสถวัดถนนแคหันไปด้านทิศตะวันออก ซึ่งบอกทิศทางที่อพยพมาจากเขาสามยอด สำหรับอุโบสถวัดบ้านทรายหันไปด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบอกว่าย้ายมาจากบ้านถนนแคซึ่งอยู่ทางทิศใต้ (หน้า 16)

Folklore

ตำนานเมืองพวน เรื่องเล่ามีอยู่ในยุคที่เจ้าชมภู เป็นเจ้าเมืองพวน ขณะนั้นเมืองพวนได้ขึ้นกับเมืองหลวงพระบางโดยจะส่งดอกไม้ทองเป็นเครื่องบรรณาการให้หลวงพระบางปีละ 2 ตำลึง และในเวลานั้นเจ้านันท์ เป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินของไทยทรงส่งพระราชสาส์นถึงเจ้าชมภู ให้ยกกองทัพไปทำศึกกับเมืองหลวงพระบาง หลังจากทำสงครามเจ้าชมภูประสบชัยชนะฝ่ายเจ้านันท์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้ยกทัพไปปราบเจ้าชมภู เมื่อเจ้าชมภูแพ้จึงจับตัวมาที่เมืองเวียงจันทน์ (หน้า 2) และสั่งให้ประหารชีวิตเจ้าชมภู โดยให้แทงด้วยหอก เมื่อเพชฌฆาตนำตัวเจ้าชมภูไปลานประหารก็เกิดปาฏิหาริย์เมื่อฟ้าได้ผ่าหอกที่มือเพชฌฆาตหัก เมื่อเจ้านันท์รู้จึงยกเลิกการประหารและให้เจ้าชมภูกลับไปปกครองเมืองพวนเหมือนในอดีต (หน้า 2)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

เมืองพวนแขวงเชียงขวาง ระหว่างวันที่ 22-27 ตุลาคม 2545 ผู้เขียนได้เดินทางไปที่เมืองพวนเชียงขวาง ซึ่งประกอบด้วยเมืองต่างๆเช่น เมืองแปก (โพนสะหวัน) เมืองคูน เมืองคำ เมืองสุย เมือง มอก เมืองแฮต เมืองภูกูด เมืองท่าโทม (ภาพหน้า 35)

Map/Illustration

ภาพ ต้นโพธิ์วัดบ้านทราย (หน้า 15) ครูบานาวา (หน้า 21) เมืองเชียงขวาง (หน้า 35) เมืองโพนสะหวัน,เมืองคูน (หน้า 36) ทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง (หน้า 37) ต้นหมี่ (หน้า 38)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 09 เม.ย 2556
TAG ไทยพวน, ประเพณี, ความเป็นมา, ลพบุรี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง