|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขมุ,การอพยพ,แรงงาน,ผลกระทบ,น่าน |
Author |
นิพัทธเวช สืบแสง |
Title |
การอพยพแรงงานของชาวเขาเผ่าขมุ : สถานการณ์และผลกระทบต่อชุมชน |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
20 |
Year |
2539 |
Source |
สถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม |
Abstract |
จากงานศึกษาชาวขมุบ้านน้ำสอดใต้ พบว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการอพยพมีดังนี้ 1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการไม่สามารถผลิตไม้แปรรูปได้อีกต่อไป ทำให้การเกษตรแบบยังชีพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ แม้ว่าจะเคยมีความพยายามในการทำการเกษตรแบบการตลาดแต่ก็ต้องล้มเลิกไป เพราะการกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จนทำให้เกิดการอพยพแรงงานสูงถึง 41 ครอบครัวจาก 45 ครอบครัวทีเดียว 2. ปัจจัยภาวะตลาดแรงงาน การอพยพแรงงานนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการแรงงานในประเทศ ซึ่งผู้วิจัยได้แสดงถึงว่าภาวะการขาดแคลนแรงงานในประเทศในขณะนั้นเป็นปัจจัยส่งเสริมการอพยพแรงงาน 3. ปัจจัยทางด้านการศึกษา ผู้วิจัยพบว่าในจำนวนแรงงาน 58 คน นั้นมีจำนวนถึง 43 คนที่จบชั้นประถม 6 และวิเคราะห์ว่าการที่ได้รับการศึกษา สร้างให้ชาวขมุมีทักษะในการพูดเขียนอ่านภาษาไทย ทำให้เกิดความพร้อมในการ อพยพ นอกจากนี้งานวิจัยยังแสดงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการอพยพแรงงานทั้งในด้านสังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อชุมชน ซึ่งได้แก่ ก่อให้เกิดการปรับตัวของชุมชน กล่าวคือมีการพัฒนาการเกษตร และการเลี้ยงสัตว์แบบถาวรมากขึ้น กว่าแต่เดิมที่เป็นการเกษตรแบบยังชีพ รวมถึงข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งได้แก่คำแนะนำให้รัฐมีนโยบายชัดเจนเรื่องสิทธิในที่ดินของชาวเขา การพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนของชาวเขา การจัดการศึกษาที่เหมาะสม และการบริหารจัดการด้านการอพยพแรงงานให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม |
|
Focus |
มุ่งศึกษาลักษณะ ปัจจัย และสาเหตุ ในการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตร หรือการอพยพแรงงานของชาวเขาเผ่าขมุ และผลกระทบที่เกิดต่อเศรษฐกิจและสังคมของชาวเขาเผ่าขมุ |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยได้สรุปจากเอกสารทางการศึกษาว่า การอพยพแรงงานในระดับมหภาคของชาวชนบทนั้น มีสาเหตุมาจากภาวะการขาดแคลนที่ดิน การสูญเสียที่ดิน และปัญหากระบวนการผลิตในภาคการเกษตร ประกอบกับการมีความต้องการแรงงานในภาคบริการและอุตสาหกรรมทั้งในและประเทศ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กิดการอพยพแรงงาน(หน้า 3) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวขมุในหมู่บ้านน้ำสอดใต้มีถิ่นฐานที่มาในประเทศลาว และเดินทางเข้ามายังจังหวัด แพร่ และน่าน เพื่อมารับจ้างแรงงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ของชาวอังกฤษซึ่งเป็นผลจากสนธิสัญญาบาวริ่ง ระหว่าง พ.ศ. 2393 -2439 (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่าง เดือน มกราคม 2537 - กันยายน 2538 |
|
History of the Group and Community |
ผู้วิจัยระบุว่าไม่อาจระบุได้ว่าหมู่บ้านน้ำสอดใต้ได้ถูกตั้งขึ้นในยุคสมัยใด แต่อาจ สันนิษฐานได้ว่าชาวขมุที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่เดินทางมาจากประเทศลาว เพื่อมารับจ้างแรงงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ของชาวอังกฤษซึ่งเป็นผลจากสนธิสัญญาบาวริ่ง ระหว่าง พ.ศ.2393 -2439 โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าในเขตสัมปทานป่าไม้ในจังหวัดแพร่ และน่าน ชาวอังกฤษได้จ้างชาวขมุมาเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมป่าไม้ดังกล่าว ดังนั้นการก่อตั้งหมู่บ้านนี้จึงน่าจะมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 100 ปีแล้ว (หน้า 6) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะหมู่บ้านน้ำสอดใต้มีสองหย่อม หย่อมแรกเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของหมู่บ้านมีลักษณะการตั้งบ้านเรือนแบบกระจุกอยู่ระหว่างหุบเขา มีถนนผ่านกลางหมู่บ้าน หย่อมที่สองตั้งอยู่เรียงรายไปตามสองข้างทางถนนที่เข้าหมู่บ้านห่างกันประมาณ 200 เมตร (หน้า 4) |
|
Demography |
หมู่บ้านน้ำสอดใต้ประกอบด้วยครัวเรือน 38 ครัวเรือน 45 ครอบครัว ประชากร 169 คน ประกอบด้วยเพศชาย 86 คน หรือร้อยละ 50.89 เพศหญิง 83 คน หรือร้อยละ 49.11 เป็นประชากรวัยแรงงาน 132 คนหรือร้อยละ 78.11 วัยเด็ก 30 คนหรือร้อยละ 17.75 และวัยชรา 7 คน หรือร้อยละ 4.14 มีขนาดครอบครัวเฉลี่ย 3.75 คน ขนาดครัวเรือนเฉลี่ย 4.45 คน (หน้า 5) |
|
Economy |
ในสมัยก่อนที่จะมีการอพยพแรงงาน ผู้วิจัย กล่าวว่า ลักษณะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านน้ำสอดใต้เป็นระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ (6) ซึ่งประกอบไปด้วย การเกษตรแบบยังชีพ และอาชีพนอกการเกษตรควบคู่กันไป ในกรณีของบ้านน้ำสอดใต้ คือ การผลิตไม้แปรรูปซึ่งได้สืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ จากการเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ของอังกฤษและหลังจากสิ้นสุดสัมปทานดังกล่าวในปี 2439 ชาวขมุจึงได้ใช้การแปรรูปไม้ในการหารายได้ต่อเนื่องมายาวนาน และต่อมาเกิด พ.ร.บ. ป่าไม้ปี 2532 มีผลให้ยกเลิกการสัมปทานป่าไม้ พ.ร.บ. ป่าไม้ 2482 หรือตามที่ชาวบ้านเรียกว่ากฎหมายปิดป่า(หน้า 8) จึงทำให้เกิดการอพยพออกไปหางานทำนอกหมู่บ้านอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน |
|
Belief System |
ขมุถือว่าพิธีปีใหม่ที่มีการประกอบพิธีในเดือนเมษายนของทุกปี เป็นพิธีที่มีความสำคัญที่สุด สมาชิกทุกคนถูกคาดหวังให้เข้าร่วมพิธีปีใหม่ ดังนั้นชาวขมุที่ออกไปประกอบอาชีพนอกหมู่บ้านจะกลับมาร่วมพิธีปีใหม่ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ ชาวขมุยังมีพิธีกรรมย่อยๆ อีกหลายพิธี เช่น พิธีบายศรีสู่ขวัญ พิธีมัดขวัญ พิธีเซ่นไหว้ผีเรือน พิธีไหว้ครู และพิธีส่งเคราะห์ (หน้า 8) |
|
Education and Socialization |
ผู้วิจัยพบว่า ชาวขมุส่วนใหญ่เห็นว่าการอพยพแรงงานก่อให้เกิดความเหินห่างครอบครัว และให้เกิดการวิตกห่วงใยสมาชิก จึงได้มีการปรับตัวเพื่อทำให้การอพยพแรงงานมีน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น การทำนาดำ กล่าวคือ หลังจากปี 2533 ได้มีการพัฒนาการปลูกข้าวนาดำขึ้นจนปัจจุบันครอบครัวที่มีนาข้าวนาดำนั้นมีอยู่ถึง 35 ครอบครัว ซึ่งให้ผลผลิตพอเพียงต่อการบริโภคลดการอพยพแรงงาน นอกจากนี้ ก็มีการพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ปัจจุบันมีการเลี้ยงวัวอยู่ถึง 350 ตัว ซึ่งเป็นความพยายามที่จะพัฒนาการเกษตรที่แต่เดิมเป็นแบบยังชีพให้เป็นแบบถาวรมากขึ้นเพื่อดึงคนไม่ให้อพยพได้มากขึ้น (หน้า 15-16 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
แรงงานที่อพยพออกไปส่วนมากเป็นแรงงานชายที่อยู่ในวัยช่วงต้นของวัยแรงงาน ส่วนใหญ่นิยม ขายแรงงาน ได้แก่ กรรมกร ลูกจ้างภาคเกษตร โรงงาน จังหวัดที่ออกไปมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ เพชรบูรณ์ และฉะเชิงเทรา |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้วิจัย พบว่าผลกระทบจากการอพยพแรงงานที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมในหลายๆ ประเด็นดังนี้ 1.ทำให้โครงสร้างประชากรในชุมชนเปลี่ยนแปลงไป คือ ประชากรวัยแรงงานอยู่ชุมชนน้อยลง อัตราส่วนระหว่างวัยพึ่งพิงกับวัยทำงานเพิ่มขึ้น 2. เกิดปัญหาเด็กและคนชราขาดผู้ดูแล 3. การเพิ่มของประชากรมีแนวโน้มลดลงหลังเกิดการอพยพแรงงานวัยแรงงานอยู่ในชุมชนน้อยจึงทำให้การแต่งงานเกิดขึ้นได้ยากส่งผลให้อัตราการเกิดลดลง 4. สตรีรับภาระมากขึ้นต้องรับภาระในครอบครัวช่วงที่ผู้ชายไม่อยู่ 5. มีการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติน้อยลง 6. เกิดปัญหาการสืบทอดวัฒนธรรมชุมชน เนื่องจากประชากรวัยหนุ่มสาวอยู่ในชุมชนน้อยลงทำให้ขาดการเรียนรู้ และประสบการณ์ในการประกอบพิธีกรรมในชุมชน และมีความรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมน้อยลง 7. เสียโอกาสทางการพัฒนา ทำให้ชุมชนขาดสื่อกลางที่จะนำความรู้ใหม่ๆเข้ามาพัฒนาชุมชน 8. ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมการบริโภคเข้าสู่ชุมชนอย่างรวดเร็วมากขึ้น (หน้า 18-19) |
|
Other Issues |
ผู้วิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะจากงานศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนา ดังนี้ 1. การอพยพแรงงานของชาวขมุมีสาเหตุจากปัญหาทางเศรษฐกิจ อันมีผลมาจากการใช้นโยบายของรัฐด้านทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นรัฐจึงควรมีนโยบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน และสิทธิในการใช้ทรัพยากรของชาวเขา 2. การที่ชุมชนจะคงอยู่ได้ต้องมีการพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน จึงสามารถป้องกันการอพยพของแรงงานได้ 3. การศึกษาจะสามารถทำให้เยาวชนมีประสบการณ์ และได้ทักษะวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชนมากขึ้น ทำให้เยาวชนยังคงอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมของตนเองได้ 4. การอพยพแรงงานเป็นปรากฏการทางสังคมที่เกิดจากการพยายามแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงควรมีการบริหารจัดการเกี่ยวกับอพยพแรงงาน ให้ไปในทางที่พึงประสงค์ |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัย แสดงตารางข้อมูลทางสถิติดังนี้ ลักษณะทางประชากรชาวขมุหมู่บ้านสอดน้ำใต้(1) ลักษณะของประชากรผู้อพยพแรงงานชาวขมุหมู่บ้านสอดน้ำใต้ (หน้า 9-13) |
|
|