|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,สังคม,วิถีชีวิต,สกลนคร |
Author |
วิภาดา อินทรพาณิชย์ |
Title |
บทบาทเครือญาติของชาวผู้ไทบ้านธาตุ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
252 |
Year |
2542 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา (เน้นมนุษยศาสตร์) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงเครือญาติและโครงสร้างครอบครัว เครือญาติและบทบาทเครือญาติของผู้ไทบ้านธาตุ ตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร โดยในกลุ่มที่เป็นประชากรศึกษาประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัว 50 คน จาก 12 ตระกูลผู้นำหมู่บ้านและผู้รู้ต่างๆ ซึ่งประชากรในพื้นที่ศึกษาเป็นผู้ไทกะปองที่อพยพมาจากประเทศลาวในหลายช่วงเวลาด้วยกัน ซึ่งจากการศึกษาระบุว่า โครงสร้างครอบครัวของผู้ไทบ้านธาตุเป็นแบบครอบครัวขยายความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมีลักษณะเป็นแบบ 7 ชั่วอายุคน โครงสร้างเครือญาติเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะคือการแต่งงาน และเครือญาติโดยสายเลือด และมีการเพิ่มเครือญาติแบบมีพ่อล่ามจึงทำให้เครือญาติมีความกว้างขวาง ทำให้คนทั้งหมู่บ้านเกี่ยวข้องเป็นญาติกันมีการช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ เช่น การปกครองหมู่บ้าน การศึกษา การดำรงชีวิต การประกอบพิธีทางความเชื่อ ฯลฯ |
|
Focus |
ศึกษาโครงสร้างครอบครัวและเครือญาติในวิถีชีวิตของผู้ไทบ้านธาตุ (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้ไทกะปอง ผู้ไทบ้านธาตุ เชื่อว่าเป็น ผู้ไทกะปอง ซึ่งจากคำบอกเล่ามีที่มาหลายข้อสันนิษฐาน เช่น ผู้ไทกะปองเมื่อก่อนนี้อพยพมาจากเมืองนาน้อยอ้อยหนู แคว้นสิบสองจุไท ซึ่งอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำแท้หลวง หรือ ซงกอย (แม่น้ำแดง) ต่อมาเมืองนาน้อยอ้อยหนูเกิดความแห้งแล้งเพาะปลูกข้าวไม่ได้ผล ขุนเพายาว เจ้าเมืองนาน้อยอ้อยหนูมีลูกชาย 2 คนชื่อเจ้าหุน กับเจ้าหาญ จึงนำประชาชนย้ายไปตั้งเมืองใหม่ซึ่งอยู่ในบริเวณภูเขาในภูอ้าก ติดเขตแดนประเทศเวียดนาม เจ้าหาญได้ตั้งชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองกะปอง ในภายหลังเมื่ออพยพเข้ามาอยู่ฝั่งประเทศไทยจึงเรียกกลุ่มของตนว่า ผู้ไทกะปอง ตามชื่อเมืองที่เคยอยู่ (หน้า 3) อีกข้อสันนิษฐานบอกว่า คำว่า กะปองหรือกะป๋อง เป็นชื่อแม่น้ำเมื่อตั้งเมืองจึงตั้งว่าเมืองกะปอง และเรียกตนเองว่าไทกะปองเมื่อย้ายมาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุระบุว่าเมืองกะปองหมายถึงเมืองเซโปน ในทุกวันนี้ ซึ่งคาดว่ามาจากในสมัยรัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสได้ทำการสำรวจแม่น้ำที่ชื่อว่า Xe Pon(ออกเสียงว่า ปอง ในภาษาฝรั่งเศส ส่วนคำว่า Xe ภาษาฝรั่งเศสหมายถึง ลำน้ำใหญ่) (หน้า 23) สำหรับข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งบอกว่า กะปอง หรือ กระป๋องมาจากคำว่า ขมอง หมายถึง สมองในภาษาไทย ส่วนผู้ไทจะเรียกกะโหลกศีรษะว่า กะป๋อง ขมอง คาดว่ามาจากลักษณะที่ผู้ไทมีความเฉลียวฉลาด (หน้า 24) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาผู้ไท เป็นภาษาย่อยของภาษาตระกูลไทย-ลาว เสียงพยัญชนะผู้ไทมีหน่วยเสียงพยัญชนะ 25 หน่วย (หน้า 50 ดูตารางหน้า 51) ดังตัวอย่างดังนี้ ภาษาผู้ไท ภาษาไทยกลาง ปะ ปาก ฝะ ฝาก เลอะ เลือก (ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 52) เสียงพยัญชนะ ข บางตัวออกเสียงเป็นตัว ห ตัวอย่างเช่น แขน- แหน เขียง-เหง เสียงพยัญชนะ ร ออกเสียงเป็น ฮ ตัวอย่างเช่น เรือ-เฮอ รอย-ฮอย (หน้า 52) ภาษาผู้ไทสระผสมไม่มี ตัวอย่างเช่น เอียะ เอีย จะใช้เสียง เ- แทนเสียง เอีย เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาไทยกลาง seen เสง sian เสียง mee เม่ mia เมีย ฯลฯ (ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 52,53) ตัวอย่างคำเรียกเครือญาติของผู้ไทได้ยกตัวอย่างไว้ดังนี้ การใช้คำสำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงฝ่ายพ่อ คำผู้ไท คำอ่าน คำไทยกลาง ความหมาย Puu thoot ปู่โทด ปู่พ่อ พ่อของพ่อของพ่อ yaa thoot หย่าโทด ย่าพ่อ ย่าของพ่อของพ่อ ฯลฯ(ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 115) การใช้คำสำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงฝ่ายแม่ คำผู้ไท คำอ่าน คำไทยกลาง ความหมาย taa thoot ตาโทด ตาทวด พ่อของพ่อของแม่ yaay thoot ยายโทด ยายทวด แม่ของแม่ของแม่ ฯลฯ(ดูตัวอย่างทั้งหมดหน้า 116,114-122) |
|
Study Period (Data Collection) |
ธันวาคม 2540-เมษายน 2542 (หน้า 6) |
|
History of the Group and Community |
ผู้ไทบ้านธาตุ บรรพบุรุษของผู้ไทบ้านธาตุอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยย้ายมาจากเมืองกะปองฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ในช่วงแรกย้ายมาอยู่ที่เมืองสกลนคร ต่อมาจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านหนองหอย ต่อมาเมื่อมีคนอยู่มากขึ้นทางการจึงยกฐานะขึ้นเป็นเมืองวาริชภูมิ ต่อมาได้เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง ผู้ไทส่วนหนึ่งจึงอพยพมาอยู่บริเวณทางทิศตะวันออกขณะที่ถางป่าเพื่อสร้างหมู่บ้านจึงพบพระธาตุร้างอยู่กลางป่า (หน้า 38) ในเวลาต่อมาจึงนำมาตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านธาตุ ในเวลานั้นครอบครัวผู้ไทที่ย้ายมามี 7 ครอบครัว (หน้า 40,41) การอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การอพยพของผู้ไทเข้ามาอยู่ในไทยแบ่งเป็น 3 ครั้งที่สำคัญดังนี้ 1.สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ.2312-2313 เมื่อกองทัพฝ่ายไทยไปตีหัวเมืองลาว จากจำปาศักดิ์จนถึงเมืองเวียงจันทน์ ขณะนั้นได้กวาดต้อนผู้ไทเข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี เขตอำเภอเขาย้อยหรือเรียกว่า ลาวโซ่ง (หน้า 28) 2.สมัยรัชกาลที่ 1 พ.ศ.2335 กองทัพเวียงจันทน์ได้ทำสงครามกับกองทัพหลวงพระบาง ขณะนั้นได้ส่งตัวกษัตริย์หลวงพระบางมาที่กรุงเทพ และ พ.ศ.2335-2338 กองทัพเวียงจันทน์ได้ทำสงครามกับเมืองแถงกับเมืองพวน จึงได้กวาดต้อนผู้ไทดำและลาวพวนส่งมายังกรุงเทพฯจำนวน 4,000 คน ทางการไทยจึงให้มาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 28) 3.สมัยรัชกาลที่ 3 ระหว่างพ.ศ.2369-2371เมื่อเจ้าอนุวงศ์ก่อการกบฎ และพ.ศ.2376-2390 เกิดสงครามระหว่างไทยและเวียดนาม ขณะนั้นมีผู้ไทจำนวนมากอพยพเข้ามาอยู่ประเทศไทย โดยกระจายกันอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร มุกดาหาร นครพนม เป็นต้น (หน้า 28-30) |
|
Settlement Pattern |
บ้านผู้ไท แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ เรือนปั้นหยา หรือ เฮินอีลุ่ม กับเรือนทรงไทย ซึ่งทำหลังคาแบบตั้งสูง สำหรับส่วนประกอบของบ้านได้แก่ หลังคาเป็นลักษณะทรงสูงมุงด้วยไม้บางครั้งก็ใช้หญ้าแฝก ฝาบ้านจะกั้นด้วยไผ่สานหรือไม้กระดาน พื้นบ้านปูด้วยไม้ฟากหรือไม้กระดาน เช่น ไม้ตะแบก ไม้ประดู่ เสาบ้านใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แคน กับไม้แดง (หน้า 66) การใช้สอยบ้านเรือนในส่วนที่เป็นชานบ้าน จะอยู่ส่วนหน้าของห้องครัว บริเวณนี้จะใช้ตั้งโอ่งน้ำล้างถ้วยชาม ส่วนห้องครัวหรือ เฮินโคจะอยู่ต่อจากชาน ใต้ถุนบ้านจะใช้เป็นบริเวณนั่งทอผ้า นั่งเล่น ส่วนภายในบ้านจะประกอบด้วยห้องต่างๆ ได้แก่ โก๋ง โส้ม คือห้องนอนของลูกสาวที่ยังโสด โก๋งใหญ่ เป็นที่นอนของพ่อแม่ เก๋ย คือที่นอนของลูกชายและเป็นที่กินข้าว,ฮองเป็นที่เก็บของรักษาหรือห้องพระ ห้องนี้ไม่ อนุญาติให้ลูกเขยกับลูกสะใภ้เข้าไป (หน้า 66) ประตูมี 2 บาน คือประตูป่องคือหน้าต่างยาวจนถึงพื้น มีหน้าต่างหนึ่งบานหรือเรียกว่า ป่องเอี้ยม เป็นหน้าต่างขนาดเล็ก ส่วนบันไดจะมีจำนวนขั้นเป็นจำนวนเลขคี่ (ผังบ้านหน้า 67 ดูภาพหน้า 147) |
|
Demography |
ผู้ไทบ้านธาตุมีประชากร 909 คน เป็นผู้ชาย 435 คน ผู้หญิง 474 คน มีจำนวนครอบครัวทั้งหมด 247 ครอบครัว (หน้า 43 ตารางหน้า 44) |
|
Economy |
อาหาร ผู้ไทบ้านธาตุรับประทานข้าวเหนียวกับกับข้าว ได้แก่ น้ำพริกปลาร้า แจ่ว ผักนึ่ง แกงข้าวเบือ (แกงอ่อม) และหวายตัดหน่อซึ่งมีรสขมโดยจะนำมาแกง คล้ายกับทำแกงหน่อไม้ (หน้า 65) เศรษฐกิจ อาชีพหลักของผู้ไทบ้านธาตุคือทำการเกษตร นอกจากนี้ยังมีอาชีพอื่นๆ เช่น รับราชการ ค้าขาย ส่วนพื้นที่เพาะปลูกมีประมาณ 1,000 ไร่โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำนา 65 % พื้นที่ทำไร่ 15 % และทำสวน 20 % พืชและไม้ผลที่นิยมปลูกได้แก่ มะม่วง ลำไย มะขามหวาน และหวายตัดหน่อซึ่งนิยมปลูกกว่า 90 %ของจำนวนครอบครัวในหมู่บ้านเพราะเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ในครัวเรือน (หน้า 68) |
|
Social Organization |
ครอบครัวและเครือญาติของผู้ไทบ้านธาตุ ครอบครัวของผู้ไทบ้านธาตุเป็นแบบครอบครัวขยายการปลูกบ้านอยู่เป็น กลุ่มตระกูล ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีลักษณะ 7 ชั่วอายุคน โครงสร้างญาติมี 2 ลักษณะคือ เป็นเครือญาติ โดยการแต่งงานและเป็นญาติกันโดยทางสายโลหิต การเพิ่มเครือญาติวิธีอื่นเช่น การเพิ่มเครือญาติแบบมีพ่อล่าม(ศูนย์กลางเครือญาติ) ดังนั้นจึงทำให้คนในหมู่บ้านมีความสัมพันธ์แบบเป็นญาติกัน สำหรับกฎการสืบเชื้อสาย 2 ฝ่าย คือฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ มีข้อห้ามคือ จะห้ามผู้พี่ที่เป็นหญิงแต่งงานกับญาติผู้น้องที่เป็นฝ่ายชาย (หน้าบทคัดย่อ,9-10) สำหรับการตั้งชื่อสกุลจะนำมาจากชื่อของบรรพบุรุษ ส่วนบทบาทเครือญาติในการปกครองหมู่บ้านคนในตระกูลหลักจะหมุนเวียนกันมาเป็นผู้นำหมู่บ้านการตัดสินปัญหาจะใช้ระบบอาวุโส (หน้าบทคัดย่อ ) โครงสร้างครอบครัวเป้าหมาย 50 ครอบครัวอยู่ใน 12 ตระกูล เป็นครอบครัวเดี่ยว(พ่อ แม่ ลูก) 18 ครอบครัว หรือ 36 % ครอบครัวขยาย(พ่อ แม่ ลูก ลูกเขย ลูกสะใภ้ หลาน) 32 ครอบครัว หรือ 64 % ฯลฯ (หน้า 78,79,75-194) |
|
Political Organization |
การปกครองหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ คณะกรรมการหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นรองประธาน และมีคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่บริหารงานภายในหมู่บ้าน ดูแลความสงบในหมู่บ้าน ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ (หน้า 45) |
|
Belief System |
ความเชื่อและศาสนา ผู้ไทบ้านธาตุนับถือศาสนาพุทธ มีวัดประจำหมู่บ้านชื่อวัดพระธาตุศรีมงคล (หน้า 49) ที่วัดนี้มีพระอยู่ 5 รูปและเณร 10 รูป ผู้ไทบ้านธาตุใช้วัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และงานบุญประเพณีต่างๆ เป็นต้น (หน้า 50) ประเพณี ในแต่ละเดือนจะมีการทำบุญ หรือเรียกว่า ฮีต 12 (หน้า 53) โดยแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ 1) บุญเข้ากรรม คือพิธีของพระสงฆ์ที่ทำพิธีล้างบาปหรือต้องอาบัติ พระจะเข้ามาอยู่กรรมโดยให้พระผู้ใหญ่ประกอบพิธี พระสงฆ์ที่มาเข้ากรรมก็จะทำการสวดทั้งกลางวันและกลางคืน ส่วนชาวบ้านก็จะมาช่วยกัน ชงชา ต้มน้ำร้อน ถวายพระ เป็นต้น (หน้า 54) 2) บุญคูณลาน จะประกอบพิธีในเดือน 3 เพื่อบูชาแม่โพสพหรือสู่ขวัญข้าว เพื่อแสดงความขอบคุณที่ทำให้ข้าวให้ผลผลิตจำนวนมาก ก่อนวันงานคนในหมู่บ้านก็จะนำข้าวมารวมกันที่วัด วันต่อมาจึงจะทำพิธีสู่ขวัญข้าว (หน้า 54 ภาพหน้า 55) 3) บุญข้าวจี่ การประกอบพิธีจะทำในเดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ ผู้ไทจะทำข้าวจี่โดยนำเอาข้าวเหนียวย่างไฟโรยด้วยเกลือ ทาด้วยไข่แล้วนำไปทำบุญที่วัด เมื่อพระฉันแล้วให้ศีลให้พร คนที่ไปทำบุญก็จะนำข้าวจี่กลับมามอบให้ลูกหลานที่บ้าน (หน้า 55 ภาพหน้า 56) 4) บุญพะเวส จะทำพิธีในเดือน 4 การจัดงานจะทำ 2 วันเรียกว่าวันโฮมกับวันรวม ผู้ไทจะช่วยกันเตรียมงานก่อนจะถึงวันงาน โดยจะเตรียมเครื่องบูชาต่างๆ หรือเรียกว่า เครื่อง 100 เครื่อง 1,000 หมายถึงสิ่งของเหล่านั้นจะทำเป็นร้อย เป็นพัน ได้แก่ เทียนเงิน เทียนคำ ซึ่งจะทำชนิดละ 1,000 คู่ นอกจากนั้นก็จะเตรียมดอกไม้ ต้นกล้วย ต้นอ้อย และธงชนิดต่างๆ ตกแต่งหอธรรมมาสน์ที่ใช้แหล่มัทรีของพระสงฆ์ (หน้า 56) วันโฮม ช่วงเช้าจะแห่พระอุปคุตมาประดิษฐานข้างศาลแล้วแห่ข้าวพันก้อน จากนั้นก็จะขึ้นไปบนศาลา ช่วงบ่ายจะแห่ผ้าพระเวสแล้วแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง วันต่อมาเป็นวันรวม พระจะเทศน์พระเวสหรือเทศน์มหาชาติจนครบ 13 กัณฑ์ (หน้า 57) 5) วันสงกรานต์ ผู้ไทบ้านธาตุมักเล่นสงกรานต์ 7 วัน เมื่อถึงวันสงกรานต์ก็จะนำพระพุทธรูปมาตั้งที่ลานวัดสรงน้ำพระ ช่วงบ่ายคนหนุ่มสาวก็จะไปเก็บดอกไม้แล้วเล่นสงกรานต์ (หน้า 57) วันสุดท้ายก็จะขนทรายเข้าวัด ตอนกลางคืนก็จะนำดอกไม้ธูปเทียนไปขอศีลขอพระจากพระ นอกจากนี้ก็รดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ขอพรให้อยู่เย็นเป็นสุข (ภาพหน้า 58) 6) บุญบั้งไฟ วันจัดงานเป็นวันเสาร์แรกของเดือนเมษายน ในวันงานก็จะแห่บั้งไฟแล้วนำไปจุดนอกหมู่บ้าน (หน้า 59) 7) บุญซำฮะ วันนี้ผู้ไทจะทำกระทงหน้าวัว 1 อันต่อครอบครัว ลักษณะกระทงจะทำด้วยก้านกล้วยเป็นรูป 3 เหลี่ยมในนั้นจะบรรจุข้าวดำ ข้าวแดงดอกไม้ธูปเทียน จากนั้นก็จะนำข้าวดำ ข้าวแดงมาแตะตัวลูกหลานแล้วตัดเล็บมือ เล็บเท้า กับเส้นผมใส่ลงในกระทง จากนั้นก็จะยกกระทงนำไปวางไว้ที่ศาลาวัดทั้ง 4 ทิศ แล้วพระก็จะสวดในทิศต่างๆ ขณะสวดอยู่นั้นก็จะยิงปืน จุดประทัดเพื่อไล่สิ่งอัปมงคลให้ออกจากหมู่บ้าน หลังจากการสวดก็จะยกกระทงไปทิ้งนอกหมู่บ้าน เป็นอันจบพิธี (หน้า 59) 8) เข้าพรรษา วันขึ้น 14 ค่ำก่อนวันเข้าพรรษา ผู้ไทจะทำอาหารคาวหวานไปทำบุญที่วัด รุ่งเช้าก็จะตักบาตร ฟังพระเทศน์ในช่วงกลางวัน ส่วนกลางคืนก็จะทำพิธีเวียนเทียนที่วัด (หน้า 59,60 ภาพหน้า 61) 9) บุญห่อข้าวประดับดิน การทำบุญก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว พิธีจะจัดในวันแรม 14 ค่ำ ผู้ไทจะทำกับข้าวคาวหวานห่อใบตองไปทำบุญที่วัดในช่วงเช้า เมื่อพระสวดเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่มาทำบุญก็จะนำห่อข้าวไปวางใต้ต้นไม้ รอบวัดเพื่ออุทิศให้ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วรวมทั้งเปรตทั้งหลาย (หน้า 60) 10) บุญห่อข้าวสาก จุดประสงค์ก็คืออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตเหมือนกับกับทำบุญข้าวประดับดิน แต่การทำบุญข้าวสากจะต่างตรงที่จะเขียนชื่อผู้ตายที่ต้องการทำบุญไปให้ลงไปด้วย เมื่อพระสวดมนต์และกรวดน้ำก็จบขั้นตอนการทำบุญ (หน้า 60) 11) ออกพรรษา จะจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11ในวันนี้ผู้ไทจะทำอาหารไปทำบุญที่วัด (หน้า 60) 12) บุญกฐิน การทำพิธีจะทำระหว่างวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เนื่องจากการทำบุญกฐินจะทำได้เฉพาะในช่วงเวลานี้เท่านั้นและในหนึ่งปีวัดสามารถรับกฐินได้เพียงหนึ่งกอง การทำบุญก็จะมีการปักสลากเพื่อจองกฐิน (หน้า 60 ภาพหน้า 61) |
|
Education and Socialization |
ผู้ไทบ้านธาตุมีโรงเรียนประจำท้องถิ่นอยู่ 1 แห่ง ชื่อโรงเรียนบ้านธาตุกุดพร้าว ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2481 โดยตั้งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน 200 เมตรโดยอยู่กึ่งกลางของบ้านธาตุกับบ้านกุดพร้าว (หน้า 45) ปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ไปจนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีครูทั้งหมด 15 คน เป็นครูผู้ชาย 5 คน และครูผู้หญิง 10 คน มีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 240 คน แบ่งเป็นนักเรียนชาย 128 คน และนักเรียนหญิง 112 คน เมื่อเรียนจบแล้วนักเรียนส่วนใหญ่มักจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมวาริชภูมิ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ บางส่วนเมื่อจบระดับมัธยมแล้วก็อาจจะไปเรียนในระดับสูงขึ้น เช่น วิทยาลัยเทคนิคสกล และสถาบันราชภัฏสกลนคร เป็นต้น (หน้า 46,148) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล หมู่บ้านบ้านธาตุไม่มีสถานีอนามัย เวลาป่วยไข้จะเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอซึ่งตั้งอยู่ห่างหมู่บ้าน 1 กิโลเมตร (หน้า 46) การรักษาในอดีตจะใช้สมุนไพร ในหมู่บ้านมีหมอฮากไม้ประจำหมู่บ้าน (หน้า 67) รักษาอาการป่วย เช่นไข้ป่า ท้องร่วง อาเจียน การรักษาหมอฮากไม้ จะฝนรากไม้ให้ผู้ป่วยดื่ม สำหรับค่ารักษาผู้ป่วยจะนำดอกไม้ เทียน 1 คู่และเงินจำนวน 2,12 ,22 บาท นำมาเป็นค่าบูชาเพื่อรักษาโรค (หน้า 68,150) นอกจากนี้จะรักษาโดยการเหยาด้วยวิธีบนบานเจ้าปู่มเหศักดิ์ เมื่อหายป่วยมีอาการดีขึ้นก็จะนำสิ่งของไปเซ่นไหว้ผี (หน้า 158-162) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้ชาย สวมกางเกงขาแคบกับกางเกงหูฮูดหรือโสร่ง สวมเสื้อย้อมครามกระดุมทำด้วยเงิน เมื่อมีงานพิธีสำคัญก็จะนุ่งโสร่งขัดเตี่ยว สวมเสื้อหม้อฮ่อม สำหรับการแต่งกายในทุกวันนี้ ผู้ชายผู้ไทการแต่งกายจะคล้ายกับคนอีสานโดยทั่วไป (หน้า 150) ผู้หญิง สวมผ้าซิ่นไหม ซิ่นหมี่ต่อตีน สวมเสื้อแขนกระบอก 3 ส่วนสีดำ ติดกระดุมเงิน บางครั้งก็เอาสตางค์มาซ่อนกระดุม พาดบ่าด้วยผ้าสไบสีแดง เครื่องประดับจะสวมกำไลเงิน ต่างหูเงินหรือทองเหลือง คล้องคอด้วยสร้อยที่ร้อยจากลูกแก้ว (หน้า 150 ภาพหญิงผู้ไท หน้า 147) เครื่องจักสาน แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ ประเภทที่ใช้ในครัวเรือน ได้แก่ หวดนึ่งข้าว ,ข้องใส่ปลา เขียด กบที่จับได้, กระติ๊บข้าวใส่ข้าวเหนียว (หน้า 70 ,หวด ภาพหน้า 71) กระหยังทำจากไม้ไผ่นำมาสานเพื่อใส่สิ่งของต่างๆ โดยจะมีเชือกร้อยเพื่อสะพายของที่ใส่ เช่น หากไปนาก็จะใส่ถ้วย กระติ๊บหรือใช้ใส่หน่อไม้ผักต่างๆ เมื่อไปหาของป่า ,กระปุ่มทำด้วยหวาย 2 ชั้นแล้วทำฝาปิดทำเป็นทรงกลมหรือเหลี่ยมเพื่อใส่เสื้อผ้าหรือสิ่งของอื่นๆ (หน้า 71 ข้อง, กระติ๊บ หน้า 72,กระหยัง ภาพหน้า 73) ประเภทที่ใช้จับสัตว์น้ำ ได้แก่ ไซดักปลา (หน้า 73) ประเภทเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ได้แก่ บั้งทิง คือ กระบอกมีสายสะพายเอาไว้ใส่น้ำดื่มขณะไปสวนหรือไปทำงานที่ไร่ (หน้า 73 ภาพบั้งทิง หน้า 74) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง ประชากรผู้ไทบ้านธาตุ (หน้า 44) เสียงพยัญชนะของผู้ไท (หน้า 51) อาชีพของหัวหน้าครอบครัว (หน้า 69) การแยกครอบครัวเมื่อทำการสมรส (หน้า 77) ครอบครัวของผู้ไทบ้านธาตุ 12 ตระกูล (หน้า 78) โครงสร้างเครือญาติ 12 ตระกูลหลัก (หน้า 81) ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัว (หน้า 108) ความสัมพันธ์ของครอบครัว ในลักษณะเจ็ดชั่วอายุคน (หน้า 110) การใช้คำสำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงฝ่ายพ่อ (หน้า 115) การใช้คำสำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงฝ่ายแม่ (หน้า 116) การใช้คำสำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงฝ่ายลูก (หน้า 117) คำลำดับเครือญาติโดยการเกี่ยวดองทางการแต่งงาน (หน้า 118) คำลำดับเครือญาติโดยไม่ใช่สายโลหิตโดยตรง (หน้า 119) แผนที่ ที่ตั้งเมืองผู้ไทเดิม (หน้า 26) ที่ตั้งเมืองกะปอง (หน้า 27) อำเภอวาริชภูมิ (หน้า 36) ภาพ สำนักงานที่ว่าการอำเภอวาริชภูมิ (หน้า 37) พระธาตุศรีมงคลก่อนและหลังบูรณะ ( หน้า 39,40) ถนนเข้าหมู่บ้านธาตุ (หน้า 47) ถังน้ำประปา (หน้า 48) บุญคูณลาน (หน้า 55) บุญข้าวจี่ (หน้า 56) การสรงน้ำญาติผู้ใหญ่ (หน้า 58) บุญวันเข้าพรรษา , การแห่กฐิน (หน้า 61) บ้านผู้ไทบ้านธาตุ (หน้า 67) หวดนึ่งข้าว (หน้า 71) ข้อง,กระติ๊บข้าวของผู้ไท (หน้า 72) การสานกระหยัง (หน้า 76) บั้งทิง (หน้า 74) เล้าข้าว (หน้า 99) การแต่งงานของ 12 ตระกูล (หน้า 112) การแต่งกายของผู้ไท , เรือนผู้ไท (หน้า 147) ของรักษา, หอเจ้าปู่มเหศักดิ์ (หน้า 165) แผนภูมิ โครงสร้างต้นตระกูลเจริญไชย (หน้า 84,85,227-235) เครือญาตินายหนูถิน บุญรักษา (หน้า 87,236,237) เครือญาติต้นตระกูลสุทธิอาจ (หน้า 89,238-242) เครือญาติต้นตระกูลหัศกรรจ์ (หน้า 91,243) เครือญาติต้นตระกูลอินทรพานิชย์ (หน้า 94) เครือญาติตระกูลอินทรพานิชย์ (หน้า 95,249-252) โครงสร้างต้นตระกูลพจนา (หน้า 96,244) ตระกูลแก้วคำแสน (หน้า 98,245) เครือญาติตระกูลโฮมวงศ์ (หน้า 100,246) ตระกูลมีพรหม (หน้า 101,102,247) ตระกูลเหมะธุลิน (หน้า 104,248) ตระกูลศรีสำราญ (หน้า 105,249) ตระกูลไตรยขันธ์ (หน้า 106,107) |
|
|