"บุคคลถูกบังคับสูญหาย" กฎหมายที่เข็นครกขึ้นภูเขา 2
โพสเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2557 09:55 น.
สัปดาห์ที่แล้วเล่าถึงที่มาและสถานการณ์การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุคคลถูกบังคับสูญหาย ที่ยังเป็นช่องโหว่ในประเทศไทย ซึ่งนำมาถึงแนวทางที่ต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการบังคับใช้
นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ มองว่า ขณะนี้มีกฎหมายหลาย ๆ ฉบับที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับพันธกรณีตามอนุสัญญากับกฎหมายต่าง ๆ แล้ว เห็นว่ากฎหมายฉบับต่าง ๆ ยังไม่สามารถรองรับหลักการที่ปรากฏในบทบัญญัติของอนุสัญญาฉบับนี้ได้เพียงพอหรือทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีกฎหมายที่สอดคล้องหรือสามารถรอง
รับกับพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลมิให้หายสาบสูญ โดยการถูกบังคับได้อย่างเหมาะสม เห็นควรให้มีการแก้ไขกฎหมายภายในประเทศดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับฐานความผิด อัตราโทษ อายุความ และเขตอำนาจศาล ทั้งนี้ เพื่อรองรับองค์ประกอบหลักของความผิดฐานทำให้บุคคลหายสาบสูญ โดยการถูกบังคับตามที่กำหนดในอนุสัญญา
2. แก้ไขเพิ่มเติมรายการท้ายพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 เพื่อให้รองรับความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดฐานทำให้บุคคลหายสาบสูญโดยการถูกบังคับด้วย ทั้งนี้ การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นการรองรับสิทธิของเหยื่อซึ่งเป็นบุคคลหายสาบสูญโดยการถูกบังคับในการได้รับการชดใช้เยียวยา ตามบทบัญญัติของอนุสัญญา และในการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนสำหรับความผิดนี้ ควรคำนึงถึงการจ่ายค่าตอบแทนที่โดยพลัน เป็นธรรม และเพียงพอ ด้วย
3. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่ได้รับความเสียหายอันเป็นผลโดยตรงจากกรณีบุคคลหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ ซึ่งถือว่าบุคคลนั้น เป็นเหยื่อ ตามคำจำกัดความของอนุสัญญา (ข้อ 24 วรรค 1 ) สามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ เป็นการรับรองสิทธิที่จะได้รับรู้ความจริง
4. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน พ.ศ. 2546 เพื่อให้การคุ้มครองผู้ร้องเรียน ญาติของบุคคลหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ ทนายความของผู้ร้องเรียน พยาน และญาติของบุคคลหายสาบสูญ โดยการถูกบังคับจากการถูกปฏิบัติที่มิชอบ หรือการถูกข่มขู่คุกคาม อันเนื่องมาจากการร้องเรียนหรือให้พยานหลักฐานของตน ในกรณีของการดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดฐานทำให้บุคคลหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ
โดยนางอังคณา ได้ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งมีความตั้งใจที่จะทำเรื่องของการปฏิรูป โดยเฉพาะการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ปัจจุบันประเทศไทยมีเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการ ยุติธรรมของไทยอยู่มาก โดยเฉพาะการปฏิบัติที่นอกกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐบางราย ฉะนั้นการที่ประเทศไทยจะมีการปฏิรูปเกิดขึ้นนั้น การมองถึงทุกมิติมีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีการอุ้มฆ่าในประเทศไทยซึ่งเกิดมาหลายสิบปี หนทางเดียวที่จะยุติได้คือมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีการคุ้มครอง และการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เพราะการอุ้มหายนั้นเหมือนเป็นช่องโหว่ของกฎหมาย ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่สุจริตใช้ช่องโหว่ของกฎหมายนี้เพื่ออำพรางความผิด ทำให้ตนเองไม่ต้องรับผิด
รัฐบาลควรมีความจริงใจที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม หลังจากที่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ต่อจากนี้ไปประเทศไทยควรเร่งรีบในการที่จะให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย พร้อมทั้งปรับปรุงให้มีกฎหมายภายในประเทศที่สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว โดยเฉพาะการที่ไม่พบศพบุคคลที่สูญหาย ซึ่งตามหลักกฎหมายกล่าวไว้ว่า ไม่มีศพ ไม่มีความผิด ไม่มีกฎหมาย ไม่ต้องรับโทษ
ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันเพื่อแก้ไขกฎหมาย เช่น กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ซึ่งถ้าหากทราบว่าบุคคลที่สูญหายถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย ควรที่จะถือว่าเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบ ซึ่งต้องมีกฎหมายที่จะให้บุคคลที่เป็นคนควบคุมตัวเข้ามารับผิดชอบในการสูญหาย หรือให้ข้อมูลที่สามารถบอกได้ว่าหลังจากควบคุมตัวแล้วไปอยู่ที่ใด ไม่ใช่บอกเพียงแค่ว่าปล่อยไปแล้ว ซึ่งสุดท้ายผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายก็ไม่ได้กลับบ้าน หรือไม่พบศพ
ที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาที่เรื้อรังมานาน ในสังคมไทย เช่น “ถังแดง” ในสมัยที่ไทยยังมีคอมมิวนิสต์เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วในภาคใต้ จนทำให้มีคำติดปากว่า ถีบลงเขา เผาลงถังแดง ซึ่งที่ผ่านมาเหยื่อจะไม่กล้าและกลัว ในการเรียกร้องความเป็นธรรม อีกทั้งยังมีอุปสรรคหลายอย่าง ที่ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ ซึ่งอุปสรรคที่สำคัญคือเรื่องของกฎหมาย ที่ทุกวันนี้เรายังไม่รู้เลยว่า ครอบครัวของเหยื่อผู้สูญหายสามารถเป็นผู้เสียหายแทนได้หรือไม่ ในกรณีที่ยังไม่มีการพบศพ
ฉะนั้นกรณีแบบนี้ จึงเป็นบทเรียนให้ประเทศไทยในการที่จะต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญ ในเรื่องการป้องกันไม่ให้บุคคลสูญหาย โดยประเทศไทยเองก็มีความหวังที่จะเข้าเป็นสมาชิกแบบไม่ถาวรของสภาสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติในปีหน้า เหตุนี้ประเทศไทย
จึงต้องแสดงความจริงใจในการให้ความสำคัญของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี กว่า 81 ราย ของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 จนถึง ค.ศ. 2014 ที่ทางสหประชาชาติรับเป็นคดีบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย
ขณะนี้ กรมคุ้มครองสิทธิ ได้ตั้งคณะทำงานแก้ไขกฎหมาย เพื่ออนุวัติ ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญโดยการถูกบังคับ และจะมีการประชุมให้แล้วเสร็จภายในปลายเดือนกันยายน ซึ่งจะนำเสนอรัฐบาลภายในเดือนตุลาคมนี้.
รังสี ลิมปิโชติกุล-รายงาน
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/269964/%E2%80%98%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%99+%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2+%282%29
|