เอ็นจีโอยื่นหนังสือกรมอุทฯ-จี้พักงานชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร
โพสเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2557 13:37 น.
เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 18 ก.ย. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม พร้อมทั้งเครือข่ายที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาทิ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตตะนาวศรี และเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ทำจดหมายเปิดผนึก ถึงอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เรื่อง ขอให้พักราชการนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากความขัดแย้งในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จนนำไปสู่การเผาทำลายบ้าน ยุ้งฉาง และข้าวของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงดั้งเดิม จนนำมาสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงที่สุดคือ กรณีนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ที่ถูกนายชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อีก 3 นาย ควบคุมตัวในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา จากนั้นไม่มีผู้ใดพบเห็นนายพอละจีอีกเลย
โดยข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาขอให้พักราชการนายชัยวัฒน์ มีดังนี้ 1. นายชัยวัฒน์ เป็นจำเลยในคดีอาญาที่ 4653/2554 เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.54 ในข้อหาจ้างวานฆ่า นายทัศน์กมล โอบอ้อม แกนนำเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิให้แก่ชุมชนบ้านโป่งลึก-บางกลอย โดยปัจจุบันพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรียื่นฟ้องนายชัยวัฒน์เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดเพชรบุรี
2. นายชัยวัฒน์ เป็นผู้ถูกฟ้องในคดีปกครองที่ ส.58 / 2555 ซึ่งเป็นคดีชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงดั้งเดิมบ้านบางกลอย-โป่งลึก ที่ถูกขับไล่ เผาบ้านและทรัพย์สิน โดยมีนายชัยวัฒน์ เป็นหัวหน้าปฏิบัติการดังกล่าว จนนำมาสู่การยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และนายชัยวัฒน์ ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเยียวยาความเสียหายและรับรองสิทธิชุมชนดั้งเดิมตามรัฐธรรมนูญ
3.นายชัยวัฒน์ ถูกแจ้งความกล่าวโทษ โดยกลุ่มอนุรักษ์ จ.ราชบุรี จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำโดย นางจินตนา แก้วขาว ต่อสำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 ให้ดำเนินคดี กรณีนายชัยวัฒน์ กับพวกรื้อ ทำลาย บ้านเรือนของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ที่ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 3 พ.ค.55 โดยเรื่องดังกล่าวอยู่ในการดำเนินการตรวจสอบของสภ.แก่งกระจาน
4. นายชัยวัฒน์ ในฐานะหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเป็นบุคคลสุดท้ายที่พบเห็นและควบคุมตัวนายพอละจี ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ อีก 3 นาย ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนการไต่สวนในชั้นศาลจังหวัดเพชรบุรีระบุชัดเจนว่านายพอละจีอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 17 เม.ย.57 แต่ผู้ควบคุมตัวตามกฎหมายในที่นี่คือหัวหน้าอุทยานแห่งชาติฯ ปฏิเสธที่จะรับทราบว่ามีการควบคุมตัวอยู่ แต่กลับอ้างด้วยคำให้การของตนเองและบุคคลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในหน่วยงานเดียวกันทั้งเจ้าหน้าที่และนักศึกษาฝึกงาน ปราศจากพยานหลักฐานที่ประจักษ์ อีกทั้งพยานหลักฐานที่นำเสนอต่อศาลนั้นขัดกันและไม่มีความน่าเชื่อถือ เท่ากับว่านายพอละจีเป็นบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง แม้ว่ากฎหมายไทยจะยังไม่มีข้อหาอาญาต่อความผิดนี้ก็ตาม การปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีการควบคุมตัวนายพอละจีและอ้างว่ามีการปล่อยตัวไปแล้วนั้นย่อมเป็นการปกปิดชะตากรรมของนายพอละจีด้วย ดังนั้นการร้องขอให้ศาลไต่สวนตามมาตรา 90 และศาลได้ยกคำร้องของญาติ จึงเป็นการกีดกันสิทธิของผู้ตกเป็นเหยื่อของการบังคับให้สูญหายไม่สามารถรับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของนายพอละจี และยังไม่ใช่เป็นการที่นายชัยวัฒน์ และพวกหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นในการหายตัวไปของนายพอละจีแต่อย่างใด ขณะนี้ผู้ร้องคือภรรยาของนายพอละจีได้ยื่นขออุทธรณ์ต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีเมื่อวันที่ 16 ก.ย.57
5. นายชัยวัฒน์ ถูกกล่าวหาในคดีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีจับกุมนายพอละจี ในความผิดมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 57 โดยไม่นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ไม่มีการทำบันทึกจับกุมและไม่มีการทำบันทึกการปล่อยตัวผู้กระทำความผิด ปัจจุบันคดีอยู่ในการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กระทรวงยุติธรรม ซึ่งที่ประชุม ป.ป.ท. เห็นว่าคดีมีมูล จึงมีมติรับเป็นคดี และให้ตั้งคณะอนุกรรมการ ฯ ขึ้นมาตรวจสอบ
6.นายชัยวัฒน์ ขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีภาพ และคลิปวีดีโอ การแปรรูปไม้ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งผลการสอบสวนของคณะกรรมการจากกรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่อุทยาน และต่อมาบก.ภ.จว.เพชรบุรี โดย พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุขแสวง รองผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ได้ลงพื้นที่พร้อมคณะวิทยาการจังหวัดเพชรบุรี พบว่าบริเวณโดยรอบหน่วยแม่สะเรียง (กจ.10) มีการโค่นล้มไม้ และแปรรูปไม้ โดยใช้เลื่อยยนต์ อีก 26 ต้น
นอกจากนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการหายตัวไปและเรียกร้องสิทธิให้นายพอละจี ทั้งนี้การให้ความสำคัญกับสิทธิของชนเผ่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยในป่าก็เป็นหลักการสำคัญขององค์การสหประชาติและองค์การยูเนสโกด้วย ดังข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้
1. คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติแห่งองค์กรสหประชาชาติได้ระบุว่าในเดือนก.พ.55 ให้รับพิจารณาเรื่องร้องเรียนกรณีชาวกระเหรี่ยงในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานถูกบังคับไล่รื้อ เผาทำลายบ้านและยุ้งข้าวไว้เป็นเรื่องเร่งด่วนและจัดให้มีจดหมายแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าวลงวันที่ 9 มี.ค.55 ส่งถึงรัฐบาลไทยเพื่อต้องการทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการเพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของชาวกระเหรี่ยงในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
2. คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติแห่งองค์การสหประชาชาติได้เผยแพร่ข้อสังเกตเชิงสรุปในเอกสาร CERD/C/THA/Q/1-3 ลงวันที่ 3 ก.ค.55 ในย่อหน้าที่ 16 มีความว่า “ในประเทศไทยกฎหมายอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่หลายฉบับส่งผลกระทบเชิงการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในป่า คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติยังกังวลว่าประเทศไทยไม่การขอรับฟังคำยินยอมโดยสมัครใจและล่วงหน้าก่อนที่จะมีการตัดสินใจใดใดว่าจะมีผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์หรือไม่”
3. คณะกรรมการต่อต้านการทรมานแห่งองค์การสหประชาชาติได้เผยแพร่ข้อสังเกตเชิงสรุปในเอกสาร ลงวันที่ 23 พ.ค.57 ในย่อหน้าที่ 14 ว่า “มีกรณีที่กล่าวหาว่านักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนด้านต่อต้านการทุจริตและด้านสิ่งแวดล้อม และผู้ที่เป็นพยานการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีล่าสุดนายพอละจี โดยคณะกรรมการฯ เสนอให้ประเทศไทยควรใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อป้องกันการบังคับให้สูญหายและเพื่อการต่อสู้กับการลอยนวลพ้นผิด”
ด้วยเหตุผลทั้งความจำเป็นที่จะคงไว้ซึ่งหลักการด้านการอำนวยความเป็นธรรมต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อนโยบายและการบริหารจัดการบุคคลกรของรัฐโดยเฉพาะต่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาติให้สมบัติของชาติและของโลก และในขณะเดียวกันเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่อยู่อาศัยเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมในพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจะได้รับการเสนอชื่อเป็นพื้นที่อนุรักษ์ภายใต้กรอบของยูเนสโกเป็นอันเป็นความภาคภูมิใจของประเทศอย่างสมภาคภูมิ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมและองค์กรเครือข่าย ขอให้อธิบดีกรมอุทยานฯ พิจารณาขอเรียกร้องให้พักราชการนายชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาร้ายแรงและพิจารณาอย่างรอบคอบในการกำหนดบุคคลกรให้เข้ามารับผิดชอบงานและกำกับดูแลงานในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยพิจารณาแนวทางการในการทำงานที่เคารพต่อหลักการด้านสิทธิมนุษยชน มีแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี มีการอำนวยความเป็นธรรมต่อประชาชนและเอื้อประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชาติที่ยั่งยืน
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า สาเหตุที่ทำหนังสือยื่นให้พักราชกานายชัยวัฒน์ เนื่องจากในวันที่ 30 ก.ย.จะครบกำหนดที่นายชัยวัฒน์ ถูกย้ายไปอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อีกทั้งมองว่าจากเหตุผลที่อยู่ในจดหมาย ก็ชัดเจนว่าขัดกับแนวปฎิบัติของข้าราชการพลเรือน ที่จำเลยในคดีอาญาร้ายแรงที่อยู่ในการพิจารณาของศาล ต้องถูกพักราชการ โดยก่อนหน้านี้เคยยื่นหนังสือไปที่กรมอุทยานฯแล้วหนึ่งครั้งแต่เรื่องก็เงียบไป จึงเตรียมยื่นจดหมายพร้อมเหตุผลให้พิจารณา โดยจะเข้ายื่นจดหมายในวันที่ 19 ก.ย. นี้
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1UQTBPVFF3TUE9PQ%3D%3D§ionid
|