สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

อุทยานฯเด้ง'ชัยวัฒน์' คดี'บิลลี่'หายตัวไม่คืบ
โพสเมื่อวันที่ 13 มิ.ย 2557 09:21 น. 



อุทยานฯเด้ง'ชัยวัฒน์' คดี'บิลลี่'หายตัวไม่คืบ

TCIJ 12 มิถุนายน 2557
 

 
 
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีคำสั่งลงวันที่ 11 มิ.ย. 2557 ให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการพิเศษส่วนอนุรักษณ์และป้องกันทรัพยากร สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 ให้ไปปฏิบัติราชการสำนักอุทยานแห่งชาติ ช่วยปฏิบัติราชการสำนักอุทยานแห่งชาติแล้ว หลังถูกชาวบ้านร้องเรียนกรณี “บิลลี่” หายตัวไม่คืบ รก.อธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุ สั่งย้ายเพื่อลดกระแสถูกวิจารณ์ช่วยเหลือ หัวหน้าอุทยานฯคนดัง

จากกรณีการหายตัวไปของนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ สมาชิก.อบต.ห้วยแม่เพรียง แกนนำชาวกะหร่างบ้านบางกลอย หลังนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานอ้างว่า ได้จับกุมนายพอละจี หรือ “บิลลี่” กรณีมีน้ำผึ้งป่า โดยจับกุมได้ที่ด่านมะเร็ว ก่อนพาขึ้นรถของกรมอุทยานฯ และได้ว่ากล่าวตักเตือนก่อนจะปล่อยตัวไป จนกลายเป็นประเด็นเรียกร้องอย่างต่อเนื่องเพื่อขอให้มีการตามหาตัวนายบิลลี่ พร้อมทั้งตรวจสอบการทำงานของนายชัยวัฒน์ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่า น่าจะมีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ และได้มีการดำเนินกิจกรรมเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องนั้น  

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. นายนิพนธ์ โชติบาล รักษาการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ลงนามคำสั่ง ย้ายนายชัยวัฒน์ย้ายมาประจำการที่ส่วนกลางกรมอุทยานฯ กรุงเทพฯ อย่างไม่มีกำหนดแล้ว โดยระบุว่าจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยนายนิพนธ์ระบุว่าคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่มีการประชุมระหว่างผู้บริหารกรมอุทยานฯ จนได้ข้อสรุปดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาแม้จะมีการย้ายนายชัยวัฒน์ไปอยู่ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) แล้ว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ยังไม่จบ โดยเฉพาะประเด็นที่เชื่อว่ากรมอุทยานฯ มีความเอนเอียงในการพิจารณากรณีนายชัยวัฒน์และให้ความช่วยเหลือตามที่นายชัยวัฒน์ร้องขอ

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้มีคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์ไปที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เพื่อให้ผู้ร้องเรียนสบายใจ และลดข้อครหาต่างๆ ให้จบลง ส่วนเรื่องคดีนั้นต้องเร่งไปทางตำรวจ เพราะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สอบสวนแต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายชัยวัฒน์ด้วยเช่นกัน เพราะยังไม่มีความคืบหน้าของการสูญหายของนายพอละจี และไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงมายังนายชัยวัฒน์ ทั้งนี้ที่ผ่านมารตนได้ให้ผู้ที่ร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่รังแกชาวบ้านเข้ามาในพื้นที่เพื่อที่จะสามารถเข้ามาตรวจสอบดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ว่ารังแกชาวบ้านกะเหรี่ยงจริงหรือไม่ แต่ถึงเวลานี้ก็ยังไม่มีใครแจ้งเข้ามาเลยแม้ว่าตนจะระบุชัดเจนว่าหากทราบให้แจ้งมาตนจะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้เองก็ตาม

ทั้งนี้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ถูกร้องเรียนเรื่องเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายบิลลี่ ซึ่งกรมอุทยานฯ ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผลการสอบสวน ระบุว่า นายชัยวัฒน์ กระทำความผิดวินัยตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน ในการจับกุมตัวนายบิลลี่ ซึ่งครอบครองน้ำผึ้งป่า แต่ไม่ส่งตัวให้พนักงานสอบสวนตามระเบียบของทางราชการ

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยานายพอละจี รักจงเจริญ หรือ  บิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี  เปิดเผยว่า   ได้เขียนจดหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสามี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เนื้อหาในจดหมายตนได้เขียนถึงบทบาทของนายพอละจี ในฐานะนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ได้สละเวลาเพื่อการทำงานให้ชุมชน โดยเฉพาะกรณีที่ต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนทั้งสิทธิด้านที่อยู่อาศัยและสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ของชาวบ้านบางกลอยหลังถูกย้ายถิ่นฐานลงมาจากชุมชนบางกลอยบน  นอกจากนี้ยังได้ร้องเรียนกรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯแก่งกระจานกระทำการมิชอบต่อชาวบ้านในพื้นที่ด้วย เช่น การใช้อำนาจจับกุมนายพอละจี กรณีครอบครองน้ำผึ้งป่าแล้วไม่ส่งต่อให้ตำรวจดำเนินคดี แต่กลับปล่อยตัวไปจนเป็นเหตุให้นายพอละจี หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

“ดิฉันหวังว่าท่านพลเอกประยุทธ์ จะเห็นใจพวกเรา และให้ความช่วยเหลือบ้าง อย่างน้อยกรณีการทำงานของเจ้าหน้าที่อุทยาน ในเมื่อตอนนี้ทหารปกครองสถานการณ์ประเทศไทยอยู่ ก็อยากให้ใช้อำนาจและหน้าที่กำชับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ บ้าง หรืออย่างน้อยได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สืบสวน สอบสวนและผู้เกี่ยวข้องได้ติดตามคดีพี่บิลลี่อย่างจริงจัง เราและญาติๆไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ  ไม่รู้ว่ากรณีเผาไล่ที่กะเหรี่ยงบางกลอยจะเป็นยังไงต่อไป จะยืดเยื้อหรือเปล่า แต่อยากให้ทหารมีส่วนกำชับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนด้วย เราอยากได้ความเป็นธรรมคืนหมู่บ้าน” นางสาวพิณนภา กล่าว

ด้านดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์   นักวิชาการศูนย์สันติศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และรองประธานคณะอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม) กล่าวว่าภายหลังจากที่ กสม. และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยเมื่อวันที่ 5-6 มิถุนายน ที่ผ่านมา สภาพปัญหาของชาวบ้านไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากการผลักดันให้ออกจากพื้นที่บางกลอยบนเมื่อปี 2554 เท่านั้น แต่พบว่าชาวบ้านที่อพยพย้ายมาเมื่อปี 2539-2540 ก็ยังเผชิญกับปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเช่นกัน ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านทราบว่า กลุ่มที่ไร้ที่ทำกินส่วนมากเป็นลูกหลานของกะเหรี่ยงที่ถูกย้ายมา จึงยังไม่มีชื่อในสิทธิทำกิน  ข้อมูลส่วนนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ที่น่ากังวลคือ กลุ่มผู้เฒ่าที่ย้ายมาตั้งแต่ปี 2539 ยังพบว่า บางรายต้องอาศัยเพื่อนบ้านอยู่ แต่ข้อมูลตรงนี้กลับไม่มีการบันทึกไว้ ดังนั้นเพื่อใหเกิดความโปร่งใส ทางภาครัฐและชาวบ้านต้องหันมาวางกรอบในการบริหารพื้นที่อุทยานร่วมกัน โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับการสำรวจพื้นที่เพื่อจัดสรรให้ชาวบ้านเพิ่มเติม แต่การจัดสรรอย่างมีระเบียบนั้น ภาครัฐต้องคุยกับชาวบ้านให้แน่ชัดว่าจะวางกรอบการดำเนินชีวิตอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาการบุกรุก และเกิดปัญหาจับแพะกระทำผิดทำลายป่า ทำลายสัตว์ป่า เหมือนที่ผ่านมา เพียงเพราะป่าที่ถูกทำลายไปเกิดขึ้นในชุมชนกะเหรี่ยง และบริเวณใกล้เคียง

ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวต่อว่า วาทกรรมอย่างหนึ่งที่พบมากที่สุด หลังจากการประกาศเขตอุทยานฯ คือกะเหรี่ยงทำลายป่า กะเหรี่ยงตัดไม้ แต่ภาพที่นำเสนอคือภาพไร่หมุนเวียน ซึ่งต้นไม้ในไร่หมุนเวียนจากประสบการณ์ตรงเป็นต้นไม้ขนาดเล็กอายุไม่กี่ปี โดยปัจจุบันตัวอย่างความจริงที่สะท้อนคุณภาพในการจัดการป่าไม้ของภาครัฐนั้นเห็นชัดแล้วว่า  ป่าแก่งกระจานจากด่านมะเร็วถึงบ้านโป่งลึก ไม่มีไม้ใหญ่อายุยืนแล้ว เพราะไม้ถูกตีมูลค่าทางเศรษฐกิจมานานกว่า 50 ปี สะท้อนว่ารัฐก็ไม่ได้มีคุณภาพในการจัดการ ดังนั้นการประกาศเขตวัฒนธรรมพิเศษ ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2553 จึงจำเป็นอย่างมาก  โดยส่วนตัวเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะประกาศเขตวัฒนธรรมฯ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลป่า

“บ้านกะเหรี่ยงทุกวันนี้มีแค่ไม้ไผ่ มีไม้อื่น แค่ตัวเสาบ้านเท่านั้น พวกเขาอยู่อย่างหวาดกลัว ผมลงบางกลอยครั้งนี้รู้สึกใจหาย ชาวบ้านกลัวเจ้าหน้าที่ จนไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกเล่าปัญหา   ต่างจากอดีตนั้น ผมลงพื้นที่ใดมีกะเหรี่ยงอยู่ ที่ตรงนั้นมีป่า มีต้นไม้ใหญ่  พวกเขาเล่าประวัติไม้ ประวัติห้วยได้ดี มีความรู้เรื่องป่ามาก แต่ปัจจุบันแม้แต่ความคิดที่จะขอใช้ชีวิตตามวิถีเดิมก็ยังไม่กล้าพูด ยิ่งหลังจากบิลลี่หายตัวไปแล้ว  ความหวาดกลัวของกะเหรี่ยงบางกลอยยิ่งมีมากขึ้น ตรงนี้ผมว่าไม่ยุติธรรมสำหรับชุมชน ” ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าว

รองประธานคณะอนุกรรมการด้านที่ดินและป่า กล่าวด้วยว่า เห็นด้วยที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้มาประชุมและร่วมหารือกันกับกสม.เพื่อตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหากะเหรี่ยงบางกลอย และเตรียมเก็บข้อมูลพื้นที่อยู่อาศัย และที่ทำกินร่วมกัน แต่เกรงนโยบายดังกล่าวจะต้องยุติลง หากมีการแทรกแทรงจากผู้ไม่หวังดี ดังนั้นภายใน 2-3 วันนี้ทางกสม.และผู้เกี่ยวข้องจะหารือกันอีกครั้งเพื่อขอความร่วมมือไปยังรักษาการอธิบดีกรมอุทยานฯ เพื่อขอให้ออกคำสั่งและให้ความร่วมมือในการตั้งคณะทำงานฯ โดยเฉพาะย้ายนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานฯ แก่งกระจาน ก็ควรยืดระยะเวลาออกไป เพราะถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาหลายอย่างในบางกลอยและชาวบ้านหลายรายยืนยันว่า ไม่กล้าพูดเพราะกลัวจะเกิดข้อขัดแย้งกับอุทยานฯ เพิ่มเติม ในการเก็บข้อมูลและสำรวจความแน่ชัดเรื่องปัญหาบางกลอยจึงจำเป็นต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใส ไร้การแทรกแทรง  ซึ่งหากกรมอุทยานฯไม่ดำเนินการก็เท่ากับว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่


http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4367

 




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง