ภรรยาบิลลี่ ร้องขอความเป็นธรรม
โพสเมื่อวันที่ 09 มิ.ย 2557 13:58 น.
ผ่านมาแล้วกว่า 1 เดือน กับการหายตัวไปของ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นางมือนอ ภรรยานายบิลลี่ ได้ส่งหนังสือถวายฎีกา เพื่อให้พี่น้องบ้านโป่งลึก และบางกลอยได้กลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม
นางมือนอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้บิลลี่และตนได้ช่วยกันคิดและตั้งใจว่าจะถวายฎีกา เพื่อให้พี่น้องได้กลับไปอยู่ในพื้นที่เดิม แต่นายบิลลี่มาหายไปเสียก่อน โดยเนื้อหาในหนังสือถวายฎีกา มีรายละเอียดดังนี้
พวกเราชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงบ้านใจแผ่นดิน บ้านบางกลอยบน ได้อยู่อาศัยในพื้นที่นี้มานานแล้ว ตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย มาหลาย ๆ รุ่น อยู่มานานหลายร้อยปี พวกเราดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการทำไร่ข้าวหมุนเวียนใช้ชีวิตแบบพอมีพอกิน ไม่เดือดร้อน ลำบาก ต่อมาถึงปี 2524 ทางการได้ประกาศให้ผืนป่าแก่งกระจาน รวมทั้งบ้านใจแผ่นดิน บ้านบางกลอยบน เป็นเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยที่พวกเราไม่รู้เรื่องเพราะไม่มีเจ้าหน้าที่มาบอก พอถึงปี 2539 เจ้าหน้าที่ได้บังคับให้พวกเราลงมาอยู่ที่บ้านบางกลอยล่าง หมู่บ้านปัจจุบัน โดยจัดที่ทำกินให้ครอบครัวละ 7-8 ไร่ และบอกว่าจะช่วยเหลือเรื่องอาหารการกินเป็นเวลา 3 ปี แต่ก็มีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งไม่ยอมลง ยังคงอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิม
ในการจัดพื้นที่ทำกินให้ชาวบ้านนั้น เจ้าหน้าที่ได้ไปเอาพื้นที่ทำกินบ้านโป่งลึกมาจัดสรรให้ ทำให้พื้นที่ทำกินแต่เดิมของชาวบ้านโป่งลึกไม่เพียงพอแต่ละครอบครัว ทำให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจ ไม่สบายใจแก่ชาวบ้านโป่งลึกเพราะจะไม่มีพื้นที่ให้กับลูกหลานตนเองในอนาคต และเจ้าหน้าที่ไม่จัดสรรที่ดินให้ครบทุกครอบครัว พื้นที่ทำกินที่เจ้าหน้าที่จัดให้นั้น บางแห่งก็ไม่เหมาะกับการทำไร่ข้าวเพราะมีหินมาก
ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่บอกว่าจะช่วยเหลือเรื่องอาหารการกินเป็นเวลา 3 ปี ให้กับชาวบ้านนั้น พอชาวบ้านลงมาจริง ความช่วยเหลือก็มีไม่ถึง 3 เดือน ชาวบ้านลำบากมากเพราะไม่มีข้าวกิน ต้องดิ้นรนออกไปรับจ้างหากินข้างนอก พอพวกเราออกไปรับจ้างในเมืองก็ถูกคดโกงเอาเปรียบค่าแรง
เมื่อพวกเราลงมาอยู่ได้ 2 ปีกว่า ลำบากมาก พวกเราจึงกลับขึ้นไปอยู่ที่เดิม ที่ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราเคยอยู่ เพราะที่เดิมของเรามีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผักผลไม้ที่บรรพบุรุษปลูกไว้แต่ดั้งเดิม เช่น ทุเรียน มะม่วง ขนุน มะพร้าว หมากและอื่น ๆ
การอพยพและผลักดันโดยการทำลายบ้าน ยุ้งฉางข้าว และความเชื่อทางวัฒนธรรมประเพณีนั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการรุนแรงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2539 จนถึงปัจจุบัน และยังกล่าวหาว่าพวกเราเป็นชนกลุ่มน้อยมาจากฝั่งพม่า พวกเราไม่ได้อพยพมาจากฝั่งพม่า แต่อยู่ที่นี่บ้านใจแผ่นดิน บางกลอยบน พวกเราจึงไม่ไปอยู่ประเทศพม่าหรือลงไปอยู่บ้านบางกลอยล่างอีก
การผลักดันของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งฉาง ตัดฟันไม้ยืนต้นที่พวกเราปลูกไว้ เขาไล่จับพวกเรา เวลานี้พวกเราอยู่ลำบากมาก เพราะข้าวของเครื่องใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อถูกทำลาย พวกเราจะไปประกอบพิธีกรรมก็ต้องกลับไปแบบหลบ ๆซ่อน ๆ พวกเราชาวบ้านใจแผ่นดิน ไม่ว่าเด็ก คนแก่ คนป่วย คนท้อง คนพิการ ต้องลำบากทุกข์ทรมาน พวกเราอดอยากไม่มีข้าวกินถึงขั้นมีคนตาย มีคนแท้งลูกขณะหลบหนีเจ้าหน้าที่ พวกเราต้องแอบซ่อนตัวในป่าในถ้ำโดยไม่มีผ้าห่ม เสื้อผ้าสำรอง ต้องทนฝน ทนยุง ทนหนาว ต้องกินหัวกลอย หัวเผือก หัวมัน หน่อไม้ และของป่าแทนข้าวแก้หิว พวกเราเดือดร้อนเช่นนี้ก็เคยบอกผู้นำหมู่บ้านโป่งลึก บางกลอย ซึ่งรับรู้แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือพวกเรา เพราะกลัวเดือดร้อน กลัวเจ้าหน้าที่จะรังแกพวกเขา ทั้งที่ผู้นำหมู่บ้านโป่งลึกและบางกลอยล่างก็เป็นลูกหลานญาติของเราจริง ๆ
ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายนจนถึงวันนี้ นายพอละจี รักจงเจริญ ผู้นำชาวกะเหรี่ยงในชุมชนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่มีใครรู้เลยว่าเขาอยู่แห่งหนตำบลใดหรือเป็นตายร้ายดีอย่างไร
พวกเราอยู่ในหมู่บ้านด้วยความหวาดกลัวที่จะถูกลักพาตัวไปเหมือนบิลลี่ เราจึงขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอให้ปกป้องเรา ขอให้อธิบดีกรมอุทยานฯ มีคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ออกไปปฏิบัติงานนอกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จนกว่าการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกระบวนการศาลถึงที่สุด และขอให้พวกเรามีสิทธิอยู่ในพื้นที่บางกลอยบน โดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่ต้องไปรังแก ขับไล่ จับกุม เผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายพิธีกรรมความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ พวกเราจะได้อยู่กันอย่างเป็นหลักแหล่งเพื่อความมั่นคงในคุณภาพชีวิต มีความเป็นอยู่ มีสุขภาพจิตที่ดี โดยกันเขตพื้นที่ทำกินให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุกป่าพื้นที่อุทยานฯ จะได้ไม่ต้องอดอยากทุกข์ทรมาน อยู่กันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆในป่า ใช้ชีวิตเหมือนคนป่า
พวกเราขออยู่บางกลอยบน ใช้ชีวิตอย่างสงบเหมือนเดิม เราจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการดูแลป่า เพื่อความมั่นคงของประชาชนและประเทศชาติในอนาคต พวกเราจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนโดยด่วน เพราะพวกเราเดือดร้อนมาก
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายทรัพยากรและสิทธิเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมาเกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทางกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง มาเป็นคณะกรรมการจัดการแบบบูรณาการ เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยมีการนำเอางานศึกษาวิจัย ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ มาวางแผนร่วมกัน.
http://www.dailynews.co.th/Content/Article/241722/%E2%80%98%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E2%80%99+%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87
|