สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

กลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขงจี้กรณี 'บิลลี่' เป็นตัวอย่างอาเซียนเอาจริงเรื่องสิทธิมนุษยชน
โพสเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2557 08:20 น. 



แถลงการณ์จากกลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขงออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียน เข้ามาร่วมสร้างกลไกในการแก้ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากกรณีของนายพอละจี รักจงเจริญ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานแห่งสิทธิมนุษยชนให้หยั่งรากผลิใบในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
 
 
 
17 พ.ค. 2557 กลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขงออกแถลงการณ์ "กรณีการหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
แถลงการณ์จากกลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขง
วันที่ 17 พฤษภาคม 2557
 
กรณีการหายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
 
เป็นเวลา 1 เดือนแล้ว หลังจากที่มีรายงานข่าวว่า “บิลลี่” หรือนายพอละจี รักจงเจริญ เยาวชนแกนนำสิทธิมนุษยชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (หรือปกาเกอะญอ) แห่งบ้านบางกลอย และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี หายตัวไประหว่างเดินทางออกจากบ้านเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 เพื่อลงมาเตรียมข้อมูลเรื่องคดีที่ชาวบ้านฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต่อศาลปกครอง กรณีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเผาบ้าน ไร่นาและยุ้งข้าว เมื่อปี 2554
 
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ออกมายอมรับกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 21 เมษายน ว่าได้ควบคุมตัวบิลลี่ไว้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบน้ำผึ้งป่าในความครอบครอง แต่หลังจากว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ปล่อยตัวไปด้วยเห็นว่าเป็นเพียงความผิดเล็กน้อย โดยหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นบิลลี่อีกเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ศาลจังหวัดเพชรบุรีนัดไต่สวนนายชัยวัฒน์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวเพื่อพิจารณาว่าบิลลี่หายตัวไประหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่หรือไม่ และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม มีคำสั่งย้ายนายชัยวัฒน์ออกจากพื้นที่เป็นเวลา 1 เดือนเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าครอบครัวและญาติมิตรของบิลลี่ต้องออกมาดำเนินการเรียกร้องและร้องเรียนหลายต่อหลายครั้ง กว่ากระบวนการในการตามหาตัวบิลลี่อย่างจริงจังและเคร่งครัดจะเกิดขึ้น ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมาค่อนข้างมาก อาจส่งผลต่อสวัสดิภาพของตัวบิลลี่เองและกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจ รวมถึงการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในครอบครัวและชาวบ้านคนอื่น ๆ ในพื้นที่ แต่จนถึงบัดนี้ การสืบสวนสอบสวนและตามหาตัวบิลลี่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ 
 
พวกเรากลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มน้ำโขง เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างอิสระบนความแตกต่างหลากหลายของคนหนุ่มสาวกลุ่มต่าง ๆ ใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อนักกิจกรรมที่มีบทบาทช่วยเหลือสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในการสืบทอดงานภาคสังคมต่อไปในอนาคต พวกเรารู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อการหายตัวไปของบิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ เพราะ “บิลลี่” ถือเป็นแกนนำคนรุ่นใหม่ที่เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของบ้านบางกลอย ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงดั่งเดิมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐเรื่องคนกับป่าซึ่งมีปัญหายืดเยื้อยาวนาน จนกระทั่งปี 2554 พวกเขาถูกอพยพโยกย้ายลงมาจากบ้านเกิดใน “ใจแผ่นดิน” นำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความโดยมีคู่กรณีคือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราเห็นว่ากรณีการหายตัวไปของบิลลี่จะทวีความขัดแย้งและนำมาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ร่วมกับป่า
 
พวกเรากลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขงขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ด้วยความจริงจังและจริงใจตามข้อเรียกร้องของครอบครัวของนายพอละจี รักจงเจริญ ชาวบ้านบางกลอย เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (KNCE) เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) ร่วมกับองค์กรภาคีและเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 3 ข้อและที่มีเพิ่มเติมดังนี้
 
1. ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการสอบสวนหาผู้กระทำผิดและตามหาตัวนายพอละจี รักจงเจริญให้พบโดยเร็วที่สุด
 
2. ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลคุ้มครองครอบครัวของนายพอละจี รักจงเจริญ และผู้นำชุมชนในพื้นที่ระหว่างดำเนินการสอบสวนหาความจริง
 
3. ขอให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีคำสั่งให้นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานย้ายออกจากพื้นที่ตลอดระยะเวลาที่ยังไม่มีความคืบหน้าของกรณีการหายตัวไปของบิลลี่  เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างเป็นธรรม โปร่งใสและลดความหวาดกลัวของคนในพื้นที่ และ
 
4. ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอาเซียน เข้ามาร่วมสร้างกลไกในการแก้ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากกรณีของนายพอละจี รักจงเจริญ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานแห่งสิทธิมนุษยชนให้หยั่งรากผลิใบในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
 
เราเชื่อว่าการจะสร้างประชาคมอาเซียนให้ได้อย่างที่มีการประกาศความร่วมมือไว้นั้น รัฐจำเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนของตนเอง ว่าเรามีความพร้อมจริง ๆ ที่จะสร้างชุมชนเพื่อจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขฉันท์พี่น้อง ภายใต้การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์บนความแตกต่างหลากหลายของแต่ละคน
 
สิทธิมนุษยชนจะต้องถูกยกระดับให้เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรตระหนัก และเป็นเรื่องสากลที่เราต้องร่วมมือกันเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกระดับลงมือปฏิบัติการอย่างจริงจัง เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในภูมิภาค โดยมีคนหนุ่มสาวเป็นพลังสำคัญในการผลักดันเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หากปัญหานี้ไม่ได้รับการสอบสวนและคลี่คลายให้กระจ่างในเวลาอันสมควร  พวกเราจะไม่หยุดเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาความจริงและเรียกร้องความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับบิลลี่และครอบครัว
 
ขอแสดงความนับถือ
กลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มแม่น้ำโขง
 
 
 
 
เกี่ยวกับกลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มน้ำโขง
 
อนึ่งกลุ่มคนหนุ่มสาวลุ่มน้ำโขง เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นมาอย่างอิสระบนความแตกต่างหลากหลายของคนหนุ่มสาวกลุ่มต่าง ๆ ใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะการถูกทำให้หายไปโดยเจ้าหน้าที่รัฐ (Enforced Disappearance) ของนักกิจกรรมที่มีบทบาทช่วยเหลือสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในการสืบทอดงานภาคสังคมต่อไปในอนาคต กลุ่มจึงได้เริ่มทำงานรณรงค์เรื่องสันติภาพในลุ่มน้ำโขงขึ้นภายใต้โครงการ “มองไปไกลกว่าสมบัด สมพอน” (Sombath Somphone and Beyond Project) หลังการหายตัวไปของสมบัด สมพอน นักพัฒนาอาวุโสชาวลาว เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2555
 
สมชาย-สมบัด-บิลลี่ สิ่งที่เหมือนกันของ 3 กรณีสำคัญ คือทั้งสามคนถูกควบคุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐก่อนจะหายตัวไป!
 
12 มีนาคม 2547: ทนายสมชาย นีละไพจิตร ถูกทำให้หายไปโดยมีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ในช่วงเวลาสองทุ่มครึ่งบริเวณถนนรามคำแหง 65 หน้าร้านแม่ลาปลาเผาว่าเห็นรถของทนายสมชาย นีละไพจิตร มาจอดและมีรถเก๋งสีดำอีกคันมาจอดต่อท้ายทนายสมชายเดินลงจากรถมาพูดคุยกับพ.ต.ต.เงิน ทองสุก และพรรคพวกอีกรวม 3 – 5 คน และพยานเห็นพ.ต.ต.เงิน ทองสุกผลักนายสมชายขึ้นรถแล้วขับออกไป ส่วนรถที่ทนายสมชายขับมานั้นถูกพรรคพวกของพ.ต.ต.เงิน ทองสุกอีกคนหนึ่งขับออกไปจอดทิ้งไว้บริเวณใกล้สถานีขนส่งหมอชิต ในกระบวนการสืบสวนคดีนี้มีเพียงประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์และบันทึกการโทรศัพท์เข้าออกของพ.ต.ต. เงินและพรรคพวกในคืนเกิดเหตุ จนได้ตัวพ.ต.ต.เงินและพรรคพวกรวม 5 คนมาเป็นจำเลย
 
15 ธันวาคม 2555: ลุงบัด หรือสมบัด สมพอน ถูกทำให้หายไปโดยมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาค่ำให้เห็นภาพที่สมบัดถูกเรียกให้หยุดโดยตำรวจจราจรบนถนนท่าเดือในกรุงเวียงจันทน์ ก่อนถูกนำตัวไปโดยกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งด้วยรถกระบะส่วนรถของสมบัดถูกชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งขับออกไป แม้ว่ากลุ่มภาคประชาสังคม รัฐบาลอาเซียนและนานาชาตินำภาพที่บันทึกได้นั้นมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการตั้งคำถามต่อรัฐบาลลาว และทวงถามการสืบสวนแต่จนถึงวันนี้ กว่า 1 ปีผ่านไป รัฐบาลลาวกลับนิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้องจากนานาประเทศ
 
17 เมษายน 2557: บิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ เวลา 10.00 น. ออกเดินทางจากหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอยเข้าสู่ตัวเมืองอำเภอแก่งกระจาน เวลา 14.00 น. ชาวบ้านได้ทราบข่าวอย่างไม่เป็นทางการว่าเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมและนำตัวบิลลี่ไปสอบสวนโดยยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน วันต่อมาได้ออกตามหาและไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยจนกระทั่งในวันที่ 21 เมษายน 2557 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนยอมรับว่าได้จับตัวบิลลี่ไปจริง เพราะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ว่าจับกุมผู้บุกรุกป่าและพบของกลางเป็นน้ำผึ้งจำนวนหนึ่ง จึงมารับตัวไปเพื่อสอบสวนและตักเตือน ต่อมาได้ปล่อยตัวไปที่แยกหนองมะข้าและหลังจากนั้นก็ไม่ได้รับข่าวจากบิลลี่อีกเลย

http://prachatai.com/journal/2014/05/53272



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง