สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

คุยกับ “หนุ่มกะเหรี่ยง” เรื่องร้อนในป่าใหญ่
โพสเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2557 08:35 น. 



เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปทัศนศึกษาที่กาญจนบุรี ตามคำชักชวนของประธานเพจ “รัฐศาสตร์ ม.ร. FC” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษาและศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงในเฟซบุ๊ก นอกจากจะได้ประสบการณ์แบบ “โหด-มัน-ฮา” ตั้งแต่ยืนบนรถไฟตั้งแต่สถานีธนบุรี กว่าจะมีที่นั่งว่างก็ถึงสถานีกาญจนบุรี หรืออีกวันหนึ่งที่ไปน้ำตกเอราวัณ ต้องขึ้นไปถ่ายรูปบนน้ำตกชั้น 7 ต้องเดินเท้าไกลถึง 1.5 กิโลเมตรแล้ว ยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างคณะ
       
        อันที่จริงผมเรียนวิชาเอกสื่อสารมวลชน ของคณะมนุษยศาสตร์ ส่วนวิชาโทผมลงรัฐศาสตร์เอาไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะปิดกั้นคนที่มาจากคณะอื่นอย่างผม ยังคุยกัน เฮอากันได้ บางคนที่เรียนรัฐศาสตร์ แต่ลงวิชาโทสื่อสารมวลชนเอาไว้ ยังปรึกษาผมเรื่องการเรียนต่อ หรือการทำงาน เพราะเขาเพิ่งเรียนจบ ซึ่งก็พอให้คำแนะนำได้บ้าง เพราะในคณะมีปัญหาหลังแยกสาขาวิชาสื่อสารมวลชนเป็นคณะต่างหาก
       
        ในวันนั้นได้รับประสานงานอย่างดีจาก “หนุ่มเจ้าถิ่น” รุ่นน้องที่ประสานงานทั้งติดต่อบ้านพัก และรถรับ-ส่งไปยังจุดต่างๆ ซึ่งเราได้เข้าพักที่บ้านไร่ลุงจวบ ใน อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยไม่ไกลมากนัก โดยเจ้าของอย่างลุงจวบได้ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องที่พักซึ่งได้แบ่งบ้านพักออกเป็นหลังๆ สถานที่จัดเลี้ยงและอาหารการกิน แต่น่าเสียดายที่หนุ่มเจ้าถิ่นคนนี้ต้องเข้างานต่อหลังส่งพวกเราออกจากบ้านพักมุ่งหน้าไปยังน้ำตกเอราวัณก่อนกลับกรุงเทพฯ
       
        คืนวันนั้นผมสนทนากับหนุ่มเจ้าถิ่นอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หน้าที่การงาน มาถึงเรื่องส่วนตัว เขาเปิดเผยว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี แต่ขณะนี้ได้เข้ามาทำงานอีกอำเภอหนึ่ง จะขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านก็นานๆ ครั้ง ขณะเดียวกันเขาได้ไปสมัครเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเอาไว้ ซึ่งตั้งใจว่าหากเรียนจบแล้วจะกลับมาพัฒนาบ้านเกิด
       
        เขาเล่าให้ฟังว่า หมู่บ้านที่เขาอยู่นั้นต้องเดินเท้าเข้าไปนับสิบกิโลเมตร แม้ยานพาหนะจะเข้าไปได้แต่สัญจรได้เฉพาะช่วงหน้าแล้ง และต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ บรรยากาศส่วนใหญ่เป็นป่า มีวัด มีโรงเรียน และมีลำธารตัดผ่านกลางหมู่บ้าน เขายังบอกเลยว่าถ้ามีโอกาสอยากจะให้ไปเที่ยวที่บ้านเขาสักครั้ง ไปสัมผัสธรรมชาติแท้จริง ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีค่ายอาสาเข้ามาก่อสร้างอาคารเรียน เขาก็ไปช่วยประสานงานให้
       
        สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการสนทนากับเขา ก็ได้ทราบว่าที่หมู่บ้านทุกคนไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดิน เพราะอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แต่หากย้อนกลับไปพวกเขาอาศัยอยู่ตรงนี้มาก่อนที่จะมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเสียด้วยซ้ำ ในหมู่บ้านทุกคนมีสัญชาติไทย เขาเล่าว่าที่ชาวกะเหรี่ยงที่อพยพมาอาศัยอยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญแต่มีความอุดมสมบูรณ์ เพราะพวกเขาไม่ต้องการสงคราม โดยยกวลีที่ว่า “ที่ใดมีกะเหรี่ยง ที่นั่นมีความสงบ”
       
        เขาเล่าให้ฟังว่า ตำนานของชาวกะเหรี่ยงนั้น ต้นกำเนิดมาจากทิเบต ลงมาถึงลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งภายหลังผมลองไปค้นข้อมูลเพิ่มก็พบว่า ต้นกำเนิดจริงๆ อยู่ที่มองโกเลียเมื่อกว่า 2,000 ปีก่อน ต่อมาได้หนีภัยจากสงครามมาอยู่ที่ทิเบต และเมื่อถูกรุกรานจากกองทัพจีนอีก ก็ถอยร่นลงมาทางใต้ ตั้งแต่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ถึงดินแดนลุ่มน้ำสาละวินในเขตพม่า จากนั้นก็กระจัดกระจายในแถบเทือกเขาตะนาวศรี ตั้งแต่เหนือจรดใต้
       
        ต่อคำถามที่ว่า ชาวกะเหรี่ยงที่เข้ามานั้นบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ป่าสงวน เขาก็อธิบายให้ฟังว่าถึงจะยอมรับว่ามีการตัดไม้เพื่อนำไปใช้สอยก็จริง แต่ก็ตัดเท่าที่จำเป็นเพื่อดำรงชีวิต ไม่ได้ถึงกับทำลายธรรมชาติโดยรวม เพราะไม่ได้ตัดไม้แบบเอาเป็นเอาตายจนโล่งเตียนเหมือนพวกนายทุน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแหล่งน้ำ และอันที่จริงชาวบ้านเหล่านี้ซึ่งอยู่มาก่อนที่จะประกาศเขตอุทยานแห่งชาตินั้น เป็นฝ่ายที่รักษาธรรมชาติและป่าไม้เสียด้วยซ้ำ กระทั่งได้รับขนานนามให้เป็นมรดกโลก
       
        แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาอธิบายว่า ที่ผ่านมาชาวกะเหรี่ยงกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็อยู่ร่วมกันได้ ภายใต้ข้อตกลงร่วมกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน อย่างเช่นในเขตภาคเหนือกำหนดให้เป็นเขตวัฒนธรรมพิเศษ ถึงกระนั้นในฐานะที่เขาอาศัยอยู่ในป่าและต้องใช้ป่าในการดำรงชีวิต กฎหมายบางครั้งมันก็ไม่ยุติธรรมกับเราเท่าที่ควร ซึ่งควรจะมีการให้สิทธิ์กับเราซึ่งมีวิถีชีวิตดั้งเดิมมากกว่านี้ เช่น สิทธิในการใช้พื้นที่ ฯลฯ
       
        กรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่ หรือนายพอละจี รักจงเจริญ หนุ่มชาวกะเหรี่ยงวัย 31 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา แน่นอนว่าย่อมมีความเกี่ยวข้องกับชาวกะเหรี่ยงทั้งประเทศ เขาบอกกับผมว่าได้ฟังเสียงสะท้อนทั้งจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็มองว่าหัวหน้าอุทยานแห่งชาติคนนี้ดี มีผลงานบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
       
        แต่อีกด้านหนึ่ง ในเครือข่ายเฟซบุ๊กได้แชร์ภาพบ้านพักของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายบิลลี่ เขาเอาภาพจากโทรศัพท์มือถือที่บันทึกไว้มาแสดงให้ผมดู พบว่าบ้านพักสร้างด้วยไม้ทั้งหลังอย่างใหญ่โต แล้วเปรียบเทียบกับบ้านของชาวกะเหรี่ยงที่เป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าหากเป็นข้าราชการจริงเงินไม่เยอะขนาดนี้ และเห็นว่ามีเพียงเพชรบุรีจังหวัดเดียว ที่ชาวกะเหรี่ยงมีข้อพิพาทกับเจ้าหน้าที่รัฐ
       
        ทุกวันนี้เครือข่ายสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เรื่องราวของพวกเขาได้ถูกเผยแพร่ต่อสังคมอย่างกว้างขวาง จากที่เมื่อก่อนเรื่องพวกนี้น้อยครั้งมากที่จะเป็นข่าวโด่งดัง เพราะสื่อมวลชนส่วนใหญ่มุ่งแต่ลงข่าวสนองภาครัฐและฝ่ายเจ้าหน้าที่ แต่ชาวบ้านที่เดือดร้อนไม่มีปากมีเสียงที่จะขอให้สื่อมวลชนเป็นที่พึ่งได้ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าทุกวันนี้สื่อมวลชนเปลี่ยนไปเยอะ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่มีเพียงสื่อที่อยู่ในกำกับของรัฐเท่านั้นที่มีบทบาทต่อสังคม
       
        อันที่จริงผมคุยกับหนุ่มเจ้าถิ่นคนนี้หลายเรื่อง กินระยะเวลาไปถึงตีสี่ แต่คงเป็นเพราะผมพักผ่อนน้อย เลยจับใจความเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่หมด และด้วยมิตรภาพที่มีให้กันเขายังชวนผมไปเที่ยวที่หมู่บ้านของเขา ไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆ และคนในพื้นที่จริง ซึ่งผมเองและเพื่อนร่วมทริปส่วนหนึ่งก็ให้ความสนใจ คิดว่าหากได้วันลาพักร้อนที่ออฟฟิศแล้วกะจะลางานไปที่นั่นสักครั้ง เนื่องจากการเดินทางไปทุ่งใหญ่นเรศวรต้องใช้ระยะเวลานับวัน อีกทั้งต้องเดินเท้านับสิบกิโลเมตร
       
        เรื่องของนายบิลลี่ที่หายตัวไปเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ความรู้สึกส่วนตัวไม่ค่อยได้ติดตามข่าวนี้สักเท่าไหร่ จำได้แต่เพียงว่าเขาหายตัวไปแล้วถึงวันนี้ยังไม่เจอตัว แต่เมื่อมาดูบทบาทที่สำคัญของเขา นอกจากจะเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังเป็นผู้ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกรณีเผาบ้านและยุ้งข้าวชาวกะหร่าง ซึ่งพวกเขามั่นใจว่า การหายตัวไปทางเจ้าหน้าที่รัฐต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน
       
        และอันที่จริง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อย่างนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ก็เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาว เพราะเคยถูกร้องเรียนว่าได้นำเจ้าหน้าที่เข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยบน กว่า 20 ครัวเรือน เมื่อปี 2554 ซึ่งนายบิลลี่นำชาวกะหร่างบางกลอยไปร้องเรียนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ศาลปกครอง และสภาทนายความ อีกทั้งยังเป็นพยานในคดีของศาลปกครองด้วย
       
        ที่น่าแปลกก็คือ เฟซบุ๊กของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วงเล็บไว้ว่า (วีรบุรุษแห่งแก่งกระจาน) คอลัมนิสต์รุ่นใหญ่คนหนึ่งมองว่า ความรู้สึกเมื่อแรกพบก็ติดลบแล้ว เพราะไม่ชอบพวกที่ชอบยกหางตัวเองสักเท่าใด คนอะไรไม่รู้ตั้งชื่อตัวเองเป็นวีรบุรุษ ต่อให้ลูกน้องทำให้ หัวหน้าต้องเจียมตัวบ้าง แต่ทีนี้ในเฟซบุ๊กมีแต่การแชร์คลิป ดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก็ชัดเจนว่าเป็นพวกชอบใช้วิถีทางความรุนแรง
       
        ผมฟังคอลัมนิสต์คนนี้กล่าวถึงแล้วก็ได้แต่แอบขำตามกันไป เพราะนายดำรงนี่ไม่ได้เป็นคนดีเด่อะไรเลย แต่เป็นคนใกล้ชิดนักการเมืองอย่าง “ยุทธ ตู้เย็น” ยงยุทธ ติยะไพรัช เคยก่อวีรกรรมขนเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาป่วนคนที่มาฟังการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่สวนลุมพินีเมื่อปี 2548 ตามใบสั่งของระบอบทักษิณ มีข่าวไล่รื้อรีสอร์ทบุกรุกป่าสงวนพอเป็นพิธี พอเกษียณราชการแล้วก็มาตั้งพรรคการเมือง ชื่อว่า “ทวงคืนผืนป่าประเทศไทย” แต่สอบตก
       
        นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มองดูแล้วเหมือนทำเอาหน้า ทำเพื่อหวังผลทางการเมืองทั้งนั้น เพราะทุกวันนี้รีสอร์ตที่บุกรุกป่าสงวนยังไม่หมดไป หนำซ้ำยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นทำลายสิ่งที่เคยมีอยู่แต่เดิม ด้วยสิ่งปลูกสร้างที่แปลกตาคนละเรื่องกับความเป็นธรรมชาติอย่างน่าประหลาด ไม่เชื่อลองขับรถไปตามเส้นทางเขาใหญ่ ไปถึงวังน้ำเขียว ทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติถูกสิ่งแปลกปลอมอย่างรีสอร์ทและสวนดอกไม้รุกคืบกันไปเกือบจะหมดแล้ว
       
        ผู้ใหญ่ท่านนี้มองว่า กรณีการหายตัวไปของนายบิลลี่ เหตุมาจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกักตัวไว้บอกว่ามีน้ำผึ้งป่า 6-7 ขวดผิดกฎหมาย แล้วอ้างว่าปล่อยตัวไปแล้ว ทั้งที่ถึงป่านนี้แล้วยังหาตัวไม่เจอ เป็นเรื่องของคนเล็กคนน้อยในสังคมที่แทบไม่มีที่ยืนอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่คนในสังคมควรสนใจ อย่าไปสนวาทกรรมไพร่อำมาตย์ชนชั้นรากหญ้าอะไรของแกนนำม็อบหารับประทานเลย สนใจเรื่องนี้เหอะ นี่แหละคือชนชั้นที่ถูกอำนาจบาตรใหญ่รังแกของจริง
       
        ฟังอย่างนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า แม้ในยุคนี้ความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก แต่คำว่า “บ้านป่าเมืองเถื่อน” จากผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น และไม่เคยเลือนหายไปจากสังคมไทยจริงๆ...


http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?newsid=9570000052913



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง