เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่สถาบันสันติภาพระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายวีเจย์ นัมเบียร์ ที่ปรึกษาพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น)กล่าวเตือนว่า ภารกิจเร่งด่วนที่สุดของรัฐบาลพม่าเกี่ยวกับชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงคือ การให้สถานะพลเมืองแก่ชาวโรฮิงญา แต่หากภารกิจนี้ไม่ลุล่วง ไม่เพียงจะทำให้สวัสดิภาพความปลอดภัยของชาวโรฮิงญาตกอยู่ภายใต้การคุกคามต่อไป แต่เชื่อว่าปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของพม่าในสายตาประชาคมโลกด้วย
ทูตพิเศษยูเอ็นกล่าวว่า สถานะของชาวโรฮิงญายังไม่ได้รับการจัดการ แม้ว่ารัฐบาลพม่าได้รับปากมาแล้วหลายครั้งที่จะออกบัตรประจำตัวชั่วคราวให้ชาวโรฮิงญา ขึ้นทะเบียนแจ้งเกิดให้และให้ชาวโรฮิงญาเดินทางไปไหนต่อไหนได้อย่างเสรี รวมถึงการออกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตให้ และว่า หลายครั้งหลายโอกาสที่นายบัน คี มุน เลขาธิการยูเอ็น ได้เสนอแนะให้ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ของพม่า ประธานรัฐสภา และนางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านพม่า ออกแถลงการณ์ร่วมกันแสดงการต่อต้านความรุนแรง การพูดที่สร้างความเกลียดชัง ให้ประชาชนมีความอดกลั้นและส่งสารให้มีความสามัคคีปรองดองกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีทีท่าเป็นไปได้ สถานการณ์รุนแรงในรัฐยะไข่ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ยังได้ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ชื่อเสียงของพม่าอย่างมากและยังอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการปฏิรูปประเทศของพม่าที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งตนคิดว่านี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลพม่าควรจะดำเนินการอย่างจริงจังในการจัดการกับปัญหานี้
ทั้งนี้ พม่าถือว่าชาวมุสลิมโรฮิงญาเป็นผู้อพยพจากประเทศบังกลาเทศและปฏิเสธที่จะให้สัญชาติและสิทธิต่างๆแก่ชาวโรฮิงญา แม้ว่าชาวโรฮิงญาจำนวนมากจะเกิดในครอบครัวโรฮิงญาที่อพยพมาอยู่ในประเทศพม่าหลายชั่วอายุคนแล้วก็ตาม และเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างชาวพุทธและชาวโรฮิงญาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในพม่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 280 ราย ขณะที่เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนทางการพม่าเองเพิ่งจะจัดสำรวจสำมะโนประชากรทั่วประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบคลุมถึงชาวมุสลิมทั้งหมด เนื่องจากรัฐบาลพม่าไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมระบุตัวตนว่าเป็นชาวโรฮิงญาในแบบฟอร์มการสำมะโนประชากร โดยให้ระบุว่าเป็นชาวเบงกาลีแทน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1399019223&grpid&catid=06&subcatid=0600