ทำไมต้องพาบิลลี่มาเจนีวา
โพสเมื่อวันที่ 01 พ.ค. 2557 10:32 น.
ทำไมต้องพาบิลลี่มาเจนีวา. โดยพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ
การเดินทางมาเจนีวา เพื่อรายงานต่อองค์การสหประชาชาติในครั้งนี้เราได้ทางมาเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาการต่อต้านการทรมาน จัดให้มีการประชุมสามวัน
วันที่ 29 ประชุมกับภาคประชาสังคมที่ร่วมส่งรายงานคู่ขนาน และรับฟังความเห็นเพิ่มเติม
ก่อนที่คณะกรรมการ 10 ท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง ๆ จะรับฟังคำชี้แจง รายงานจากรัฐบาลไทยเป็นเวลาสองวันคือวันที่30 ตรงเวลาประเทศไทย 15:00-17;00 เวลาห่างกัน 5 ชั่วโมง และตัวแทนรัฐบาลเท่าที่ทราบมีมาด้วยกัน 20 กว่าคน จะตอบคำถามที่ได้จากวันที่ 30 ในวันรุ่งขึ้น วันที่ 1 พฤษภาคมจะใช้เวลาอีก 3ชั่วโมง ตรงกับเวลาไทย 20:00-22:00 เพื่อตอบคำถามค่ะ
เราเห็นว่าการหายตัวไปของบิลลี่ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฎว่าบิลลี่ถูกควบคุมตัวโดยจนท.อุทยานเป็นข้อเท็จจริง และการที่บิลลี่ยังไม่กลับมาเท่ากับว่าเขายังคงถูกจำกัดเสรีภาพ การถูกจำกัดเสรีภาพโดยไม่ได้พบปะญาติ หรือบุคคลอื่นเป็นการละเมิดสิทธิฯ และเสี่ยงต่อการทรมานและการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม แม้ว่าจะอ้างว่าเป็นการควบคุมเนื่องจากการครอบครองน้ำผึ้งที่ผิดกฎหมายอุทยาน แต่ข้ออ้างดังกล่าวก็มีข้อสงสัยจากในพื้นที่ และ อีกทั้งข้อเท็จจริงจากผู้ควบคุมตัวนายบิลลี่ว่าปล่อยตัวไปแล้วก็มีประเด็นน่าสงสัย
ทำให้เชื่อว่าบิลลี่ยังคงถูกจำกัดเสรีภาพและเสี่ยงต่อการทรมาน
ซึ่งจะมีการร้องเรียนต่อองค์กรสหประชาชาติในกลไกอื่นที่เกี่ยวข้องได้แก่ คณะทำงานเรื่องคนหาย ผู้แทนพิเศษเรื่องนักต่อสู้เพืื่อสิทธิมนุษยชนด้วย และคณะกรรมการว่าด้วยเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เนื่องจากนายบิลลี่มีสถานะเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชนเผ่าพื้นเมือง จากประวัติของชุมชนและประวัติการทำงานของบิลลี่ จึงเชื่อว่า สาเหตุของการควบคุมไม่น่าเกิดขึ้นจากการครอบครองน้ำผึ้ง 5 ขวด และการถูกบังคับให้หายตัวไปกว่าหนึ่งอาทิตย์ น่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและการเรียกร้องสิทธิให้กับชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งเคยมีการร้องเรียนต่อองค์การสหประชาติไว้ก่อนหน้านี้ในปี 2012 ต่อคณะกรรมการเรื่องการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
การหายตัวไปสะท้อนให้เห็นปัญหาความเสี่ยงของคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ไม่มีกลไกรับฟังความเห็นหรือการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
เป็นเรื่องความขัดแย้งกับในเชิงโครงสร้างระหว่างวิถีของคนชนเผ่า กับการบริหารจัดการทรัพยากรป่าของอุทยาน แต่ที่ผ่านมา 5-6 ปีในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีการจัดการโดยใช้ความรุนแรงต่อชุมชนชาวกระเหรี่ยงด้วยทัศนะที่ไม่เคารพต่อศักดิ์ศรีของคนชนเผ่า การบังคับไร้รื้อและการย้้ายถิ่นโดยการบังคับที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านทำให้เกิดความขัดแย้ง การลอบสังหารแกนนำ การฟ้องคดีปกครอง และชาวบ้านก็เดือดร้อน ทางอุทยานก็อ้างว่าตนทำถูกต้องตามกฎหมายอุทยาน
อีกประการหนึ่งคือ ปัญหาการสืบสวนคดีสิทธิมนุษยชน เช่นคดีหาย มักจะขาดความรวดเร็วเร่งด่วน ทำให้หลักฐานพยานสูญหาย เช่น หลักฐานทางโทรศัพท์ ที่สำคัญมาก การตั้งประเด็นของตำรวจในท้องที่ก็ทำให้การสืบสวนสอบสวนไม่จริงจัง ไม่ทำให้ญาติและชุมชนเกิดความเชื่อมั่น ความจริงไม่ปรากฎ ถูกปกปิดโดยกลไกรัฐเอง
การดำเนินการสืบสวนภายในของหน่วยงานเช่น ของอุทยานเองก็ล่าช้าและอาจไม่ส่งผลต่อการสร้างความกระจ่าง ตอนนี้อุทยานตกเป็นจำเลย หรือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนในการควบคุมตัวแล้วนายบิลลี่ยังไม่กลับมาก อุทยานต้องสร้างความกระจ่างเปิดโอกาสให้ตำรวจทำงานเต็มที่ และการย้ายหัวหน้า และลูกน้องที่มีข้อเท็จจริงว่าอยู่ในเหตุการณ์การควบคุมตัวออกจากพื้นที่ก่อน หรือการกันไว้เป็นพยานก็อาจมีส่วนทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการสืบสวนสอบส่วนมากขึ้น พยานที่หวาดกลัวก็อาจจะนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยกับตำรวจมากขึ้น
ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อคนทำงาน นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลง การไม่สามารถคลี่คลายประเด็นเรืื่องกรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย และการที่มีปัญหาเรื่องการทรมาน ต่อผู้ต้องสงสัยในจชต.จำนวนมาก รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ ทำให้ตอนนี้ไทยตกเป็นเป้าสายตาของประชาคมโลกพอสมควร การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งต่อชาวกะเหรี่ยง ชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ในเรื่องทรัพยากร หรือ ต่อชาวโรฮิงยา อุยกูร์ หรือการปฎิบัติต่อแรงงานข้างชาติ อื่นๆ ด้วย
การติดตามการหายตัวไปของนายบิลลี่เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง เพราะสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน การคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองทางองค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญอย่างมาก ถ้าไทยไม่สามารถคลี่คลายได้ แนวโน้มการใช้ความรุนแรงต่อชนเผ่าพื้นเมืองก็จะมีมากขึ้น อีกทั้งคำถามต่อกระบวนการยุติธรรมไทยต่อเรื่องคนหายก็ยังคงเป็นปัญหาไม่มีกฎหมายคุ้มครองหรือป้องกันให้บุคคลสูญหาย พอเกิดเรื่องกลไกอิสระที่ดำเนินการค้นหาก็ไม่ทำงาน
ทางปฏิบัติมีปัญหาดังนั้นกลไกสหประชาชาติซึ่งมีความเชี่ยวชาญในประเทศต่างๆ ก็จะมีส่วนในการนำเสนอแนวทางปฏิบัติให้ประเทศไทยได้ดำเนินการทั้งนโยบาย การปรับปรุงกฎระเบียบให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนลดลง
นั่นคือเหตุผลที่เราต้องพาบิลลี่มาเจนีวา
http://voicefromthais.wordpress.com/2014/04/30/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B5/
|