สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

เปิดจดหมายจากบิลลี่ก่อนหายตัวไปที่แก่งกระจาน
โพสเมื่อวันที่ 21 เม.ย 2557 08:59 น. 



หมวดหมู่: ข่าว | รายงานโดย  เมื่อ 20 Apr 2014 - 12:22

ความพยายามติดตามหาตัว นาย พอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ผู้นำชุมชน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน วัน 30 ปี ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะเดินทางมายังอ.แก่งกระจาน เพื่อเตรียมดำเนินการช่วยเหลือชาวบ้านฟ้องศาลปกครองและทำหนังสือถวายฎีกา  ภายหลังเกิดข้อขัดแย้งกรณีหัวหน้าอุทยานฯ เผาบ้านกะเหรี่ยง นั้น

ล่าสุด Wut ฺBoonlert  แกนนำชาวกะเหรี่ยงอีกคนหนึ่ง โพสต์เฟศบุ๊ค ถึงสำเนาเอกสารลายมือของบิลลี่จำนวน 2 แผ่น โดยเขียนบรรยายว่า "......นี่คือสำเนาเอกสาร ที่เตรียมจะถวายฎีกา ที่ บิลลี่เขียนด้วยลายมือของตนเอง มีด้วยกัน 2 หน้า กระดาษ บิลลี่คงจะเตรียมเอกสารนี้ เพื่อจะถวายฎีกา เอกสารชิ้นนี้บิลลี่เอามาให้ดู และเชื่อว่าเอกสารต่างพร้อมทั้งข้อมูลในแฟลสไดร้ฟ ที่บิลลี่นำติดตัวเสมอในการเดินทางคงจะหายไปพร้อมกับตัวของบิลลี่ในวันพฤหัสบดีที่17 เมษายน ช่วงเวลาประมาณ บ่าย 3 โมงที่ลงมาจากบางกลอยและถูกจนท.อุทยานกักตัวไว้"

ถอดข้อความในจดหมาย

" พวกเราชาวกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน บ้านบางกลอย จึงเรียนมาเพื่อขอความเป็นธรรมจากท่าน เนื่องจากพวกเราชาวบ้านบางกลอยบนอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่บรรพบุรุษหลายร้อยปีแล้ว แต่ป่าไม้ก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ พวกเราประกอบอาชีพทำไร่หมุนเวียน อยู่กันแบบพอมี พอกิน ไม่เดือดร้อน พอถึงปี พ.ศ. 2539 ได้มีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้ขึ้นไปที่บางกลอยบนแล้วบอกกับพวกเราว่า "พวกเราต้องลงไปอยู่บางกลอยล่าง" โดยอ้างว่า ป่าไม้ ต้นน้ำถูกทำลาย เขาจะจัดสรรพื้นที่ทำกินครอบครัวละ 7-8 ที่ และช่วยเหลือเรื่องอาหารการกิน 3 ปี ในตอนนั้นชาวบ้านส่วนหนึ่งก็เชื่อจึงได้ลงไปอยู่บางกลอยล่าง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ลงไป พวกเขายังอยู่บางกลอยบนเหมือนเดิม ส่วนชาวบ้านที่ลงไปนั้นมีทั้งหมด 57 ครอบครัว

พอลงไปถึงเจ้าหน้าที่อุทยานไม่มีที่จัดสรรให้ เจ้าหน้าที่อุทยานจึงจัดสรรแบ่งที่ทำกินของคนบ้านโป่งลึก ให้กับคนบ้านบางกลอยที่ลงไป ทำให้คนบ้านโป่งลึกมีพื้นที่ทำกินน้อยลง ไม่เพียงพอให้กับลูกหลานและพื้นที ที่เจ้าหน้าที่อุทยานจัดให้คนบ้านบางกลอยนั้น ก็ได้ไม่ครบทุกครอบครัว ส่วนคนที่ได้ พื้นที่บางแปลงก็ทำกินไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากมีหิน มาก ส่วนเรื่องที่เจ้าหน้าที่อุทยานบอกว่า จะช่วยเหลือเรื่องอาหารการกิน 3ปี ให้กับชาวบ้านที่ลงมานั้น พอชาวบ้านลงมาจริง ก็ช่วยเหลือไม่ถึง 3เดือน จึงทำให้ชาวบ้านลำบากมาก ต้องดิ้นรนทำงานรับจ้างข้างนอก พอออกไปทำงานรับจ้างในเมืองก็ถูกโกงค่าแรง แถมยังถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากชาวบ้านยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าว

พวกเราที่ลงมานั้นพอได้ 2ปีกว่า ก็ต้องกลับขึ้นไปยังบางกลอยบนที่เคยอยู่ เพราะบางกลอยบนมีพืชผักผลไม้ที่บรรพบุรุษและพวกเราปลูกไว้ อุดมสมบูรณ์เพียงพอ ไม่ต้องลำบากมากอย่างบางกลอยล่าง แต่กลับขึ้นไปครั้งนี้ เราก็ต้องกลับไปอาศัยอยู่กินกับญาติพี่น้องที่ไม่ได้ย้ายลงบางกลอยล่าง ส่วนทางเจ้าหน้าที่อุทยานก็ผลักดันพวกเราที่อยู่บ้านบางกลอยบนเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 โดยบอกว่าให้พวกเรา ย้ายลงไปอยู่กับญาติพี่น้องที่อยู่บ้านบางกลอยล่าง ถ้าไม่ย้ายลงไป ก็ให้ไปอยู่ฝั่งพม่า "พวกเราทุกคนที่อยู่บ้านบางกลอยบน ไม่ได้มาจากฝั่งพม่า พวกเราจะไม่ไป เราจะไม่ไปอยู่ประเทศพม่า" เราจะขออยู่บ้านบางกลอยบน เพราะบ้านบางกลอยล่างเราก็เคยลงไปอยู่มาแล้ว พวกเราตัดสินใจอยู่บ้านบางกลอยบนต่อไป แต่การผลักดันของเจ้าหน้าที่อุทยานก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้น "เผาบ้าน เผายุ้งข้าว ตัด ฟัน ทำลายพืชผักผลไม้ที่พวกเราปลูกไว้ และไล่จับกุมพวกเราทุกคนที่เขาพบเห็น"

ตอนนี้พวกเราลำบากมาก "เพราะ ข้าวของ พิธีกรรม ตามความเชื่อของชาวบ้านถูกทำลาย ทุกอย่างที่เขาพบเห็นจนหมด " ทำให้ชาวบ้าน บ้านบางกลอยบนใช้ชีวิตลำบาก ไม่ว่าจะเป็น "เด็ก คนแก่ คนป่วย หรือคนท้อง ต้องทุกข์ทรมานมาก ต้องอดอยาก ไม่มีข้าวกิน ถึงขั้นมีคนตายและคนท้องแท้งลูก" "ขณะหลบหนีเจ้าหน้าที่ เราต้องนอนอยู่ในป่า ในถ้ำ โดยไม่มีผ้าห่ม เสื้อผ้าสำรอง ต้องทนฝน ทนยุง ทนหนาว" ส่วนเรื่องอาหารการกิน "พวกเราหาหัวกลอย หัวเผือก หัวมัน หน่อไม้หรือของในป่า ที่กินได้เอามากินเพื่อแก้หิว" พวกเราเดือดร้อนเช่นนี้ พวกเราก็เคยบอกผู้นำหมู่บ้าน ทั้งบ้านโป่งลึก - บ้านบางกลอยล่าง รับรู้ แต่ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือพวกเรา เพราะพวกเขากลัวเดือดร้อน เพราะกลัวเจ้าหน้าที่จะรังแกพวกเขา ถึงแม้ว่าชาวบ้านและผู้นำหมู่บ้าน บ้านโป่งลึก - บ้านบางกลอยล่าง เป็นลูกหลานญาติพี่น้องของพวกเราจริงๆ 

พวกเราจึงขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าขอ 
1. ให้พวกเราได้มีสิทธิ์ อยู่ในพื้นที่บ้านบางกลอยบน โดยที่เจ้าหน้าที่อุทยานต้องไม่ไปรังแก ขับไล่ จับกุม เผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายพิธีกรรมทางความเชื่อ ของพวกเราที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ และไม่ทำลายทรัพย์สินของพวกเรา พวกเราจะได้อยู่กันเป็นหลักแหล่ง เพื่อความมั่นคงในคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพจิตใจที่ดี

2. กันเขตพื้นที่ทำกินให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องอดอยาก ทนทุกข์ทรมาน อยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ และกระจัดกระจายอยู่ในป่าใช้ชีวิตเหมือนคนป่า และเพื่อป้องกันปัญหา การบุกรุกป่าพื้นที่อุทยาน

พวกเราขออยู่บ้านบางกลอยบนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนเดิม และเราจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ในการดูแลป่า เพื่อความมั่นคงของประชาชนและประเทศชาติในอนาคต   พวกเราจึงขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รีบดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยด่วน เพราะตอนนี้พวกเราเดือดร้อนมาก "

ขณะที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกแถลงการณ์เรียกร้องผู้เกี่ยวข้องชี้แจงกรณี ‘บิลลี่’ หายตัวไป โดยเนื้อหาแถลงการณ์ระบุว่าสืบเนื่องจากกรณีมีรายงานข่าวว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 18 เม.ย. 57 นายบิลลี่ หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ. แก่งกระจาน จ. เพชรบุรี ได้หายตัวไปขณะเดินทางจากหมู่บ้านลงมายังตัวอำเภอแก่งกระจาน

ต่อมานายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมายอมรับว่าได้ควบคุมตัวนายบิลลี่ไปเพื่อสอบสวน โดยอ้างความผิดซึ่งหน้าว่าค้นตัวนายบิลลี่เจอรังผึ้งและน้ำผึ้ง 6 ขวด แต่ได้ปล่อยตัวนายบิลลี่ไปแล้ว โดยไม่มีหลักฐานพยานถึงข้อกล่าวหาและการปล่อยตัวแต่อย่างใด

ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่านายบิลลี่อยู่ที่ใด ไม่มีใครพบเห็นนายบิลลี่ และไม่ได้รับการติดต่อกลับผิดวิสัยนักกิจกรรม ขณะนี้ชาวบ้านมีความห่วงกังวลในเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างมากจึงได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ไว้แล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2557

ปรากฎข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2557 นายบิลลี่หายตัวไปขณะเดินทางมาเพื่อเตรียมข้อมูลและเตรียมการนำชาวบ้านไปร่วมการพิจารณาคดีของศาลปกครองในคดีที่ชาวบ้านกะเหรี่ยงบางกลอยฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติฯ และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร จากกรณีที่การเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวบ้านกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัวที่บ้านบางกลอยบนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554

ซึ่งปรากฏผลการศึกษายืนยันต่อมาว่าชาวบ้านกะเหรี่ยงกลุ่มดังกล่าวเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ตั้งรกรากอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณลำห้วยเหนือแม่น้ำบ้านบางกลอยบนมานับแต่ครั้งบรรพบุรุษเป็นเวลาร่วมกว่า 100 ปี ความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับชาวบ้านชนเผ่าพื้นเมืองเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องคดีในชั้นศาล รวมทั้งการลอบสังหารนายทัศน์กมล โอบอ้อม นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอีกรายหนึ่งเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2554 และการตั้งข้อกล่าวหาจ้างวานฆ่าต่อนายนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานฯ ซึ่งขณะนี้คดีกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคดีของศาล

หากแต่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรยังคงปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามระเบียบที่เคยปฏิบัติในกรณีที่ข้าราชการถูกฟ้องคดีอาญาร้ายแรง

แถลงการณ์ ยังระบุต่อว่า เหตุการณ์หายตัวไปของนายบิลลี่ สร้างความวิตกกังวลว่าอาจน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทนายความในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ซึ่งนายบิลลี่และชาวบ้านต้องร่วมเป็นพยานในคดีดังกล่าวด้วย การหายตัวไปของนายบิลลี่จึงอาจส่งผลต่อคดีและการต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมของกลุ่มชาวบ้านด้วย

การบังคับให้บุคคลสูญหาย หรือ การอุ้มหาย เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ร้ายแรงที่สุดเป็นการละเมิดสิทธิต่อชีวิต ร่างกาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่รัฐมีหน้าที่ตามกฎหมายภายในและพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องให้การเคารพและคุ้มครองสิทธิดังกล่าว

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้บังคับบัญชาชี้แจงเรื่องการหายตัวไปของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยทันที รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่และสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามตัวนายบิลลี่ อย่างโปร่งใส เป็นอิสระและนำตัวกลับมาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ รัฐจะต้องไม่ยินยอมต่อการกระทำอันเป็นการบังคับให้บุคคลสูญหายและต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้พบและช่วยเหลือเหยื่อและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้หากมีข้อมูลที่เชื่อได้ว่าเป็นการบังคับให้สูญหายจริง บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำการบังคับให้บุคคลสูญหายนั้นพึงถูกพักจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการในระหว่างเวลาที่มีการสอบสวนด้วย ตามที่ระบุในปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลให้พ้นจากการถูกใช้กำลังบังคับให้หายสาบสูญ ซึ่งรับรองโดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2535 

อนึ่ง  ชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อาศัยอยู่บริเวณป่าแก่งกระจานบริเวณลำห้วยของลุ่มน้ำเพชรบุรี และลุ่มน้ำบางกลอย จนกระทั่งในปีพ.ศ.2524 กรมป่าไม้ได้ประกาศพื้นที่นี้เป็นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานครอบคลุมเนื้อที่ 1,821,687.84 ไร่ ซึ่งเป็นอุทยานที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศไทย ผลจากการประกาศดังกล่าวนี้ ทำให้ในปีพ.ศ.2539 ได้มีโครงการอพยพ ผลักดันให้ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณใจแผ่นดิน-พุระกำ มาอยู่อาศัยบริเวณบ้านบางกลอยหมู่ 1 และบ้านโป่งลึกหมู่ 2 จำนวน 192 หลังคาเรือน ประชากร 1,048 คน  โดยราชการระบุว่าได้จัดหาที่ดินทำกินพร้อมที่อยู่อาศัยให้แก่ชาวกะเหรี่ยง แต่ในสถานการณ์จริงพบว่า ที่ดินที่ราชการให้นั้นมีผู้อื่นทำกินอยู่แล้ว หรือไม่ก็ที่ดินเหล่านั้นไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก จึงเป็นเหตุให้ชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้อพยพกลับไปอยู่ในบริเวณเดิมที่ตนเองเคยอาศัย 

ต่อมาอีก 10 ปี รัฐบาลไทยมีโครงการลาดตระเวนเชิงรุก และขับไล่ชาวบ้านอีกครั้ง หากจะยังพอนึกถึงข่าวกลางเดือนกรกฎาคม 2554 เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกติดต่อกันถึง 3 ลำ ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 17 ศพ ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่จากกรมอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สนธิกำลังร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี เข้าผลักดันชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ที่บ้านบางกลอยบน บริเวณต้นน้ำห้วยใหญ่ ห่างจากบ้านบางกลอย-โป่งลึก ระยะทางเดินเท้าร่วม 2 วัน 

การผลักดันชาวกะเหรี่ยงในครั้งนั้น มีการเผาทำลายยุ้งข้าวที่เก็บข้าวเปลือกร่วม 400 ถัง เผาข้าวฟ่าง ข้าวโพด ยาสูบ พริกและงา ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ชาวกะเหรี่ยงเก็บไว้ปลูกในฤดูฝน และยังผลักดันให้ชาวกะเหรี่ยงย้ายลงมาอยู่ที่บ้านบางกลอย อีกหลายคนก็ถูกจับกุมว่าเป็นพวกบุกรุก ทำไร่เลื่อนลอย ทำลายผืนป่าต้นน้ำ เป็นสาเหตุให้ป่าแห้งแล้งและเกิดไฟไหม้ป่า อีกหลายคนก็ถูกกล่าวหาว่าครอบครองอาวุธ ทั้งที่ชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้ต่างอาศัยอยู่ในพื้นที่มานานนับร้อยปี มีทะเบียนราษฎรชาวเขาถูกต้อง และยังถูกกล่าวหาว่า ชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยไม่ใช่คนไทย 

ผลจากปฏิบัติการดังกล่าว ทำให้ชาวกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอยต้องประสบกับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ไม่มีข้าว และอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ เครือข่ายกะเหรี่ยงทั่วประเทศได้ระดมความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง

http://www.citizenthaipbs.net/node/3994#.U1OF3GnCU1h.facebook




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง