 |
"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" นับเป็นภูมิภาคซึ่งเป็นที่อยู่ที่อาศัยของผู้คนหลากเผ่าหลายพันธุ์
แม้แต่ในแผ่นดินไทยเอง ท่ามกลาง "เส้นสมมุติ" ที่เรียกว่าเขตแดนนั้นก็เต็มไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากมายอาศัยอยู่ หาได้ "รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" แต่เพียงอย่างเดียวไม่
ล่าสุด เกี่ยวกับเรื่องราวของผู้คนชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศนี้ ได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยโครงการ "ประสบการณ์" กับ "การเข้าถึงความยุติธรรม" : การศึกษาวิจัยแบบอัตชีวประวัติของผู้หญิงชาติพันธุ์" โดยคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) องค์กรเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women)
การวิจัยนี้บอกเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตจริงของหญิง 5 ชนเผ่า ประกอบด้วย ผู้หญิงลาหู่ ผู้หญิงเมี่ยง ผู้หญิงม้ง ผู้หญิงดาราอาง และผู้หญิงปกากะญอ
นักวิจัยได้ทำความเข้าใจประสบการณ์ของผู้หญิงชาติพันธุ์ต่อกระบวนการเข้าถึงความยุติธรรมในมิติต่างๆ อาทิ การมีส่วนร่วมทางการเมือง การเข้าถึงบริการของรัฐทางด้านสุขภาพและอนามัยเจริญพันธุ์ กระบวนการเคลื่อนไหวเรื่องที่ดิน และประเด็นสัญชาติหรือสิทธิความเป็นพลเมืองในรัฐไทย รวมทั้งมิติด้านจารีตประเพณีกลุ่มชาติพันธุ์หรือที่เรียกว่าจารีต "ท้องถิ่น"
ก่อนจะพบข้อเท็จจริงว่า พวกเธอถูกกักขังอยู่ในกรอบของจารีตดั้งเดิมที่ผู้ชายรับบทบาทเป็นผู้นำและมีสิทธิมีเสียงมาโดยตลอด มาวันนี้พวกเธอได้ลุกขึ้นสู้กับกฎเกณฑ์ที่ใครบางคนได้สร้างขึ้น ทว่ากลับส่งผลให้เธอต้องเผชิญหน้ากับคำครหาของผู้ชายในหมู่บ้านจนต้องระเห็จออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอก
พวกเธอจะมีเส้นทางชีวิตต่อไปอย่างไร? และสังคมไทยมีที่ให้เธอยืนอยู่หรือไม่นั้น? ลองฟังสิ่งที่นักวิจัยได้ไปศึกษามา
เริ่มต้นที่ชีวิตของ "แน่งน้อย แซ่เซ่ง" หญิงจากเผ่าม้งขาว เธอมีอุปนิสัยและความคิดที่แหวกแนวจากผู้หญิงม้งด้วยกัน ความน่าสนใจที่ต้องตาแต่แรกเห็นนั้น อังศุรักษ์ พรหมสุวรรณ์ ผู้วิจัย เล่าว่า แน่งน้อยมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ เธอแข็งขืนและลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรมที่ได้รับจากครอบครัวและเครือญาติฝ่ายสามี รวมถึงชุมชนที่เธออาศัยอยู่ เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเมียน้อยที่ยอมสยบอยู่ใต้อำนาจตระกูลของสามี ยอมติดคุกตะรางเพื่อครอบครัว ยอมตกเป็นรองเพื่อสิทธิในมรดกแก่ลูกๆ กลายเป็นหญิงม่ายหย่าสามี มุ่งมั่นทำงานพัฒนาชุมชนเพื่อสิทธิสตรีม้ง เพื่อปลดแอกผู้หญิงม้งอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อังศุรักษ์ อธิบายว่า วัฒนธรรมม้งให้ความสำคัญกับเรื่องของแซ่ตระกูลมาก เชื่อได้รับอิทธิพลมาจากจีนที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายชายและลำดับอาวุโส ลูกชายคือผู้สืบทอดสายตระกูล ขณะที่ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุไม่มีอำนาจ เสียงจากฝ่ายหญิงจึงมักส่งไปไม่ถึง พวกเธอจึงถูกลิดรอนอำนาจและตกอยู่ภายใต้บงการของฝ่ายชาย เป็นทาสแรงงานในครัวเรือนและเป็นอู่ผลิตทายาทให้กับสายตระกูลเพียงเท่านั้น
"คุณแน่งน้อยมาจากครอบครัวที่มีแต่ลูกสาว เธอได้รับการศึกษาตั้งแต่ยังเด็กและออกมาศึกษายังนอกหมู่บ้านตั้งแต่ชั้นประถม และเป็นหญิงที่จบชั้นมัธยมเพียงแค่คนเดียวในชุมชน จากเรื่องราวชีวิตของเธอ แม้เป็นหญิงที่ได้รับการศึกษาแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับในชุมชน โดยหลังจากหย่าขาดจากสามีเธอต้องมุ่งมั่นที่จะขวนขวายหาความรู้สมัยใหม่จากองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อที่จะช่วยปลดแอกผู้หญิงม้งคนอื่นๆ ในชุมชนอย่างสันติวิธี" อังศุรักษ์กล่าว
ขณะที่เรื่องราวชีวิตของ "คำ นายนวล" หญิงชาติพันธุ์ดาราอางก็ต้องกัดฟันสู้ไม่แตกต่างกัน
เธอถูกละเมิดสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะอยู่มาวันหนึ่งถูกกุมจับในข้อบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ด้วยมารับจ้างกรมป่าไม้มาปลูกป่าแต่กลับตกกระไดพลอยโจนอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เธอถูกให้พิมพ์ลายนิ้วมือลงในข้อหาดังกล่าวโดยไม่อาจขัดขืนได้ หลังจากนั้นเธอก็ถูกส่งเข้าสู่เรือนจำ
อริยา เศวตามร์ ผู้ศึกษาเล่าว่า เมื่อคำออกมาจากเรือนจำ เธออยากกลับมาขจัดความไม่เป็นธรรมสำหรับคนต่างชาติพันธุ์ออกไป คำร่วมกับผู้นำคนอื่นๆ นำชาวบ้านไปตั้งรกรากใหม่ที่บ้านปางแดงนอก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อยู่บริเวณที่ราบเชิงเขาเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งต่อมาภายหลังมีการยกเลิกสัมปทาน จึงถูกประกาศเป็นป่าอนุรักษ์เพราะรอบหมู่บ้านเป็นป่าสัก เธอและชาวบ้านหันมาทอผ้าแทนการปลูกข้าวโพดซึ่งต้องใช้สารเคมีและทำลายหน้าดิน เพื่อสร้างอาชีพเป็นของตัวเอง
นอกจากนี้เธอยังลุกขึ้นเป็นแกนนำในการส่งเสริมความรู้ทางด้านภาษาและกฎหมายให้แก่หญิงชาวดาราอาง
เธอก้าวขึ้นสู่กระบวนการต่อสู้เรื่องสัญชาติ ให้ผู้หญิงดาราอางได้รับสัญชาติไทยเพื่อสิทธิทางการศึกษาและการได้รับบริการด้านสุขภาพที่เท่าเทียม เพราะดารางอางนั้นเป็นชนเผ่าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ชายแดนพม่า จึงถูกจัดว่าเป็นคนชายขอบ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิจำเป็นต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัยบนแผ่นดินไทยมานาน
ด้านชีวิตของ "เฟย ศรีสมบัติ" ผู้หญิงเมี่ยน ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกขับจากตระกูล เร่ร่อนไป หากแต่ในที่สุดก็ได้รับการศึกษา และแบกวุฒิปริญญาตรีกลับมาชุมชนอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น
พูนสุข ขันธาโรจน์ ผู้ศึกษาประสบการณ์จากหญิงชาวเมี่ยนคนนี้ เล่าว่า เธอต้องการการมีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่น แต่ด้วยอคติที่รายล้อมชีวิตผู้หญิงเมี่ยนอยู่ยากจะหลุดพ้น วัฒนธรรมเมี่ยนตีกรอบให้การดูแลความสงบเรียบร้อย การติดต่อกับชุมชนภายนอกจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ระบบเครือญาติจึงมีความสำคัญมากที่สุด ผู้หญิงเมี่ยนที่ดีจะถูกสั่งสอนให้อยู่บ้านเฝ้าเวียน จะต้องทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว เลี้ยงสัตว์ และดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายเพราะผู้หญิงเมี่ยนมีความสามรถด้านการปักผ้า
พร้อมให้ข้อเสนอว่า
"เรื่องราวของเฟยจะนำไปสู่การสร้างความตระหนักในการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของผู้หญิงชาติพันธุ์ซึ่งทำได้หลายวิธี ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน ส่งเสริม รวมทั้งให้การศึกษา ให้ความคุ้มครองสิทธิแก่ผู้หญิงชาติพันธุ์ในชุมชน และโครงสร้างทางการปกครองส่วนท้องถิ่นควรจะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าไปมีสิทธิอย่างเท่าเทียม" พูนสุขกล่าว
เป็นเพียงบางประสบการณ์ของกลุ่มผู้หญิงชาติพันธุ์ที่นักวิจัยได้ทำการศึกษา
ซึ่งผลการวิจัยข้างต้น นำไปสู่ขั้นตอนการพูดถึงข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านความเสมอภาคระหว่างเพศกับการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิงชาติพันธุ์ ซึ่ง อารีวรรณ จตุทอง อดีตรองนางสาวไทย ซึ่งวันนี้คือ นักวิชาการปฏิรูปกฎหมายชำนาญการพิเศษ และผู้ทำงานเพื่อผู้หญิงมากมาย ได้จำแนกไว้ 2 ระดับ
ระดับ 1. การเข้าถึงความยุติธรรมในระดับครอบครัวชุมชนผ่านการถ่ายทอดวัฒนธรรมเดิมจากรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้ผู้หญิงต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตุลาธิปไตยอย่างแท้จริง มีปัญหาการถูกละเมิดหรือกระทบสิทธิมนุษยชน ไม่มีสิทธิในมรดกทรัพย์สิน ออกจากชุมชนแล้วไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ผู้หญิงชาติพันธุ์ไม่ได้รับการศึกษา ไม่ได้รับความรู้หรือการบริการในการเข้าถึงสุขภาพและอนามัยพันธุ์ หรือการไม่ได้รับการยอมรับให้ก้าวขึ้นสู่บทบาทการเป็นผู้นำ ทำให้ผู้หญิงและเด็กไม่ได้รับการคุ้มครอง
ระดับ 2.คือ การเข้าถึงความยุติธรรมผ่านเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย มีการเลือกปฏิบัติและอคติทางชาติพันธุ์ รวมถึงไม่มีมาตรการในการขจัดการเลือกปฏิบัติดังกล่าว เช่น กรณีไม่รับสัญชาติไทย จากระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงทะเบียนให้แกชาวไทยสัญชาติไทยภูเขา พ.ศ.2535 ซึ่งกำหนดว่า ชาวเขาต้องพูดและฟังภาษาไทยได้ ก็จะสร้างแรงกดดันสำหรับผู้หญิง ซึ่งไม่ได้ออกไปนอกชุมชน การเรียนรู้เรื่องภาษากลาง หรือการจะได้รับการศึกษาจึงเป็นเรื่องยาก
อีกทั้งเรื่องการถูกเลือกปฏิบัติจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ การมีปัญหาด้านการสื่อสารของเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขกับหญิงชาติพันธุ์ และกรณีที่ต้องมีล่ามเพื่อพึ่งพาในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้ไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งและอาญาได้
อารีวรรณบอกว่า เหล่านี้จึงเป็นปัญหาที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องรีบหาทางแก้ไขทั้งร่างกฎหมายและมาตรการพิเศษ เช่น การจัดอบรมให้ความรู้และสรรหาล่ามมาให้ความสะดวกประจำหน่วยงานสาธารณสุขหรือหน่วยงานราชการอื่นแก่หญิงชาติพันธุ์ การไม่เลือกปฏิบัติกับชาติพันธุ์กลุ่มน้อยและปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ให้สมกับสังคมไทยที่ยืนหยัดและเรียกร้องในประชาธิปไตย
"เพราะไม่ว่าจะมาจากชาติพันธุ์ใด คนทุกคนย่อมต้องการการรองรับจากกฎหมาย ย่อมต้องการเป็นบุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคเฉกเช่นเดียวกัน" นักวิชาการปฏิรูปกฎหมายชำนาญการพิเศษ กล่าวย้ำทิ้งท้าย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1397655983&grpid&catid=19&subcatid=1904