มอง "อนาคตลูกหลาน" ก้าวต่อไป "ชุมชนคลิตี้ล่าง"
โพสเมื่อวันที่ 10 เม.ย 2557 16:25 น.
(ซ้าย) ครูโมเม (ขวา) ด.ต.วรวีร์
10 มกราคม 2556..วันนี้อาจเป็นเพียงวันหนึ่งที่ผ่านไปของใครหลายคน แต่สำหรับคนกลุ่มหนึ่งแล้ว วันนี้คงต้องถูกบันทึกให้เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของพวกเขาเลยก็ว่าได้ หลังต้องต่อสู้มายาวนานถึง 16 ปี ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษ เข้าไปฟื้นฟู “ลำห้วยคลิตี้” สายน้ำที่เป็นทุกอย่างของชุมชนกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ปนเปื้อนสารตะกั่วเนื่องจากโรงแต่งแร่ปล่อยน้ำเสียลงในลำห้วยโดยไม่ผ่านการบำบัดอย่างถูกวิธี จนชาวบ้านที่นำน้ำมามาบริโภคล้มป่วยไปหลายราย
ด้านหนึ่งกระบวนการเยียวยาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่นกรมควบคุมมลพิษ) พร้อมกับการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทตัวการยังต้องดำเนินต่อไป แต่อีกด้านหนึ่ง หลังคำพิพากษาศาลปกครองอันถือเป็น “ก้าวแรกชีวิตใหม่” ของชุมชนคลิตี้ล่าง วันนี้ชาวบ้านหลายคนเริ่มคิด เริ่มคาดหวังถึงอนาคตของตนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อนาคตเด็กและเยาวชน” ลูกหลานของพวกเขา
3-5 เมษายน 2557..“สกู๊ปหน้า 5” ติดตามคณะเดินทางของ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (ENLAW) และ Thai PBS ไปยังชุมชนคลิตี้ล่างอีกครั้ง สิ่งแรกที่เราได้ทราบจากคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ ทราบว่า..วันที่เราเดินทางไปถึง ตรงกับช่วงพิธีทำบุญลำห้วย “16 ปีคลิตี้ ชนะคดีศาลปกครอง” พอดี ดังนั้นจึงพอเห็นแสงไฟสว่างไสวได้บ้าง ทั้งนี้หากเป็นวันปกติ พื้นที่ทั้งหมดจะค่อนข้างมีดสนิท เพราะไม่มีไฟฟ้าใช้อย่างสม่ำเสมอเช่นพื้นที่อื่นๆ โดยทุกหลังคาเรือนพึ่งพาเพียงแผงพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ชาร์จไฟใส่แบตเตอรี่ไว้เท่านั้น และใช้ได้ไม่นานนัก
แม้กระทั่ง “ศูนย์เด็กเล็ก” ที่ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนก็ไม่แตกต่างกัน แน่นอนว่าสัญญาณโทรศัพท์ คงต้องบอกว่า “ดับสนิท” เกือบทั้งพื้นที่ มีเพียงบางจุดเท่านั้นที่พอจะมีสัญญาณปรากฏบ้าง แต่ก็เป็นบางเครือข่ายเท่านั้น
สาวิตรี อรุณศรีสุวรรณ หรือที่เด็กๆ เรียกว่า “ครูโมเม” หญิงสาววัย 26 ปี คงเป็นเยาวชนไม่กี่คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ที่โชคดีได้ออกไปศึกษาต่อจนจบถึงชั้นปริญญาตรี ก่อนจะกลับมาเป็นครูประจำศูนย์เด็กเล็ก ณ บ้านเกิดของตนอีกครั้ง กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงอนาคตรุ่นน้องเหล่านี้ไม่น้อย เพราะความที่ชุมชนนั้นเกือบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้เด็กและเยาวชนที่นี่ อาจจะมองไม่เห็นความสำคัญของการศึกษามากนัก

(บน) สภาพศูนย์เด็กเล็กในปัจจุบัน (ล่าง) แผนผังโรงเรียนที่กำลังก่อสร้าง
“ล่าสุดเพื่อนส่งการ์ดอวยพรปีใหม่มาให้ แต่กว่าจะมาถึงเกือบๆ ปลายเดือนกุมภาแล้ว”
ครูโมเม เล่าพลางหัวเราะ แต่อีกมุมหนึ่งกลับสะท้อนให้เห็นถึงความทุรกันดารของชุมชนคลิตี้ล่าง ขนาดที่การส่งจดหมายยังต้องล่าช้าไปเกือบ 2 เดือน เมื่อรวมกับการไม่มีไฟฟ้าและสัญญาณโทรศัพท์ที่สม่ำเสมอแล้ว เด็กๆ ที่นี่จึงมองไม่เห็นภาพว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ เพราะแทบไม่ได้รับรู้โลกภายนอก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก หากเด็กๆ เหล่านี้ต้องเสียโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองไป
สอดคล้องกับชาวบ้านอีกรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่าชาวชุมชนคลิตี้ล่าง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการรับจ้างทำไร่ข้าวโพด ซึ่งรายได้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก มีเพียงเงินหมุนเวียนไปเพียบรอบๆ หนึ่งเท่านั้น แต่ก็ต้องทำต่อไปเพราะเป็นอาชีพหลัก ที่น่าเป็นห่วงคือรายจ่ายครัวเรือนสูงขึ้น เพราะต้องพึ่งพาการซื้อเสบียงอาหารจากที่อื่น เนื่องจากลำห้วยยังเป็นพิษทำให้ไม่สามารถจับสัตว์น้ำมาบริโภคได้ รวมถึงการเลี้ยงปศุสัตว์ก็ทำไม่ได้ด้วย หลังจากที่สัตว์เหล่านั้นไปดื่มน้ำในลำห้วยแล้วบางตัวล้มตาย หรือบางตัวเกิดภาวะพิการผิดรูป เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ความหวังก็เริ่มปรากฏบ้าง ล่าสุดศูนย์เด็กเล็กแห่งนี้ถูกยกระดับเป็น “โรงเรียนในสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน” (ตชด.) โดยในภาคเรียนใหม่ 1/2557 ทีจะเริ่มในเดือน พ.ค. 2557 นี้ จะเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ 6 เต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ชาวคลิตี้ล่าง ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืด ฝ่าสภาพอากาศที่หนาวเย็นรวมถึงเส้นทางทุรกันดารเมื่อฤดูฝนมาถึง เพื่อเดินทางไปเรียนยังโรงเรียนในพื้นที่คลิตี้บนอีกต่อไป
ด.ต.วรวีร์ ปานรอด ตชด.สังกัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้า) ในฐานะครูใหญ่ของที่นี่ ระบุว่า ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือประสานไปยังหลายหน่วยงาน ล่าสุด องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี ตอบรับแล้วว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ 2557 นี้ จะส่งเครื่องจักรกลเข้ามาปรับพื้นที่อย่างแน่นอน ขณะที่ก็มีพ่อแม่ผู้ปกครอง นำบุตรหลานมาสมัครแล้วประมาณ 70 คน
เช่นเดียวกัน มีเอกชนและประชาชนหลายราย ประสงค์ร่วมบริจาคสมทบทุนเพื่อสร้างอาคารเรียนและบ้านพักครูหลังใหม่ ตามแผนผังโครงการที่วางไว้ ซึ่ง ด.ต.วรวีร์ มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคี มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของคนไทยไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม ทั้งนี้ในปีการศึกษาแรก (2557) คงต้องใช้อาคารศูนย์เด็กเล็ก และอาคารโดยรอบทำการเรียนการสอนไปก่อน โดยคาดว่าอาคารและโรงเรียนใหม่จะแล้วเสร็จในปี 2558
แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่สำหรับชาวชุมชนคลิตี้ล่าง มองว่าโรงเรียน ตชด. อาจเป็นการเริ่มต้นของการพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ ให้หลุดพ้นจากความทุรกันดารและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น วันนี้หลายคนฝันถึง “ไฟฟ้าพลังงานลม” ซึ่งน่าจะใช้ได้ผลดีเพราะภูมิประเทศมีลมสม่ำเสมอ ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์มีข้อจำกัดหากวันใดแดดไม่แรง มีเมฆมากหรือมีฝนตก ทั้งนี้พวกเขาเชื่อว่าคงเริ่มต้นโครงการดังกล่าวในพื้นที่ของโรงเรียน ก่อนจะมีการขยับขยายต่อไป
ผู้สนใจข้อมูลของโรงเรียน หรือประสงค์จะสมทบทุนร่วมก่อสร้างอาคารเรียน สามารถติดต่อได้ที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้า) เลขที่ 260 หมู่ 2 ต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี 71140 โทรศัพท์ 034 -579353-4 , โทรสาร 034-579448 (ในวันและเวลาราชการ) หรือที่ Facebook เพจ “ตชด.กาญจนบุรี ค่ายพระพุทธยอดฟ้า” และที่เว็บไซต์ www.bpp13.go.th
http://www.naewna.com/scoop/98758
|