สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

'เขื่อนแม่แจ่ม'จุดเปลี่ยนกันชนป่า(ปกากะญอ)
โพสเมื่อวันที่ 15 มี.ค 2557 13:15 น. 



               กว่า 20 ปีที่ชาวไทยภูเขาเผ่า "ปกากะญอ" ผนึกกำลังคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนแม่แจ่ม เนื่องจากผืนป่าบริเวณนี้เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญที่ไหลสู่พื้นราบ และเป็นหนึ่งในต้นธารของลุ่มเจ้าพระยา ประกอบกับการดำรงอยู่ของชาวปกากะญอร่วม 4,000 คน ใน 6 หมู่บ้านของ ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เปรียบเสมือนกำแพงมนุษย์คอยเป็นกันชนไม่ให้กลุ่มนายทุนโค่นไม้สำคัญ หรือจับจองที่แผ้วถางทำไร่เลื่อนลอย ดังนั้นถ้าจะสร้างเขื่อนรัฐบาลต้องย้ายพวกเขาออกจากป่า ถือเป็นการกระทบวิถีชีวิตอย่างรุนแรง


               ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเสียงของภาครัฐจะอ่อนลง กระทั่งเกิดมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ได้ทำคลอดคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โดยมอบหมายให้ "ปลอดประสพ สุรัสวดี" ขึ้นแท่นบัญชาการแก้ปัญหาน้ำทั้งประเทศ ซึ่งมีผลงานชิ้นโบแดง คือ แผนการจัดการน้ำทั้งระบบมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม ลุ่มแม่น้ำปิง ลุ่มแม่น้ำน่าน ลุ่มเจ้าพระยา สะแกกรัง ป่าสัก และแม่กลอง ภายใต้แผนงาน 9 โมดูล

               นี่คือการปลุกผี "เขื่อนแม่แจ่ม" ซึ่งเป็นโครงการของกรมชลประทานที่ศึกษามาหลายสิบปี สบช่องเสนอโครงการดังกล่าวผนวกเข้ากับโมดูล เอ1 (การสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง, ยม, น่าน, สะแกกรัง และป่าสัก ให้ได้ความจุเก็บกัก 1.3 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 ปี) ผู้ชนะการประมูลคือ กลุ่ม "ITD POWER CHINA JV" ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ไอทีดี กับบริษัท พาวเวอร์ ไชน่า ของประเทศจีน

               เมื่อรัฐปัดฝุ่น "เขื่อนแม่แจ่ม" ชาวปกากะญอก็ประกาศพันธกิจร่วมกับภาคประชาชนในพื้นที่ และกลุ่มเอ็นจีโอ เคลื่อนไหวคัดค้านอย่างสุดกำลัง พวกเขาเชื่อว่า การมาถึงของเขื่อนจะส่งผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งต่อประชาชนในพื้นที่ และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม โดยเฉพาะป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่มีอยู่ถึง 70% พื้นที่ป่าสูง 20% รวมทั้งที่ราบเชิงเขาและที่ราบลุ่มน้ำอีก 10%

               "มนตรี ภาสกรณวงศ์" ตัวแทนชาวปกากะญอ สะท้อนปัญหาว่า หากมีการก่อสร้างเขื่อนแม่แจ่มจะกระทบพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแม่ซา บ้านแม่เอาะใต้ บ้านห้วยผา และบ้านแม่หอย ชาวปกากะญอต้องย้ายที่อยู่อาศัย ถือเป็นเรื่องที่กระทบต่อสภาพจิตใจของคนในพื้นที่อย่างยิ่ง เพราะบรรพบุรุษอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวมานานกว่า 100 ปี พวกเขาไม่ต้องการเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ หรือไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น

               "พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่บรรพบุรุษอายุกว่า 100 ปี มีระบบสาธารณูปโภคที่มั่นคง พวกเรายืนยันว่าจะไม่ย้ายออกไปที่อื่นแน่นอน ขอยอมตายในพื้นที่ของตัวเอง เหมือนกับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องการสร้างเขื่อนถือเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเรามาก พวกเราถือเป็นคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับป่าไม้มาโดยตลอด"

               มนตรี ย้ำว่า การสร้างเขื่อนของทางรัฐบาล ในแง่มุมหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่จะต้องศึกษาผลกระทบในหลายด้านให้ครอบคลุมมากกว่านี้ รวมทั้งต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสม เพราะพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นจุดรวมใจของชาวบ้าน ที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมอนุรักษ์พื้นที่ป่ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบวชป่าเพื่อให้ลูกหลานมีแหล่งน้ำไว้ใช้ อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำท้องถิ่น ให้ยังคงเหลืออยู่ในธรรมชาติ นอกจากนี้โครงการการสร้างเขื่อนแม่แจ่มยังกระทบในเรื่องของที่อยู่อาศัย ที่คนในพื้นที่จะต้องย้ายไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ เริ่มต้นสร้างบ้านใหม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น รวมไปถึงที่ดินทำกินก็ต้องจัดสรรใหม่ เส้นทางคมนาคม ด้านสุขภาพจิตใจ การศึกษา และอีกหลายๆ ด้าน ที่จะกระทบเป็นวงจร

               ความทุกข์ใจสิ่งที่ตัวแทนของชาวปกากะญอถ่ายทอดออกมานั้น ไม่ต่างกับชาวบ้านในพื้นที่ อย่าง "จำเนียร รู้แหลม" เล่าว่า ในช่วงฤดูน้ำหลากพื้นที่ในเขตตัวอำเภอแม่แจ่ม ที่อยู่บริเวณริมน้ำแม่แจ่มจะได้รับผลกระทบน้ำท่วมบ้านเรือนสองฝั่ง มองว่าหากมีการสร้างเขื่อนอาจเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดี แต่ถ้าศึกษาอย่างละเอียดจะพบว่ามีข้อเสียในหลายด้านที่ควรพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อหาทางออกกับปัญหาดังกล่าวร่วมกัน หรือขอให้ทางรัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะยาว ทั้งเรื่องการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ลุ่มน้ำ เพื่อเป็นการกักเก็บน้ำไว้ใช้ และลดผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม โดยปัญหาส่วนใหญ่ของคนในพื้นที่ หากพบว่ามีผลกระทบในกลุ่มคนหมู่มากจะต้องมีการจัดการวางแผนการแก้ไขปัญหาใหม่ รวมทั้งจัดทำประชาคมหมู่บ้าน เพื่อสรุปผลความต้องการให้ชัดเจน

               ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ชาวบ้านใน อ.แม่แจ่ม ได้รับทราบข้อมูลจาก "สุรพล เกียรติไชยากร" ส.ส.เชียงใหม่ เขต 9 ชี้แจงว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ชาวบ้านในพื้นที่อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หากมีการดำเนินการจริงจะต้องมีการดำเนินการหลายขั้นตอน ทั้งเรื่องสำรวจผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบด้านสังคมและศึกษาผลกระทบในหลายด้าน และจะต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะสามารถดำเนินการได้ อีกทั้งประชาชนในพื้นที่เห็นพ้องต้องกันว่า การดำเนินการสร้างเขื่อนแม่แจ่มมีผลเสีย โครงการดังกล่าวก็ไม่สามารถดำเนินการได้

               ขณะเดียวกัน "อุทิศ สมบัติ" ประธานสภาพัฒนาเมืองแจ่ม และคณะกรรมการมูลนิธิฮักเมืองแจ่ม เล่าว่า ที่ผ่านมาชาวบ้านไม่เคยได้รับทราบข้อมูลโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่แจ่ม มีเพียงเจ้าหน้าที่กรมชลประทานลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เมื่อปี 2532 แต่ก็ไม่ได้ชี้แจงอะไร กระทั่งหลังปี 2554 ที่ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ กบอ.จึงบรรจุโครงการเขื่อนแม่แจ่มเข้าในแผนแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ จากการศึกษาของกลุ่มพบว่า การดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่แจ่มจะส่งผลกระทบต่อหลายด้าน โดยเฉพาะผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ ที่ทำกิน รวมทั้งส่งผลให้โรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเพียงแห่งเดียว ถูกน้ำท่วมและตัดขาดจากภายนอก ในพื้นที่มีนักเรียนไม่ต่ำกว่า 649 คน จาก 5 โรงเรียน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนบ้านแม่ซา ที่มีชาวบ้านเข้ามารับการรักษาถึง 18,000 คนต่อปี จะมีคนภายในพื้นที่อำเภอใกล้เคียงคือ อ.กัลยาณิวัฒนา มาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าวด้วย

               นอกจากนี้เรื่องการเวนคืนที่ดินที่บริษัทเอกชนจะมุ่งหวังแต่กำไรเพียงอย่างเดียว ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่เป็นชนเผ่าปกากะญอ ที่ไม่มีเอกสารสิทธิในการครอบครองพื้นที่อยู่แล้ว จะต้องเจ็บช้ำมากขึ้น แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลายาวนานก็ตาม ทั้งนี้การสร้างเขื่อนจะต้องมีการเวนคืนพื้นที่ป่ากว่า 60% ของพื้นที่ป่าทั้งหมดของพื้นที่ และยังทำลายแหล่งอาหารของชุมชน ทำลายวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามที่มีการสืบทอดจากบรรพบุรุษของชาวปกากะญอ รวมทั้งการสร้างเขื่อนแม่แจ่มยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาท้ายเขื่อนได้

               จุดที่ถูกกำหนดให้ตั้งเขื่อนอยู่ใกล้พื้นที่รับน้ำจากลำห้วยเพียง 3 สาขาเท่านั้น หากประเมินจากสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2554 ลำน้ำแม่แจ่มที่ไหลลงไปท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น เป็นการรวมของลำน้ำทั้ง 12 สาขา รวมทั้งยังเป็นการส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ใต้เขื่อนต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำได้ นอกจากนี้การสร้างเขื่อนส่งผลให้น้ำท่วมผืนป่าต้นน้ำชั้น 1 เอ/ซี รวมทั้งยังเป็นการทำลายพันธุ์สัตว์ป่าในลำน้ำแม่แจ่ม โดยเฉพาะปลาท้องถิ่นของคนในพื้นที่ คือ "ปลาบุง" ปลาขนาดใหญ่สายพันธุ์เดียวในลำน้ำแม่แจ่ม

               กระนั้นก็ตาม จากข้อมูลยังพบว่า จุดที่มีการสำรวจในการก่อสร้างเขื่อนนั้น เป็นจุดที่อยู่บริเวณรอยเคลื่อนถึง 4 รอยเคลื่อน ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูง คือ รอยเลื่อนเม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็น 1 ใน 13 รอยเลื่อนที่กรมทรัพยากรธรณีระบุว่าเป็นรอยเลื่อนที่มีพลัง รอยเลื่อนขุนยวม รอยเลื่อนแม่ลาน้อย และรอยเลื่อนแม่ลาหลวง

               "สิ่งที่เป็นการแก้ไขปัญหาได้ที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้ คือ เรื่องการสร้างฝายชะลอน้ำ หรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก เนื่องจากในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม มีลุ่มน้ำสาขากว่า 20 สาขา ที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ และใช้งบประมาณไม่มาก รวมทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องตะกอนดินที่ทับถม สิ่งสำคัญคือ ที่ผ่านมาในพื้นที่ยังมีการสร้างอ่างเก็บน้ำแจ่มเต๊าะ ในพื้นที่ ต.แม่นาจร ซึ่งในปัจจุบันเต็มไปด้วยตะกอนดิน ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแก้ไข สะท้อนให้เห็นว่า หากมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ย่อมจะต้องเผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกัน" นายอุทิศ กล่าวในตอนท้าย

               ทั้งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อสร้างเขื่อนต่างหวาดระแวงคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่และมีการเฝ้าระวังบุคคลที่มาขอรายชื่อ เพราะทุกคนกังวลว่าจะเป็นการล่ารายชื่อเพื่อยินยอมในการก่อสร้างเขื่อน จนต้องมีการจัดเวรยามดูแลบุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่ เนื่องจากทุกคนยังยืนหยัดในการรักและหวงแหนพื้นที่ป่าของตัวเองอย่างเข้มแข็ง และหวังว่าโครงการดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน


แค่ศึกษาเบื้องต้น-ยังขาดรายละเอียด

               การบรรจุโครงการในการก่อสร้างเขื่อนแม่แจ่มเข้าในโมดูล เอ 1 แหล่งข่าวจากสำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่ ระบุว่า ที่ผ่านมากรมชลประทานมีการสำรวจแนวทางในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย และสถานการณ์ภัยแล้งทุกลุ่มน้ำ เพื่อจัดทำเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการในภาพรวมของประเทศ โดยมีการศึกษาในขั้นตอนแรกของการดำเนินการเท่านั้นคือ การศึกษาเบื้องต้นได้ศึกษาในช่วงเดือนกันยายน 2553 และไม่ได้ดำเนินการศึกษาต่อไป

               จากการศึกษาสถานภาพของโครงการเขื่อนแม่แจ่ม โดยสำนักบริหารโครงการเป็นการพิจารณาขั้นต้น ด้วยการพิจารณาศึกษากำหนดที่ตั้งโครงการอ่างเก็บน้ำที่มีศักยภาพในลุ่มน้ำสาขา ได้รวบรวมตรวจสอบโครงการที่ได้มีการศึกษาที่มีศักยภาพ ด้วยการอ้างอิงข้อมูลทุติยภูมิ ทั้งข้อมูลการใช้ที่ดิน ข้อมูลพื้นที่อนุรักษ์ ข้อมูลด้านการเกษตรเพื่อการวางแผนการปลูกพืช เพื่อมาศึกษาข้อมูลด้านสมดุลน้ำ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการจัดทำแผนพัฒนาชลประทานระดับลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบเท่านั้น

               อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวทางกรมชลประทานได้มีเอกสารยืนยันการศึกษาของโครงการดังกล่าว รวมทั้งโครงการเขื่อนแม่แจ่มยังเป็นเพียงการศึกษาเบื้องต้นและยังขาดรายละเอียดอย่างมาก จะต้องมีการศึกษาโครงการเบื้องต้น ศึกษาการวางโครงการ ที่สำคัญจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เป็นหลักด้วย

.........

(หมายเหตุ : 'เขื่อนแม่แจ่ม'จุดเปลี่ยนกันชนป่า(ปกากะญอ) : ประภาภรณ์ เครืองิ้วรายงาน)

http://www.komchadluek.net/detail/20131010/170144/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2(%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%8D%E0%B8%AD).html#.UyPvZfmqmaY




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง