สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

ถอดสรุปประสบการณ์คดีคลิตี้: กว่าจะถึงคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์
โพสเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2556 10:59 น. 



ถอดสรุปประสบการณ์คดีคลิตี้: กว่าจะถึงคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์

 

คดีสารตะกั่วปนเปื้อนลำห้วยคลิตี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ชาวกะเหรี่ยงลุกขึ้นมาฟ้องหน่วยงานรัฐเพื่อปกป้องสิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีโรงแต่งแร่ปล่อยสารตะกั่วลงลำห้วยที่ชุมชนใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน ซึ่งหลังจากใช้เวลาพิจารณาคดียาวนานกว่า 9 ปี ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 ให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้และชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านคลิตี้ล่าง ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีด้านสิ่งแวดล้อมคดีแรกในประเทศไทยที่มีคำพิพากษาศาลสูงวางบรรทัดฐานการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานรัฐในเรื่องฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมทั้งชี้ให้เห็น “จุดอ่อน” ในการแก้ปัญหาการปนเปื้อนมลพิษของประเทศไทย
 

มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม(EnLAW) ในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้โดยตรง ผ่านคณะทำงานช่วยเหลือชุมชนคลิตี้ สภาทนายความ ได้ทำการถอดสรุปประสบการณ์การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมทั้งขั้นเตรียมฟ้อง การดำเนินการในคดี และเผยแพร่ให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของสังคม ด้วยเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้กับการทำคดีด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งการขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปนเปื้อนมลพิษในสิ่งแวดล้อมซึ่งกำลังลุกลามไปในหลายพื้นที่และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นต่อไป

จุดเริ่มต้นของการฟ้องคดี

กรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ แม้จะเริ่มเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณชน ตั้งแต่ปี 2541 และหลากหลายหน่วยงานต่างก็ลงพื้นที่แก้ไขปัญหา แต่แล้วผ่านมา 5 ปี การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมยังคงไม่เห็นเป็นรูปธรรม ชาวบ้านหมู่บ้านคลิตี้ล่างยังคงเจ็บป่วย สัตว์น้ำยังคงอันตราย กรมควบคุมมลพิษซึ่งเคยประกาศแผนการฟื้นฟู กลับไม่ปฏิบัติตามแผนนั้น และเมื่อมีการทำหนังสือทวงถามให้ปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูลำห้วย กรมควบคุมมลพิษก็นิ่งเฉยไม่ชี้แจงแต่อย่างใด นี่จึงเป็นเหตุให้ชุมชนคลิตี้ล่าง, EnLAW และคณะทำงานตัดสินใจยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครอง

ชาวบ้านคลิตี้หน้ากระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2544
ชาวบ้านคลิตี้หน้ากระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2544

 

อย่างไรก็ตาม การฟ้องคดีเกี่ยวกับผลกระทบจากมลพิษนั้น จากบทเรียนการทำคดีโคบอลต์ 60 ทำให้เห็นว่าการฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายเพียงอย่างเดียวไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด และไม่สามารถบรรลุผลเพื่อประโยชน์สาธารณะในระยะยาวได้ การฟ้องในคดีนี้  จึงตั้งฐานจากการที่หน่วยงานรัฐละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่และไม่ควบคุมดูแลจนทำให้เกิดการปล่อยตะกอนตะกั่วลงสู่ลำห้วย ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำห้วยได้ตามปรกติอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่หน่วยงานของรัฐต้องคุ้มครอง เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ดังเดิม อันเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ทำไมจึงฟ้อง “กรมควบคุมมลพิษ”

ในการเตรียมคดี มีความพยายามในการศึกษาข้อกฎหมายเพื่อฟ้องกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) เพราะเป็นหน่วยงานที่อนุมัติอนุญาตให้เกิดการทำเหมืองแร่ จึงต้องรับผิดชอบเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น แต่สุดท้ายพบว่าไม่มีกฎหมายกำหนดให้กพร.มีอำนาจหน้าที่ฟื้นฟูมลพิษนอกเขตเหมืองแร่ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการซื่งกำหนดอำนาจหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ ประกอบกับข้อมูลจากคุณสุรพงษ์ กองจันทึกและองค์การพัฒนาเอกชนได้ชี้ให้เห็นว่ากรมควบคุมมลพิษยังไม่ได้เข้ามาติดตามควบคุมให้เกิดการฟื้นฟูลำห้วยอย่างเพียงพอ และมาตรา 96 , 97 พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่ง     ชาติ พ.ศ. 2535 ที่ให้อำนาจหน่วยงานรัฐในการเรียกค่าเสียหายจากการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากผู้ก่อมลพิษได้  ดังนี้ จึงนำมาสู่ข้อสรุปที่จะฟ้องกรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้กฎหมายที่บัญญัติได้นำมาบังคับใช้ และเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานในการบริหารงานของรัฐในการฟื้นฟูคุณภาพ         สิ่งแวดล้อมจากการปนเปื้อนสารพิษ



เน้นฟื้นฟูลำห้วย แถมค่าเสียหาย

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การฟ้องคดีนี้ มุ่งหวังให้มีการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้อย่างแท้จริง ดังนั้น คำฟ้องแรกจึงขอให้ศาลสั่งกรมควบคุมมลพิษปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่หลังจากยื่นฟ้องได้ไม่นาน กรมควบคุมมลพิษกลับยื่นคำให้การยืนยันว่าจะยุติการดำเนินการและปล่อยให้ฟื้นฟูตามธรรมชาติ ทำให้ชุมชนและภาคประชาชนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนี้ เพราะการจัดทำแผนการฟื้นฟูควรต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้เสียและต้องตั้งอยู่บนฐานความรู้ทางวิชาการ เมื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้นจึงมีการขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง เรียกค่าเสียหายจากการละเลยล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพื่อเร่งรัดให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ทั้งยังเป็นการเยียวยาชาวบ้านจากการถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญในระหว่างที่มีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ด้วย




สำหรับรายละเอียดค่าเสียหาย ชาวบ้านตกลงกันว่า ค่ากับข้าวที่ต้องจ่ายไปเนื่องจากไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำห้วยนั้นจะเรียกจากหน่วยงานรัฐ ส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายไปจากการเจ็บป่วยด้านสุขภาพจะเรียกจากผู้ประกอบการ โดยคุณจีรวรรณ บรรเทาทุกข์ ได้เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลการจ่ายค่าอาหารของชาวบ้านและนำมาเฉลี่ยโดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน ซึ่งกรมควบคุมมลพิษต้องชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจนกว่าจะเข้ามาฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้และสภาพแวดล้อมบริเวณดังกล่าวให้กลับสู่สภาพเดิม
 

    


ต้องแสวงหา “เพื่อนร่วมทาง”

หลังยื่นฟ้องคดี ทีมทนายได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับชาวบ้านในเรื่องสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกระบวนการในชั้นศาล พร้อมกันนี้ได้ตั้งคณะทำงานในทางคดีโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมเข้ามาช่วย เพราะการต่อสู้ในทางคดีนอกจากจะมีเรื่องการละเลยล่าช้าในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมแล้วยังมีเรื่องวิธีการฟื้นฟูที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ต้องมีงานศึกษาหรืองานวิจัยเข้ามาให้น้ำหนัก ดังนั้น ทนายความจึงเชิญอาจารย์อาภา หวังเกียรติ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ จากมูลนิธิสืบนาคะเสถียรมาเป็นคณะทำงานและเสนอความเห็นทางวิชาการต่อศาล อย่างไรก็ตาม ในการทำคดีขณะนั้น ก็มีข้อจำกัดในการสร้างเครือข่ายนักวิชาการและรวบรวมองค์ความรู้เรื่องการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้เพื่อเสนอทางเลือกอื่น ๆ ต่อศาล รวมทั้งประเด็นคลิตี้ก็เริ่มถูกหลงลืมในหน้าสื่อสาธารณะ

 

คำตัดสินศาลชั้นต้น

ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเมื่อปี 2551 ใน 2 ประเด็นตามคำขอท้ายฟ้องคือ 1.  กรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาจริง แต่มิได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าจนก่อให้เกิดความเสียหาย และ 2. ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านทั้ง 22 รายรายละ 33,783 บาท โดยยกคำขอในเรื่องค่าเสียหายในอนาคตของชาวบ้าน เพราะศาลเห็นว่าการปนเปื้อนในลำห้วยเริ่มเจือจางและใช้ประโยชน์ได้บางส่วนแล้ว

 

ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อ...

หลังมีคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ทีมทนายความเห็นว่าคำพิพากษาไม่ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหา เพราะศาลไม่ได้พิพากษาบังคับให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการฟื้นฟู ทั้งที่มีคำวินิจฉัยว่ากรมควบคุมมลพิษล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ จึงนำมาสู่การยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในหลายประเด็น คือ1) ยืนยันว่ากรมควบคุมมลพิษละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพียงแต่ล่าช้าดังที่ศาลชั้นต้นตัดสิน2) เรื่องค่าเสียหายในอนาคตจากการกระทำละเมิดที่ยังมีต่อเนื่องและชาวบ้านยังได้รับความเสียหาย และ3) ขอให้กรมควบคุมมลพิษเข้าดำเนินการฟื้นฟูโดยจัดทำแผนงานที่ชัดเจน และกำหนดมาตรการอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่ว โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน

 

ศาลสูงกลับคำตัดสิน

หลังพิจารณาคดีเกือบ 5 ปี ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองกลางในหลายประเด็นอันได้แก่ การชี้ว่ากรมควบคุมมลพิษละเลย/ล่าช้าการปฏิบัติหน้าที่ในหลายประเด็นสำคัญจนทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหายจนถึงปัจจุบัน จึงกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษต้องกำหนดแผนการฟื้นฟู และตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำ ดิน พืชผัก และสัตว์น้ำในลำห้วยทุกฤดูกาลจนกว่าจะไม่เกินค่ามาตรฐาน โดยปิดประกาศผลการตรวจให้ชุมชนทราบ รวมทั้งให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้เงินเกือบ 4 ล้านบาท โดยรวมดอกเบี้ยและค่าเสียหายในอนาคตไว้ด้วย



และนี่คือบทเรียนและประสบการณ์ในการทำคดีคลิตี้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดนี้เสมือนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้เท่านั้น หลังจากนี้ กรมควบคุมมลพิษจะต้องเริ่มกำหนดแผนการฟื้นฟู โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และต้องมีการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องจนกว่าสารตะกั่วจะไม่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่ง EnLAW และเครือข่าย ในนามคณะทำงานติดตามการฟื้นฟูสายน้ำและชุมชนคลิตี้ภาคประชาสังคม จะได้ติดตามตรวจสอบการทำงานของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้ต่อไป

 

EnLAW หวังว่าคดีที่ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของสังคมไทยนี้ จะสะท้อนให้เห็น “บทเรียน” จากการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขาดการวางระบบและสร้างองค์ความรู้ทั้งเรื่องการตรวจสอบ การจัดการกับปัญหามลพิษที่รั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม และการเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในสิ่งแวดลอม รวมทั้งเป็นกรณีตัวอย่างให้เกิดการพัฒนาระบบการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยต่อไป


ที่มา
http://prachatai3.info/journal/2013/05/46684




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง