เสียง"ปิล็อกคี่" ขอสัญชาติไทย
โพสเมื่อวันที่ 03 พ.ค. 2556 09:22 น.
เสียง"ปิล็อกคี่" ขอสัญชาติไทย
นพพล สันติฤดี
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนหลบลับเหลี่ยมเขา ลมเย็นๆ พัดผ่าน โชยกลิ่นหอมอ่อนของดินชุ่มน้ำริมลำห้วยเล็ก ชาวบ้านหลายคนเดินถืออุปกรณ์ทำมาหากินกลับเข้าบ้านหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่กระจัด กระจายในดงดอย เด็กน้อยต่างวิ่งเล่นบนลานหญ้าใกล้ท่าเทียบเรือ ไม่ไกลกันนักมีควายพ่อแม่ลูกเดินเถลไถลหาหญ้ากินเชื่องช้า
ชาวบ้านแสดงเอกสารการขอสัญชาติที่ล่าช้ากว่า 15 ปี
บรรยากาศยามเย็นของบ้านปิล็อกคี่ ช่างสงบร่มเย็น ดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉายภาพความเรียบง่ายและงดงามออกมาอย่างแจ่มชัด จนดูเหมือนว่าชาวบ้านที่นี่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่อย่างมาก ทว่าภายใต้ความสงบสุขนั้น พวกเขากลับต้องเผชิญทุกข์เข็ญและคำถามถึงความเป็นคน เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ของที่นี่ต้องตกเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ภายใต้เส้นเขตแดนที่ขีดคั่นแบ่งกั้นความเป็นเขาเป็นเรา
บ้านปิล็อกคี่ ตั้งอยู่ใน ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ชาวบ้านส่วนมากเป็นกะเหรี่ยงและมอญ มีประชากรในหมู่บ้านประมาณ 1,200 คน จากบ้านเรือนกว่า 350 ครัวเรือน อยู่ห่างจากชายแดนพม่าประมาณ 20 กิโลเมตร มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นแนวแบ่งเขตแดน
เมื่อประมาณปีพ.ศ.2527 มีชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่อาศัยหลังมีการสร้างเขื่อน วชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลม และประกาศจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.2533 ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ประมง และรับจ้างทั่วไป
คำว่า "ปิล็อกคี่" เป็นภาษากะเหรี่ยง "ปิล็อก" ก็คือลำห้วยปิล็อก ส่วน "คี่" แปลว่า ปลาย หรือยอด เมื่อรวมกันแล้วหมายความว่า หมู่บ้านที่อยู่ต้นน้ำ หรือปลายน้ำลำห้วยปิล็อก ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ถูกน้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณล้อมรอบด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ขณะที่ด้านข้างและหลังถูกขนาบด้วยป่ารกทึบ ทำให้การเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านปิล็อกคี่ ต้องอาศัยเรือรับจ้างที่รอรับส่งอยู่บริเวณเขื่อนวชิราลงกรณเท่านั้น เนื่องจากไม่มีทางรถยนต์ ตัดผ่าน
นายอำนวยชัย พูลศักดิ์ อายุ 42 ปี ผู้ประสานงานชาวบ้าน ปิล็อกคี่ ที่ทำหนังสือร้องเรียนสภาทนายความให้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาบุคคลไร้สถานะ เล่าปัญหาว่ามีชาวบ้านอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่อดีต มีปัญหาสถานะทางทะเบียนจำนวนมาก บางคนได้รับการสำรวจ และผ่านการประชาคมของชุมชนแล้ว แต่ยังไม่ได้ถ่ายบัตรที่เรียกว่าบัตร 10 ปี ทั้งที่บุคคลกลุ่มนี้ขึ้นทะเบียน ทร.38/1 ไว้เเล้ว แต่ทางอำเภอยังไม่ดำเนินการใดๆ ให้เลย
1.อำนวยชัย พูลศักดิ์
2.ด.ญ.ดาว
3.ด.ช.จันที
4.เคญี ธารารักษ์
5.สุรพงษ์ กองจันทึก
ผู้ประสานงานชาวบ้านปิล็อกคี่ สะท้อนปัญหาต่อว่า ยังมีกลุ่มบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ถือบัตรสีต่างๆ แต่บุตรที่เกิดในประเทศไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขในการลงรายการในทะเบียน ทร.14 และบุคคลที่ได้สัญชาติไทยตามมาตรา 23 ซึ่งบุตรของพวกเขายังไม่ได้รับการแก้ไขจากทางอำเภอ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการศึกษา และปัญหาการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่ทางราชการกำหนดตามมา เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่หน่วยงานราชการนำมาให้ ก็ให้เฉพาะบ้านที่เป็นคนไทยแล้วเท่านั้น
บนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล็อกคี่ เด็กน้อยชายหญิงนั่งเรียงแถวเรียบร้อยในโรงอาหาร ตั้งใจฟังการอบรมเรื่องสถานะทางทะเบียนจากคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ
เด็กบางคนฉีกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าตัวเขามีสิทธิและโอกาสที่จะได้รับสัญชาติไทย ขณะที่เด็กบางคนหน้าเศร้าแววตาหมดหวัง หลังรับรู้ว่ากระบวนการขอสัญชาติของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก
ด.ญ.ดาว อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นป.4 เล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขว่า พ่อแม่เป็นกะเหรี่ยง แต่หนูเกิดในไทย มีบัตรประจำตัวหมายเลข 7 จากการรับฟังการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล ทำให้รู้ว่ามีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติไทย และต่อจากนี้ก็จะชวนพ่อแม่ไปเดินเรื่องขอสัญชาติไทยให้เร็วที่สุด
"ก่อนหน้านี้พ่อแม่พยายามขอสัญชาติไทยให้หนูมาโดยตลอด แต่เจ้าหน้าที่อำเภอกลับไม่ยอมทำให้ แต่ครั้งนี้หนูรู้แล้วว่าตัวเองมีสิทธิที่จะได้พิสูจน์เพื่อได้รับสัญชาติไทย ดีใจมาก เพราะถ้าได้สัญชาติไทยแล้วก็จะได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับประชาชนไทยคนอื่นๆ" หนูน้อยสะท้อน ความฝัน
ขณะที่ ด.ช.จันที เมฆบัง อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นป.4 ร่วมบอกปัญหาว่าอยากเป็นคนไทย เพราะคิดว่าจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ได้เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ของตัวเอง และอาจทำให้มีงานดีๆ ทำ จะช่วยให้ครอบครัวที่ยากจนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และยังจะทำให้ได้รับสิทธิต่างๆ เหมือนคนไทยทั่วไป
1.ชาวบ้านร่วมสะท้อนปัญหา
2.สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน
3.อยู่กับสายน้ำและขุนเขา
4.ชาวบ้านกลับจากหาฟืน
5.สภาพหมู่บ้าน
6.ใช้เรือเดินทางเข้าออกหมู่บ้าน
7.นักเรียนเข้าฟังการอบรม
8.ยามเย็นบ้านปิล็อกคี่
"สำหรับผมติดตรงที่ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนเลข 0 จึงยังไม่สามารถขอสิทธิเป็นคนไทยได้ เนื่องจาก รัฐยังไม่เปิดให้กลุ่มบุคคลเลข 0 เปลี่ยนสถานะได้ในขณะนี้" ด.ช.จันทีกล่าว
ที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านปิล็อกคี่ ผู้เฒ่าผู้แก่คนหนุ่มสาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บ้างสะพายย่ามที่ภายในมีเอกสารทางราชการมายืนยันสถานะความเป็นคนของพวกเขา บ้างถือเอกสารพะรุงพะรัง พวกเขาทั้งหลายต่างละเว้นงานประจำวันอันหนักอึ้ง เพื่อมาสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการขอสิทธิเป็นคนไทย
นางเคญี ธารารักษ์ อายุ 45 ปี เล่าว่ามีลูก 3 คน ที่เกิดในประเทศไทย โดยลูกชาย 2 คนแรกได้รับสัญชาติแล้ว แต่พอมาลูกสาวคนสุดท้องที่เมื่อไปยื่นเรื่องแจ้งเกิด เพื่อนำไปสู่กระบวนการขอสัญชาติ กลับถูกปฏิเสธจากทางอำเภอ และถูกดึงเรื่องให้ยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อไปบ่อยๆ ก็ถูกว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และบอกให้นั่งรออย่างเดียวจนหมดเวลาราชการ เมื่อเวลาผ่านนานไปเรื่องที่ไปยื่นไว้ก็ถูกยกเลิก ต้องเสียเวลาดำเนินการใหม่
"อยากให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดำเนินการเรื่องสัญชาติตาม ขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายโดยเร็ว เพราะอยากให้ลูกได้รับสิทธิเหมือนคนไทยคนอื่นๆ และอยากฝากถามไปยังเจ้าหน้าที่อำเภอทองผาภูมิว่า ในเมื่อลูกชาย 2 คนได้รับสัญชาติไทยแล้ว ทำไมลูกสาวคนสุดท้องถึงยังไม่ได้รับสัญชาติไทย และไม่ได้รับการแจ้งเกิดเสียที" นางเคญีเล่าเสียงสั่นเครือ
หลังรับฟังปัญหาและเสนอแนะวิธีแก้ไขให้ชาวบ้านในเบื้องต้นแล้ว นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ สรุปปัญหาว่าที่โรงเรียนตชด.บ้านปิล็อกคี่ ซึ่งมีเด็กประมาณ 100 คน จากทั้งหมด 200 กว่าคนยังไม่มีสัญชาติไทย
ปัญหาส่วนใหญ่คือเด็กไม่ได้รับการแจ้งเกิด ทั้งๆ ที่เด็กเหล่านี้เกิดในประเทศไทย และถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนเลข 0 แต่โชคดีที่มติครม.เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2548 ทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับสิทธิบางอย่าง เช่น สิทธิการอยู่ในประเทศไทย สิทธิการรักษาพยาบาล แต่ก็ยังเป็นสิทธิที่น้อยมาก
นายสุรพงษ์ชี้ว่า ทางออกของเด็กกลุ่มใหญ่ที่ถือบัตรเลข 0 ต้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนแก้ไขสถานะเด็กให้เป็นไปตามที่เป็นจริง โดยแก้จากเลข 0 ให้เป็นชนกลุ่มน้อยเหมือนพ่อแม่ที่เกิดในประเทศไทย คือขึ้นต้นด้วยเลข 7 และเมื่อแก้เป็นเลข 7 แล้วสามารถมายื่นขอสัญชาติไทยได้ตามมติครม.วันที่ 7 ธ.ค.2553 ที่ให้สัญชาติไทยกับลูกชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในประเทศไทย มานานเเล้ว แต่ทั้งนี้ ยังเป็นห่วงว่ากระบวน การดำเนินการเรื่องนี้ของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ประธานอนุกรรม การสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ เล่าปัญหาต่อว่า มีชาวบ้านกว่า 100 คน ยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย และขอสิทธิคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 แต่จนถึงวันนี้ 15 ปีเเล้วเรื่องยังเงียบหาย
ทั้งที่ในระเบียบวิธีพิจารณาทางปกครอง เมื่อยื่นเรื่องเข้าไป เจ้าหน้าที่ต้องให้คำตอบชาวบ้านว่าจะอนุญาต หรือไม่อนุญาตภายใน 90 วัน และปัญหาอีกเรื่องคือ เจ้าหน้าที่เรียกหลักฐานจากชาวบ้านค่อนข้างมาก เช่น พยานบุคคลที่เรียกถึง 4-5 คน ทั้งที่ในกฎหมายระบุแค่ใช้พยาน 2 คนเท่านั้น
"หลังจากนี้สภาทนายความจะทำหนังสือสอบถามไปยังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่าเรื่องเหล่านี้ติดขัดอยู่ที่ไหน หรือเรื่องหายไปในขั้นตอนกระบวนการใด เพราะการดำเนินการที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบให้ชาวบ้านไม่ได้รับสิทธิที่ควรจะเป็น และถ้ากรมการปกครองไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ ก็จะนำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง ตามความประสงค์ของชาวบ้านต่อไป" นายสุรพงษ์สรุป
ค่ำคืนที่เสียงหรีดหริ่งกังวานก้องกลางพงไพร ในหมู่บ้านถูกความมืดห่มคลุมทั่ว เป็นความมืดมนอนธการ ไม่ต่างจากเรื่องสัญชาติของชาวบ้าน ที่แม้เวลาจะผ่านมานานเพียงใด ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขและเหลียวแลจากรัฐไทยเลย
|