สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

เสียง"ปิล็อกคี่" ขอสัญชาติไทย
โพสเมื่อวันที่ 03 พ.ค. 2556 09:22 น. 



เสียง"ปิล็อกคี่" ขอสัญชาติไทย
 
นพพล สันติฤดี



ดวงอาทิตย์ค่อยๆ เลื่อนหลบลับเหลี่ยมเขา ลมเย็นๆ พัดผ่าน โชยกลิ่นหอมอ่อนของดินชุ่มน้ำริมลำห้วยเล็ก ชาวบ้านหลายคนเดินถืออุปกรณ์ทำมาหากินกลับเข้าบ้านหลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่กระจัด กระจายในดงดอย เด็กน้อยต่างวิ่งเล่นบนลานหญ้าใกล้ท่าเทียบเรือ ไม่ไกลกันนักมีควายพ่อแม่ลูกเดินเถลไถลหาหญ้ากินเชื่องช้า
 

ชาวบ้านแสดงเอกสารการขอสัญชาติที่ล่าช้ากว่า 15 ปี
 
ชาวบ้านแสดงเอกสารการขอสัญชาติที่ล่าช้ากว่า 15 ปี
 
 
บรรยากาศยามเย็นของบ้านปิล็อกคี่ ช่างสงบร่มเย็น ดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉายภาพความเรียบง่ายและงดงามออกมาอย่างแจ่มชัด จนดูเหมือนว่าชาวบ้านที่นี่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่อย่างมาก  ทว่าภายใต้ความสงบสุขนั้น พวกเขากลับต้องเผชิญทุกข์เข็ญและคำถามถึงความเป็นคน เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ของที่นี่ต้องตกเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ภายใต้เส้นเขตแดนที่ขีดคั่นแบ่งกั้นความเป็นเขาเป็นเรา 
 
 
 
บ้านปิล็อกคี่ ตั้งอยู่ใน ต.ปิล็อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ชาวบ้านส่วนมากเป็นกะเหรี่ยงและมอญ มีประชากรในหมู่บ้านประมาณ 1,200 คน จากบ้านเรือนกว่า 350 ครัวเรือน อยู่ห่างจากชายแดนพม่าประมาณ 20 กิโลเมตร มีเทือกเขาตะนาวศรีเป็นแนวแบ่งเขตแดน
 
 
 
เมื่อประมาณปีพ.ศ.2527 มีชาวบ้านอพยพเข้ามาอยู่อาศัยหลังมีการสร้างเขื่อน วชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลม และประกาศจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.2533 ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ประมง และรับจ้างทั่วไป
 
 
 
คำว่า "ปิล็อกคี่" เป็นภาษากะเหรี่ยง "ปิล็อก" ก็คือลำห้วยปิล็อก ส่วน "คี่" แปลว่า ปลาย หรือยอด เมื่อรวมกันแล้วหมายความว่า หมู่บ้านที่อยู่ต้นน้ำ หรือปลายน้ำลำห้วยปิล็อก  ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ถูกน้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณล้อมรอบด้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ขณะที่ด้านข้างและหลังถูกขนาบด้วยป่ารกทึบ ทำให้การเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านปิล็อกคี่ ต้องอาศัยเรือรับจ้างที่รอรับส่งอยู่บริเวณเขื่อนวชิราลงกรณเท่านั้น เนื่องจากไม่มีทางรถยนต์ ตัดผ่าน
 
 
 
นายอำนวยชัย พูลศักดิ์ อายุ 42 ปี ผู้ประสานงานชาวบ้าน ปิล็อกคี่ ที่ทำหนังสือร้องเรียนสภาทนายความให้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาบุคคลไร้สถานะ เล่าปัญหาว่ามีชาวบ้านอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่อดีต มีปัญหาสถานะทางทะเบียนจำนวนมาก บางคนได้รับการสำรวจ และผ่านการประชาคมของชุมชนแล้ว แต่ยังไม่ได้ถ่ายบัตรที่เรียกว่าบัตร 10 ปี ทั้งที่บุคคลกลุ่มนี้ขึ้นทะเบียน ทร.38/1 ไว้เเล้ว แต่ทางอำเภอยังไม่ดำเนินการใดๆ ให้เลย
 



 
1.อำนวยชัย พูลศักดิ์
 
2.ด.ญ.ดาว
 
3.ด.ช.จันที 
 
4.เคญี ธารารักษ์
 
5.สุรพงษ์ กองจันทึก
 
 
 
 
ผู้ประสานงานชาวบ้านปิล็อกคี่ สะท้อนปัญหาต่อว่า ยังมีกลุ่มบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ถือบัตรสีต่างๆ แต่บุตรที่เกิดในประเทศไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขในการลงรายการในทะเบียน ทร.14 และบุคคลที่ได้สัญชาติไทยตามมาตรา 23 ซึ่งบุตรของพวกเขายังไม่ได้รับการแก้ไขจากทางอำเภอ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการศึกษา และปัญหาการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ที่ทางราชการกำหนดตามมา เช่น แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่หน่วยงานราชการนำมาให้ ก็ให้เฉพาะบ้านที่เป็นคนไทยแล้วเท่านั้น
 
 
 
บนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านปิล็อกคี่ เด็กน้อยชายหญิงนั่งเรียงแถวเรียบร้อยในโรงอาหาร ตั้งใจฟังการอบรมเรื่องสถานะทางทะเบียนจากคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ 
 
 
 
เด็กบางคนฉีกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าตัวเขามีสิทธิและโอกาสที่จะได้รับสัญชาติไทย ขณะที่เด็กบางคนหน้าเศร้าแววตาหมดหวัง หลังรับรู้ว่ากระบวนการขอสัญชาติของเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก
 
 
 
ด.ญ.ดาว อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นป.4 เล่าด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขว่า พ่อแม่เป็นกะเหรี่ยง แต่หนูเกิดในไทย มีบัตรประจำตัวหมายเลข 7 จากการรับฟังการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล ทำให้รู้ว่ามีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติไทย และต่อจากนี้ก็จะชวนพ่อแม่ไปเดินเรื่องขอสัญชาติไทยให้เร็วที่สุด
 
 
 
"ก่อนหน้านี้พ่อแม่พยายามขอสัญชาติไทยให้หนูมาโดยตลอด แต่เจ้าหน้าที่อำเภอกลับไม่ยอมทำให้ แต่ครั้งนี้หนูรู้แล้วว่าตัวเองมีสิทธิที่จะได้พิสูจน์เพื่อได้รับสัญชาติไทย ดีใจมาก เพราะถ้าได้สัญชาติไทยแล้วก็จะได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับประชาชนไทยคนอื่นๆ" หนูน้อยสะท้อน ความฝัน
 
 
 
ขณะที่ ด.ช.จันที เมฆบัง อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นป.4 ร่วมบอกปัญหาว่าอยากเป็นคนไทย เพราะคิดว่าจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนสะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ได้เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ของตัวเอง และอาจทำให้มีงานดีๆ ทำ จะช่วยให้ครอบครัวที่ยากจนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น และยังจะทำให้ได้รับสิทธิต่างๆ เหมือนคนไทยทั่วไป 
 
1.ชาวบ้านร่วมสะท้อนปัญหา
 
2.สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน
 
3.อยู่กับสายน้ำและขุนเขา
 
4.ชาวบ้านกลับจากหาฟืน
 
5.สภาพหมู่บ้าน
 
6.ใช้เรือเดินทางเข้าออกหมู่บ้าน
 
7.นักเรียนเข้าฟังการอบรม
 
8.ยามเย็นบ้านปิล็อกคี่
 
 
 
 
"สำหรับผมติดตรงที่ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนเลข 0 จึงยังไม่สามารถขอสิทธิเป็นคนไทยได้ เนื่องจาก รัฐยังไม่เปิดให้กลุ่มบุคคลเลข 0 เปลี่ยนสถานะได้ในขณะนี้" ด.ช.จันทีกล่าว
 
 
 
ที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านปิล็อกคี่ ผู้เฒ่าผู้แก่คนหนุ่มสาวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้บ้างสะพายย่ามที่ภายในมีเอกสารทางราชการมายืนยันสถานะความเป็นคนของพวกเขา บ้างถือเอกสารพะรุงพะรัง พวกเขาทั้งหลายต่างละเว้นงานประจำวันอันหนักอึ้ง เพื่อมาสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการขอสิทธิเป็นคนไทย
 
 
 
นางเคญี ธารารักษ์ อายุ 45 ปี เล่าว่ามีลูก 3 คน ที่เกิดในประเทศไทย โดยลูกชาย 2 คนแรกได้รับสัญชาติแล้ว แต่พอมาลูกสาวคนสุดท้องที่เมื่อไปยื่นเรื่องแจ้งเกิด เพื่อนำไปสู่กระบวนการขอสัญชาติ กลับถูกปฏิเสธจากทางอำเภอ และถูกดึงเรื่องให้ยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อไปบ่อยๆ ก็ถูกว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรง และบอกให้นั่งรออย่างเดียวจนหมดเวลาราชการ เมื่อเวลาผ่านนานไปเรื่องที่ไปยื่นไว้ก็ถูกยกเลิก ต้องเสียเวลาดำเนินการใหม่
 
 
 
"อยากให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดำเนินการเรื่องสัญชาติตาม ขั้นตอนและกระบวนการทางกฎหมายโดยเร็ว เพราะอยากให้ลูกได้รับสิทธิเหมือนคนไทยคนอื่นๆ และอยากฝากถามไปยังเจ้าหน้าที่อำเภอทองผาภูมิว่า ในเมื่อลูกชาย 2 คนได้รับสัญชาติไทยแล้ว ทำไมลูกสาวคนสุดท้องถึงยังไม่ได้รับสัญชาติไทย และไม่ได้รับการแจ้งเกิดเสียที" นางเคญีเล่าเสียงสั่นเครือ 
 
 
 
หลังรับฟังปัญหาและเสนอแนะวิธีแก้ไขให้ชาวบ้านในเบื้องต้นแล้ว นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ สรุปปัญหาว่าที่โรงเรียนตชด.บ้านปิล็อกคี่ ซึ่งมีเด็กประมาณ 100 คน จากทั้งหมด 200 กว่าคนยังไม่มีสัญชาติไทย 
 
 
 
ปัญหาส่วนใหญ่คือเด็กไม่ได้รับการแจ้งเกิด ทั้งๆ ที่เด็กเหล่านี้เกิดในประเทศไทย และถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนเลข 0 แต่โชคดีที่มติครม.เมื่อวันที่ 18 ม.ค.2548 ทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับสิทธิบางอย่าง เช่น สิทธิการอยู่ในประเทศไทย สิทธิการรักษาพยาบาล แต่ก็ยังเป็นสิทธิที่น้อยมาก
 
 
 
นายสุรพงษ์ชี้ว่า ทางออกของเด็กกลุ่มใหญ่ที่ถือบัตรเลข 0 ต้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนแก้ไขสถานะเด็กให้เป็นไปตามที่เป็นจริง โดยแก้จากเลข 0 ให้เป็นชนกลุ่มน้อยเหมือนพ่อแม่ที่เกิดในประเทศไทย คือขึ้นต้นด้วยเลข 7 และเมื่อแก้เป็นเลข 7 แล้วสามารถมายื่นขอสัญชาติไทยได้ตามมติครม.วันที่ 7 ธ.ค.2553 ที่ให้สัญชาติไทยกับลูกชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในประเทศไทย มานานเเล้ว แต่ทั้งนี้ ยังเป็นห่วงว่ากระบวน การดำเนินการเรื่องนี้ของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปอย่างเชื่องช้า
 
 
 
ประธานอนุกรรม การสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ เล่าปัญหาต่อว่า มีชาวบ้านกว่า 100 คน ยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย และขอสิทธิคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2541 แต่จนถึงวันนี้ 15 ปีเเล้วเรื่องยังเงียบหาย
 
 
 
ทั้งที่ในระเบียบวิธีพิจารณาทางปกครอง เมื่อยื่นเรื่องเข้าไป เจ้าหน้าที่ต้องให้คำตอบชาวบ้านว่าจะอนุญาต หรือไม่อนุญาตภายใน 90 วัน และปัญหาอีกเรื่องคือ เจ้าหน้าที่เรียกหลักฐานจากชาวบ้านค่อนข้างมาก เช่น พยานบุคคลที่เรียกถึง 4-5 คน ทั้งที่ในกฎหมายระบุแค่ใช้พยาน 2 คนเท่านั้น 
 
 
 
"หลังจากนี้สภาทนายความจะทำหนังสือสอบถามไปยังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ว่าเรื่องเหล่านี้ติดขัดอยู่ที่ไหน หรือเรื่องหายไปในขั้นตอนกระบวนการใด เพราะการดำเนินการที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ ส่งผลกระทบให้ชาวบ้านไม่ได้รับสิทธิที่ควรจะเป็น และถ้ากรมการปกครองไม่มีคำตอบที่น่าพอใจ ก็จะนำไปสู่การฟ้องศาลปกครอง ตามความประสงค์ของชาวบ้านต่อไป" นายสุรพงษ์สรุป
 
 
 
ค่ำคืนที่เสียงหรีดหริ่งกังวานก้องกลางพงไพร ในหมู่บ้านถูกความมืดห่มคลุมทั่ว เป็นความมืดมนอนธการ ไม่ต่างจากเรื่องสัญชาติของชาวบ้าน ที่แม้เวลาจะผ่านมานานเพียงใด ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขและเหลียวแลจากรัฐไทยเลย


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8189 ข่าวสดรายวัน

 



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง