สั่งเหมืองตะกั่วชดใช้กว่า36ล.กะเหรี่ยงคลิตี้
โพสเมื่อวันที่ 08 ก.พ. 2555 09:16 น.
ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นให้ บริษัทตะกั่วจ่าย กว่า 36 ล้านคดีกะเหรี่ยงคลิตี้ล่าง 151 คนฟ้อง
เมื่อ เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ พร้อมกับชาวบ้านคลิตี้ รวม 4 คน โดยมี นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงพัฒนา จังหวัดกาญจนบุรี นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ พร้อมด้วยทีมทนายความจากสภาทนายความ เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค7 แผนกคดีสิ่งแวดล้อม หมายเลขดำที่ พ 2659/50 เลขแดงที่ 1290/53 ในคดีที่ นายยะเสอะ นาสวนสุวรรณ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ พร้อมกับชาวบ้านคลิตี้ รวม 151 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ กับพวกรวม 7 คน จำเลย ข้อหาหรือฐานความผิดละเมิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2550 เรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,041,952,000 บาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารตะกั่วในลำห้วยคลิตี้ทั้งในน้ำและ ตะกอนดิน จากการทำเหมืองแร่และโรงแต่งแร่ตะกั่วของบริษัทฯ มาเป็นเวลากว่า 14 ปี ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2553 ศาลจังหวัดกาญจนบุรีมีคำพิพากษาตัดสินให้บริษัทเจ้าของโรงแต่งแร่กับพวกรวม 7 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง เป็นเงินรวมกันทั้งสิ้น 36,050,000 บาท และให้ดำเนินการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้นให้หมดสิ้นไป หากไม่ยอมดำเนินการ ให้ชาวบ้านมีอำนาจดำเนินการเอง โดยบริษัทฯ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ซึ่งจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ โดยมีตัวแทนฝ่ายจำเลยมาร่วมรับฟังคำพิพากษาในคดีด้วย
ต่อมา น.ส.นันทวัน เจริญศักดิ์ นายสงวนศักดิ์ กิมเอ็ง ผู้พิพากษา ได้ออกนั่งบัลลังก์ที่8 โดยได้อ่านคำพิพากษาว่า เห็นพ้องตามศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าโจทย์ทั้ง 150 คน ซึ่งเสียชีวิตไป 1 คน มีอำนาจฟ้อง คดียังอยู่ในอายุความ ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยทั้ง 7 จริง และจำเลยทั้ง 7 ได้มีส่วนในการปล่อยกากของเสียจากกิจการโรงแต่งแร่ลงสู่ลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นลำห้วยเดียวที่โจทก์ใช้ในการดำเนินชีวิต เห็นพ้องที่ให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ทั้ง 150 คน เป็นเงินรวม 36,050,000 บาท แต่ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้ง 150 ราย ที่ให้บังคับจำเลยทั้ง 7 ร่วมกันแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ โดยนำสารตะกั่วที่ตกค้างอยู่ออกไปให้หมด เพื่อให้ลำห้วยคลิตี้สะอาดปราศจากสารตะกั่ว โดยให้จำเลยทั้ง 7 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้กรมควบคุมมลพิษเป็นผู้ตรวจสอบและดูแล โดยให้เหตุผลว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 มาตรา 69 ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิ์โจทก์มีอำนาจขอให้บังคับจำเลย ร่วมกันแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ได้
นายสุรพงษ์ เผยว่า พอใจในคำตัดสินในแง่ของการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการจ่ายค่าชดเชย แต่ยังเป็นห่วงในประเด็นที่ชาวบ้านต้องการให้ผู้ก่อมลพิษมาดำเนินการฟื้นฟู ลำห้วยเพื่อกำจัดมลพิษที่จำเลยเป็นผู้ก่อ แต่ศาลเห็นว่ากฎหมายไม่ได้เขียนให้ผู้เสียหายร้องต่อศาลให้ผู้ก่อมลพิษ ดำเนินการกำจัดมลพิษได้ ซึ่งเป็นช่องว่างของกฎหมายที่จะทำให้การควบคุมและกำจัดมลพิษเป็นไปอย่างยาก ลำบาก ส่วนในเรื่องของการยื่นฎีกาคงจะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างชาวบ้านและสภา ทนายความว่าจะดำเนินการยื่นฎีกาหรือไม่ต่อไป
ด้านนายยะเสอะ เผยว่า ชาวบ้านคลิตี้รู้สึกพอใจในคำตัดสินของศาลในเรื่องของการจ่ายค่าชดเชย จำนวน 36,050,000 บาท แต่จนถึงปัจจุบันทางจำเลยก็ยังไม่ได้จ่ายค่าชดเชยให้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามชาวคลิตี้ต้องการให้มีการดำเนินการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้ ปราศจากมลพิษโดยเร็วที่สุด เพื่อชาวบ้านจะได้มีวิถีชีวิตดังเดิม
http://bit.ly/yzUVKx
ที่มา ข่าวและภาพประกอบจากโพสต์ทูเดย์ วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 15:35 น.
|