เร่งคืนสัญชาติ ไทยพลัดถิ่น
โพสเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555 13:51 น.
เร่งคืนสัญชาติ ไทยพลัดถิ่น"แม่สอด"
ปัณณพร นิลเขียว

ไทยพลัดถิ่นจำนวนมากที่รอการพิสูจน์เป็นคนไทย
|
ด้วยพื้นที่กว่า 580 กิโลเมตรของพรมแดน จ.ตาก ที่ยาวขนาบไปกับประเทศพม่า มีเพียงแม่น้ำเมยทอดสายสงบนิ่งกั้นอยู่ระหว่างกลาง จึงไม่น่าแปลกใจที่ จ.ตาก จะเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีแรงงานพม่าอพยพเข้ามาอาศัย และทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ.แม่สอด ที่มีอาณาเขตติดต่อโดยตรงกับเมืองเมียวดี ประเทศพม่า และเป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-พม่า เชื่อมผู้คน 2 ฝั่ง
สะพานแห่งนี้ไม่เพียงทำหน้าที่เชื่อมชาวพม่าให้ข้ามมายังฝั่งไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูให้ "คนไทยพลัดถิ่น"จำนวนหนึ่งเดินทางกลับมาตุภูมิ หลังจากต้องไปอาศัยอยู่ในดินแดนพม่าด้วยเงื่อนไขบางอย่างในอดีต
แม้จะไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นใหม่ แต่ "คนไทยพลัดถิ่น"ก็ไม่ใช่ชื่อที่อยู่ในความรับรู้ทั่วไปของคนในสังคม หากจะยึดความหมายตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ.2508 คนไทยพลัดถิ่นถูกนิยามไว้ว่า
"ผู้ซึ่งมีเชื้อสายไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่น โดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในอดีต ซึ่งปัจจุบันผู้นั้นมิได้ถือสัญชาติของประเทศอื่น และได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหนึ่ง และมีวิถีชีวิตเป็นคนไทยโดยได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรภายใต้หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือเป็นผู้ซึ่งมีลักษณะอื่นทำนองเดียวกันตามที่กำหนดในกฎกระทรวง?
หรือถ้าพูดให้ง่าย ก็คือคนไทยที่ไปอาศัยอยู่นอกอาณาเขตไทยในช่วงเวลาหนึ่งด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่ได้กลับเข้ามาอยู่ในอาณาเขตไทยดังเดิม โดยปราศจากการรับรองสัญชาติตามกฎหมายว่าเป็นคนไทย
ปัจจุบัน อ.แม่สอด ยังหลงเหลือคนไทยพลัดถิ่นที่ไม่ได้รับสัญชาติอีกประมาณ 1,500 คน ตัวเลขจำนวนนี้ไม่เพียงแสดงถึงจำนวนคนที่ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงผู้คนอีก 1,500 ชีวิต ที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบากและอึดอัด
เนื่องด้วยไม่ได้รับสิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเดินทาง การเลือกตั้ง การรับราชการ การทำธุรกรรม รวมถึงการได้รับค่าจ้างอันน้อยนิด ไม่ต้องพูดถึงการได้รับการปฏิบัติ ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้คนในสังคม เสมือนคนแปลกหน้า

1.หารือร่วมกับสภาทนายความและปลัดอำเภอ
2.ตา ธรรมะใจ หารือกับสภาทนายความและปลัดอำเภอแม่สอด
3.ชาวพม่าส่วนใหญ่นิยมนั่งเรือข้ามแม่น้ำเมย มาฝั่งไทยมากกว่าข้าม สะพานมิตรภาพ
4.แบบคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น
|
"ต้องอยู่แบบคนด้อยโอกาส สิทธิอะไรก็ไม่ได้เท่าเทียมเขา เหมือนมีปมด้อย จะซื้อที่ดินก็ไม่ได้ บางทีเราเห็นคนดีอยากเข้าไปเป็นผู้ใหญ่บ้านก็เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิเลือกตั้ง เวลาเจอปัญหาแล้ง ก็ไม่สามารถแจ้งพืชไร่เกษตรเสียหายได้ ทั้งที่เราทำ เราอยู่ที่นี่จริง อยากให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพราะเมื่อไม่มีบัตรก็เหมือนไม่มีสิทธิ ไปทำงานที่ไหนก็ได้ค่าแรงขั้นต่ำ"
ส่วนหนึ่งจากคำบอกเล่าของ "สมเพชร สิงตา"ขณะประชุมหารือร่วมกันระหว่างชาวไทยพลัดถิ่น ใน อ.แม่สอด กับ นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความและ นายธีระนันท์ ชัยมานันท์ ปลัดอำเภอแม่สอด
สมเพชรเล่าว่า แม้ในอดีต พ่อแม่ของเขาจะเคยอาศัยอยู่ในพม่า ระยะเวลาหนึ่ง แต่ตัวเขาเองก็มาเกิดและเติบโตในประเทศไทย ทั้งที่ในอดีตนั้น ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขตไทยอยู่ตรงไหน นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดปัญหาคนไทยพลัดถิ่น
เมื่ออยู่ๆ บ้านที่เคยปราศจากอาณาเขตแน่ชัด ถูกล้อมขึ้นด้วยรั้วหนา คนที่อยู่ในรั้วเดียวกันถูกเรียกว่า "ไทย"ส่วนผู้ที่อยู่นอกรั้ว คือ "คนอื่น"หรือ "พวกที่ไม่ใช่ไทย?
โดยลืมนึกไปว่ามีคนกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งอยู่ตรงกลาง ดังเช่น สมเพชร ที่ไม่มีทั้งสัญชาติพม่า และสัญชาติไทย กลายเป็น "คนไร้ชาติ ไร้รัฐ"
นายตา ธรรมะใจ ประธานเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น อ.แม่สอด-แม่ระมาด จ.ตาก ผู้พยายามผลักดันให้รัฐรับรองสิทธิของคนไทยพลัดถิ่น ใน จ.ตาก มาตั้งแต่ปีพ.ศ.2546 ร่วมย้ำถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ว่า ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ ไม่ว่าจะในกรณีประสบปัญหาภัยแล้ง หรือน้ำท่วม การได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ หรือสิทธิการเรียนฟรี และการได้รับนมฟรีของเด็กในโรงเรียน ทั้งที่คนไทยพลัดถิ่นไม่ได้อยู่ในไทยกันแค่ 4-5 ปี แต่อยู่กันมา 30-40 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐไทยก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับเสียงของผู้คนเหล่านี้ไปเสียทีเดียว เพราะได้แก้ปัญหาโดยเปิดโอกาสให้คนไทยพลัดถิ่นที่มีคุณสมบัติตามนิยามที่ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2555 กำหนด สามารถยื่นคำขอพิสูจน์สถานะเพื่อการได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ดังนี้

1.แม่น้ำเมย ชายแดนไทย-พม่า
2.สะพานมิตรภาพไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก
3.สมเพชร สิงตา
4.ยื่นคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น
5.บัวเขียว เครือคำวัง
|
1.เป็นผู้ซึ่งได้รับการสำรวจ จัดทำทะเบียนประวัติและเอกสารแสดงตนไว้แล้วในกลุ่ม ซึ่งระบุว่ามีเชื้อสายไทย
2.อาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร 3.ปัจจุบันไม่ได้ถือสัญชาติของประเทศอื่น 4.มีรูปร่างลักษณะและวิถีชีวิตเหมือนคนไทย และสามารถพูดและฟังภาษาไทยเข้าใจ
5.สามารถแสดงผังเครือญาติซึ่งน่าเชื่อถือว่าเป็นผู้มีเชื้อสายไทย และมีผู้ที่น่าเชื่อถือซึ่งมีสัญชาติไทยให้การรับรอง หรือมีหลักฐานผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถแสดงถึงความเป็นญาติกับผู้ที่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
และ 6.มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และเลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยขณะนี้คนไทยพลัดถิ่น สามารถยื่นเอกสารเพื่อขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น โดยกรอกข้อมูลในคำขอ รวมทั้งจัดเตรียมเอกสารประกอบคำขอได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ จากนั้นทางอำเภอจะส่งเรื่องไปยังสำนักทะเบียนอำเภอ ที่ทำการปกครองจังหวัด และกรมการปกครองตามลำดับ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร หลักฐาน คุณสมบัติทั้งหมด
จากนั้นจึงจะส่งเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เพื่อรับรอง ก่อนให้อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ออกหนังสือรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เพื่อการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดให้กับผู้ยื่นคำขอ
แม้จะเป็นหนทางที่พอจะทำให้คนไทยพลัดถิ่นมีที่ทางในสังคมมากขึ้น แต่ขั้นตอนดังกล่าวก็ยังมีความยุ่งยาก ด้วยมีเอกสารจำนวนมากที่คนไทยพลัดถิ่นต้องจัดเตรียม นอกจากนี้ กระบวนการการพิจารณาในแต่ละระดับก็ค่อนข้างล่าช้า และพบว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังขาดความเข้าใจในการทำงาน
"นอกจากความล่าช้าในการดำเนินการแล้วนั้น กระบวนการขอพิสูจน์สัญชาติยังมีปัญหา ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างบางคนกำหนดเงื่อนไขบางอย่างเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นจากหลักเกณฑ์ การพิจารณาความเป็นคนไทยพลัดถิ่น มีข้อหนึ่งกำหนดว่า ผู้ยื่นคำขอต้องมีผู้ที่น่าเชื่อถือซึ่งมีสัญชาติไทยให้การรับรอง"
"ในข้อนี้ มีเจ้าหน้าที่บางคนไปตีความว่าต้องเป็นบุคคลที่เจ้าหน้าที่เชื่อถือ ซึ่งการตัดสินใจและพิจารณาในเรื่องดังกล่าว เป็นบทบาทของคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับล่าง"ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ กล่าว
สุรพงศ์กล่าวอีกว่า นอกจากกระบวนการพิจารณา เพื่อมอบสัญชาติให้กับคนไทยพลัดถิ่นที่ยังไม่มีสัญชาติแล้ว รัฐต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มคนที่ผ่านการแปลงสัญชาติมาเป็นสัญชาติไทยด้วย เนื่องจากสิทธิของคนกลุ่มนี้ ยังไม่เทียบเท่ากับคนที่ได้รับมอบสัญชาติไทยโดยกำเนิด โดยยังถูกลิดรอนสิทธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการเลือกตั้ง ลงสมัครรับเลือกตั้ง การรับราชการต่างๆ ที่กำหนดไว้ว่าต้องผ่านการแปลงสัญชาติมาไม่ต่ำกว่า 5-10 ปี
นอกจากนี้ ข้อกำหนดของรัฐว่าด้วยความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ยังได้กันคนกลุ่มหนึ่งออกจากโอกาสในการยื่นคำขอพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เช่น ชาวพม่าที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประ เทศไทยเป็นเวลานาน และรู้สึกว่านี่คือบ้านของตนเอง
บัวเขียว เครือคำวัง วัย 38 ปี เล่าว่า แม้จะเกิดที่เมืองเมียวดี ประเทศพม่า แต่ก็เดินเท้าเข้ามาอาศัยในไทยตั้งแต่ปี 2519 และต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างผิดกฎหมาย จะทำอะไรก็ลำบาก ถึงรัฐไทยจะไล่ให้กลับไปยังพม่า ก็กลับไม่ได้ เนื่องจากไม่เหลือญาติพี่น้องที่พม่าแล้ว บ้านหรือที่ทำกินทั้งหมดก็อยู่ในประเทศไทย
บัวเขียวบอกอีกว่า นอกจากสภาพไร้สิทธิของตัวเองที่กังวลแล้ว คนที่เป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานะของเธอก็คือลูกทั้ง 2 คน กับสามีชาวไทย เพราะกลัวว่าการที่เอกสารบางอย่างของลูกระบุว่ามีแม่เป็นคนพม่า จะทำให้ลูกขาดโอกาสและสิทธิอื่น
แม้ว่ารัฐมิอาจดูแล หรือรับผิดชอบใครได้ทั้งหมด แต่คำถามสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ ก็คือเรามีความพยายามและความจริงใจมากน้อยแค่ไหน ในการดูแลมนุษย์ทุกคนในรัฐอย่างเท่าเทียม โดยไม่เกี่ยงเชื้อชาติ ศาสนา และความแตกต่างทั้งปวง
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEUwTVRFMU5RPT0%3D§ionid=TURNd013PT0%3D&day=TWpBeE1pMHhNUzB4TkE9PQ%3D%3D
|