ปิดทองฯสลายปมร้าวลึก
โพสเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2555 09:32 น.
ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผาบ้านกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เป็นความบาดหมาง ร้าวลึกมาประมาณ 1 ปี และจนถึงทุกวันนี้ ชาวกะเหรี่ยงที่สูญเสียบ้าน ก็ยังทวงถามหาความยุติธรรมที่พวกเขาควรได้รับ
ที่ผ่านมา สถานการณ์ความบาดหมางดังกล่าวขยายวงกว้าง ไม่ใช่แค่ความบาดหมางระหว่างชุมชนกับอุทยานฯ เท่านั้น ยังเป็นความบาดหมางระหว่างอุทยานฯ และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ไม่มีการพูดคุยหารือเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างหันหลังให้กัน และคาดว่าความบาดหมางนี้ยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด แม้ว่าอาจมีคำชี้ขาดจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสลายความขัดเคืองของหลายฝ่ายได้
แต่สถานการณ์นี้อาจจะมีโอกาสพลิกผัน เบี่ยงเบนปัญหาไปจากที่เป็นอยู่ได้ เพราะมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ได้ประกาศว่าจะเข้าไปเป็นคนกลาง คลี่คลายปัญหาที่ตึงเครียดคุกรุ่นมานานให้เบาบางลง
ในวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสำนักงานอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้เป็นที่ประชุมเพื่อหาข้อสรุปใน "แผนพัฒนาชนบทเชิงพื้นที่ประยุกต์ตามพระราชดำริ บ้านโป่งลึก บ้านบางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี"
โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมประชุมด้วย ได้แก่ นายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสุรพล ปัตตาปี รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายวิจักร อากัปกริยา ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.ต.ภาณุวัชร นาควงษ์ ผู้บัญชาการกองพลทราบราบที่ 9 นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่เป็นคู่กรณีกับชาวกะเหรี่ยง พ.ต.สมเกียรติ นอกจากนั้นยังมี พ.ต.สมเกียรติ เชียรวัฒนา หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่โครงการพระราชดำริ นายจอนิ โอโดเขา หรือพ่อหลวงจอนิ ประธานเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย นายพฤ โอโดเขา เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
ทางด้านตัวแทนจากมูลนิธิปิดทองฯ ที่เป็นเจ้าภาพในการประชุมใหญ่ครั้งนี้ ประกอบด้วย ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระฯ พล.อ.สุรินทร์ พิกุลทอง อุปนายกสมาคมชาวเพชรบุรี และกรรมการสถาบันฯ นายการันต์ ศุภกิจเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมฯ ของปิดทองฯ
ยังมีตัวแทนจากชาวกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก บางกลอย สถาบันการศึกษาใน จ.เพชรบุรี สื่อมวลชนในพื้นที่และจากกรุงเทพฯ เข้าร่วมฟังการประชุมอย่างแน่นขนัด
การประชุมทั้งหมดนี้เป็นทั้งการปูทางเพื่อนำไปสู่การประสานงาน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยงโป่งลึก บ้านบางกลอย พร้อมกับเปิดโอกาสให้มีการถกเถียง แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการพัฒนา ที่ทางจังหวัดเพชรบุรีและมูลนิธิปิดทองฯ จะนำไปช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้
บรรยากาศในการประชุม นายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานเปิดฉากให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับป่าแก่งกระจาน และเน้นย้ำชี้ให้เห็นความสำคัญของป่าแก่งกระจานว่า มีพื้นที่ 1.8 ล้านไร่ และเป็นป่าต้นน้ำเพชรบุรี หล่อเลี้ยงชีวิตคนมากมาย ในปี 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสขอให้เจ้าหน้าที่ดูแล อย่าให้มีการตัดไม้ทำลายป่าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และต่อมาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์ เรื่องช้างกุยบุรี และแก่งกระจานว่า ควรได้รับการดูแล อีกทั้งยังเป็นป่าที่สมบูรณ์ มีสัตว์ป่าหลากหลาย มีจระเข้น้ำจืดที่ใกล้สูญพันธุ์
ส่วนปัญหากะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก บางกลอย นายชัยวัฒน์กล่าวว่า ทางอุทยานฯ ได้พยายามผลักดันให้ออกจากพื้นที่ป่า โดยการหาพื้นที่ด้านล่างให้อยู่ แต่ชาวบ้านอยู่ได้เพียง 3 เดือน ก็ย้ายกลับไปอยู่ที่เดิม ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยการขับไล่ออกจากพื้นที่ เป็นที่มาของการเผาบ้านกะเหรี่ยง
ม.ร.ว.ดิศนัดดา เลขาธิการมูลนิธิปิดทอง กล่าวว่า ปัญหากะเหรี่ยง หรือชาวกะหร่าง ที่เรียกเฉพาะชาวกะเหรี่ยงใน จ.เพชรบุรีเท่านั้น ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนี้ เป็นความแตกแยกระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่ ต่อมามีปัญหา เฮลิคอปเตอร์ตก มีการฆ่ากัน มีการฆ่าช้าง ปัญหาทั้งหมดถือว่าเป็นความขัดแย้ง 1.ระหว่างคนกับคน 2.ระหว่างคนกับสัตว์และ 3.ระหว่างคนกับป่า ซึ่งทางปิดทองฯ มองว่า ปัญหามีทางออก ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการในการแก้ปัญหา ใน 3 ระดับ คือ
ต้องแก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่,
ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ด้วยกัน
และการประสานงานจังหวัดกับรัฐบาล
"เหตุปัญหาทั้งหมดมาจากคนเป็นตัวตั้ง ชาวเขาถ้ามีบ้านดี เขาจะอยากอยู่ในป่าหรือ ทั้งหมดเราต้องแก้ที่ความยากไร้ เพราะเขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะกินอะไร ไม่รู้มื้อหน้าจะมีอะไรกิน คนที่ให้ที่ทางให้ไปอยู่ อยู่ 3 เดือนแล้วไม่รอด เพราะให้แค่ที่ทาง เขาไม่รู้จะทำอะไร ทำให้เขาต้องกลับขึ้นไปอยู่ในป่าใหม่ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการถูกจับ เผาบ้าน ไม่มีใครอยากเสี่ยง"
ม.ร.ว.ดิศนัดดาย้ำว่า ชาวบ้าน 2 หมู่บ้านถูกละเลยการช่วยเหลือมานาน ปัญหาที่เกิดขึ้นจะใช้กฎหมายอย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ คนที่ถือกฎหมายก็ไม่ควรใช้อำนาจกฎหมายอย่างเดียว แต่ควรใช้หลักรัฐศาสตร์ในการแก้ปัญหา เพราะป่าต้องอยู่กับคน คนต้องอยู่กับป่า การเอากฎหมายมาคุยกับคนที่ไม่รู้กฎหมาย ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน พื้นที่ตรงนี้เราไม่รู้ว่าใครเป็นพรานล่าสัตว์ เพราะพื้นที่เชื่อมต่อกับหลายจังหวัด มีทั้งราชบุรีและประจวบฯ นอกจากนี้การบุกรุกส่วนหนึ่งยังมาจากฝั่งพม่า แต่คนในหมู่บ้านต้องรับกรรมข้อกล่าวหา การแก้ปัญหานี้ไม่ยาก แต่ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำความเข้าใจที่ตรงกัน
"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับสั่งกับผม เมื่อเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว มี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลนั่งอยู่ด้วย ให้คุณชายไปทำโครงการปิดทองฯ ที่บางกลอยซิ ไปลดความขัดแย้ง สร้างความสมานฉันท์ คน สัตว์ ป่าไม้ ต้องอยู่ร่วมกัน ผมจึงคิดว่าโครงการนี้ท้าทายผมมากที่สุดเท่าที่ทำมา"
ต่อมา นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี ได้ชี้แจงถึงแผนการช่วยเหลือชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย ว่า ที่ผ่านมาในปี 2553 ทางจังหวัดได้เข้าไปช่วยเหลือทำแปลงเรียนรู้ หรือฟาร์มตัวอย่างให้กับชาวบ้าน วงเงิน 2 ล้านบาท โดยใช้งบไทยเข้มแข็ง ต่อมาในปี 2555 ก็ทำโครงการก่อสร้างสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำเพชรบุรี บ้านโป่งลึก บางกลอย ใช้งบพัฒนาจังหวัด 7 ล้านบาท และในปีนี้ยังต่อยอดโครงการฟาร์มตัวอย่าง ใช้งบจังหวัดอีก 1 ล้านบาท
ข้อมูลด้านประชากรพบว่า ยังคลาดเคลื่อน สำนักทะเบียนราษฎรบอกว่า มี 1,490 คน แต่ทางจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่เดินสำรวจพบว่า มีจำนวน 1,052 คน เท่านั้น
ผู้ว่าฯ เล่าถึงแผนอีกว่า ทางจังหวัดมีแผนที่จะจัดสรรพื้นที่ให้ครอบครัวละไม่เกิน 2 ไร่ โดยเฉพาะชาวบ้านบางส่วนที่ยังไม่มีที่ทำกิน สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยใช้พื้นที่บางส่วนของโรงเรียน ตชด. ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง พื้นที่บริเวณรอบ 2 หมู่บ้าน และพัฒนาระบบน้ำ ด้วยการสร้างฝายหินก่อ ในลำห้วยสาขาของแม่น้ำเพชรบุรี ชื่อห้วยบางยางห่างจากหมู่บ้าน 34 กม. แต่ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงเสนอที่จะสร้างฝาย ความสูง 70 ซม. และวางระบบท่อส่งน้ำ กระจายน้ำสู่ทุกครัวเรือน เพื่อลดต้นทุนการสูบน้ำใช้ปีละประมาณ 3.03 แสนบาท น้ำนี้จะสามารถใช้อุปโภคบริโภค และทำการเกษตรได้ ส่วนการสูบน้ำจะใช้ทั้งจากพลังงานน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์
ส่วนการทำการเกษตร ยึดหลักตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ อาทิ การทำนาขั้นบันได หรือปรุงดินให้เหมาะกับการเพาะปลูก การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว พืชผัก การให้พันธุ์หมู เป็ด ไก่ เพื่อบริโภค ลดรายจ่าย และการให้พันธุ์ปลาเวียนที่เหมาะกับพื้นที่ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
แผนระยะต่อไป ทีมงานระดับจังหวัด และทีมปฏิบัติการระดับอำเภอ ร่วมกันจัดทำแผนโครงการ ในปีงบประมาณ 2556 ไว้พัฒนาบ้านโป่งลึก บ้านบางกลอยไว้อีก 6 มิติ คือ น้ำ, เกษตร, ดิน, สิ่งแวดล้อม, คุณภาพชีวิต, ความมั่นคง
"เรายอมรับว่า หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย ตั้งอยู่ในเขตอุทยาน ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อเราช่วยเหลือชาวบ้านให้อยู่ให้กิน มีอาชีพเลี้ยงตัวได้แล้ว พวกเขาก็จะต้องช่วยกันรักษาทรัพยากรป่าไม้ ไม่ให้ถูกทำลายมากกว่านี้ ทั้งปลูกฝังความรักหวงแหนป่า ต้นไม้ ลำน้ำ เป็นหูเป็นตาไม่ให้มีการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเราได้จัดทำโครงการบูรณาการความมั่นคง เสริมสร้างเครือข่ายประชาชนป้องกันทรัพยากรป่าไม้ ทั้งหมดนี้เราทำขึ้นก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ โดยพึ่งพาอาศัยกัน ไม่เบียดเบียนกัน" ผู้ว่าฯ เพชรบุรีกล่าว
ด้านแผนช่วยเหลือของมูลนิธิปิดทองฯ นั้น จะเน้นการลงทุนด้านระบบน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตร และการให้ยืมข้าวเพื่อการบริโภค ซึ่งคาดว่าชาวบ้าน 2 หมู่บ้านต้องการข้าวไว้กินประมาณ 18 ตันต่อเดือน ซึ่งทางโครงการจะตั้งกองทุนข้าวปิดทองฯ สนับสนุนการเกษตรฯ มีกองทุนพืชผลการเกษตรฯ ให้ชาวบ้านหยิบยืม ซึ่งหากช่วยเหลือชาวบ้านตามแผนของปิดทองฯ เชื่อว่าอีก 3 ปีชาวบ้านจะมีข้าวกินเองไม่ต้องหยิบยืมแน่นอน
ด้านพ่อหลวงจอนิ ที่ถือว่าเป็นปราชญ์ในกลุ่มชาวไทยภูเขา ซึ่งร่วมรับฟังแผนพัฒนาของจังหวัดเพชรบุรี ให้ความเห็นว่า เห็นด้วยที่จะมีการบูรณาการจากหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วน ในการช่วยเหลือชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย มีความเชื่อในตัว ม.ร.ว.ดิศนัดดา มูลนิธิปิดทองฯ แม่ฟ้าหลวง และเชื่อในผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าหากเข้าไปดำเนินการแล้ว จะทำให้ชาวบ้านอยู่ได้อย่างยั่งยืน แต่ก็ยังเห็นว่าที่ผู้ว่าฯ บอกว่าจะให้พื้นที่ทำกินครอบครัวละ 2 ไร่ เห็นว่าน้อยเกินไป เพราะชาวบ้านไม่มีเงินเดือน พื้นที่แค่นี้อยู่ไม่ได้ แต่ละครอบครัวต้องมีพื้นที่บ้าน พื้นที่สวน พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4-5 คน ก็ต้องไม่ต่ำกว่า 4-5 ไร่ ซึ่งพื้นที่นี้จะใช้ปลูกพืชหมุนเวียน ที่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี นอกจากนี้ มีพื้นที่ใช้สอยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน และต้องมีพื้นที่ใช้สอยส่วนรวมด้วย
"ถ้าชาวบ้านมีเงินเดือนกินอยู่ได้ ถ้าเป็นลูกจ้างก็อยู่ได้ แต่ถ้าจะให้อยู่ด้วยตัวเอง อยู่อย่างยั่งยืน ไม่เป็นลูกจ้างใคร ต้องมีสัตว์เนื้อให้เขาด้วย แต่ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งที่มาทำโครงการนี้ ไม่ทำอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้ก็คงไม่ยั่งยืน ตอนนี้ผมให้คะแนนแผนนี้ 50/50 ก็แล้วกัน"
ด้านนายนิรันดร์ พงษ์เทพ ประธานสภา อบต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน หัวหน้ากลุ่มกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก บางกลอยกล่าวว่า ขอขอบคุณผู้จะมาช่วยเหลือชาวบ้านครั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2539 เราถูกทอดทิ้ง แต่ครั้งนี้เราน่าจะมีโอกาส เชื่อว่าชาวบ้านจะยอมรับแผนการช่วยเหลือดังกล่าว ซึ่งหากทำได้ก็คิดว่าจะทำให้ชาวบ้านสามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ ซึ่งปัญหาความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่อุทยานที่ผ่านมา พวกกะเหรี่ยงถูกกล่าวหาว่าตัดไม้ทำลายป่า ทั้งที่จริงๆ แล้ว ที่ป่าหายไปเยอะ เป็นเพราะในปี 2514 ได้มีการใหัสัมปทานทำป่าไม้ แต่พอปี 2532 ก็มีการยกเลิกสัมปทาน
"ถามผมรักป่าไหม ผมก็รัก ผมเกิดโตในป่า แต่พอมีสัมปทานไม้ปี 2514 ป่าก็หมด น้ำก็แห้ง ฝนก็แล้ง ที่เขาบอกว่าพวกชาวบ้านทำลายป่า ไม่จริง แต่ที่จริงๆ คือ ชาวบ้านทำไร่หมุนเวียน ทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คนทำลายป่าตัวจริง คือสัมปทาน ชาวบ้านรักป่า อยากให้คุยกันด้วยใจ ไม่ใช่เอาแต่กฎหมายเข้าไป" แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงกล่าว
อย่างไรก็ตาม ด้านนายพระนาย สุวรรณรัฐ ปลัดกระทรวงมหาดไทย แสดงความคิดเห็นว่า ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณช่วยเหลือคน 2 หมู่บ้าน ที่มีคนแค่ 1,052 คน หรือมีประชากรแค่ 4% เมื่อเทียบกับคนในแก่งกระจานทั้งหมด การแก้ปัญหาโดยแนวทางรัฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามคือ แนวทางการช่วยเหลือที่จะมีทั้งมูลนิธิปิดทองฯ และทางจังหวัดเข้าไปหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
"คำถามของผมคือ โครงการนี้บอกได้ว่าคงหนัก โหด และผู้ว่าฯ ลงมาดูเอง มีหัวหน้าหน่วยราชการต่างๆ ลงมาร่วมด้วย แต่ผมถามว่าภาพในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเป็นอย่างไร ต้องตอบให้ชัด เราจะขนข้าวให้ชาวบ้านอีก 10 ปีหรือ นาขั้นบันได จะทำได้หรือในพื้นที่อย่างนี้ ผมมองต้องให้ชาวบ้านอยู่อย่างพอเพียง คิดอย่างพอเพียง"
หลังคำถามของปลัดมหาดไทย ทางมูลนิธิปิดทองฯ โดยนายการันต์ ศุภกิจเลขการ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมกิจกรรมของมูลนิธิปิดทองฯ ได้ลุกขึ้นตอบ พร้อมชี้แจงว่า การช่วยเหลือของมูลนิธิปิดทองฯ ไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของ พ.ร.บ.ป่าไม้ ซึ่งจะมีหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เป็นหัวหน้าทีมดำเนินการทั้งหมด พร้อมกับบอกเล่าว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการรุดหน้าอย่างไรบ้าง ซึ่งระบบของปิดทองก็คือ การ "คลุกวงใน" ส่งคนเข้าไปลงพื้นที่ เพื่อสำรวจพื้นที่ คลุกคลีกับชาวบ้าน เพื่อจะได้รู้ความต้องการของชาวบ้านที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่จะไม่ใช่การถามตรงๆ แต่เป็นไปในลักษณะทำความเข้าใจมากกว่า และการดำเนินการทั้งหมดมีการประสานกับทางผู้ว่าฯ และจังหวัด
ทั้งนี้ คำตอบของนายการันต์เป็นการยืนยันการทำงานของปิดทองฯ ว่า ได้รุดหน้าไปมาก แม้จะเพิ่งเริ่มต้นโครงการฯ ทำให้นายพระนายมีท่าทีแสดงการยอมรับ
ด้าน ม.ร.ว.ดิศนัดดาเสริมว่า การดำเนินการปิดทองฯ จะใช้ประสบการณ์จากการดำเนินการโครงการอื่นๆ ที่ผ่านมาทั้งในประเทศ และในต่างประเทศ ที่ประเทศพม่า และอัฟกานิสถาน เข้าไปพัฒนากะเหรี่ยง 2 หมู่บ้าน ตามปกติเป้าหมายหลักของปิดทองฯ ก็คือ การให้ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยตัวเอง และปิดทองฯ กำลังทำสิ่งนั้น แต่สิ่งสำคัญที่ต้องการคือการเห็นชอบและสนับสนุนจากรัฐบาลเท่านั้น
"ถ้ารัฐบาลเอาด้วย เพราะผู้ว่าฯ ชุมชน สถาบันการศึกษา ก็เอาด้วย ผมมั่นใจว่าโครงการนี้จะสำเร็จ 100+1%" ม.ร.ว.ดิศนัดดากล่าว
มีหลายแง่มุมคำถามในโครงการนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ ทางปิดทองฯ ใช้งบประมาณเท่าไหร่ในโครงการช่วยเหลือชุมชน 2 หมู่บ้าน ม.ร.ว.ดิศนัดดายอมรับว่า ใช้งบประมาณราว 45-50 ล้านบาท ซึ่งหารเฉลี่ยกับจำนวนชาวบ้าน 1,052 คนแล้ว ต้นทุนช่วยเหลือก็จะตกประมาณหัวละ 5 หมื่นบาท แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วถือว่าคุ้มค่า นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับปัญหาความมั่นคงของประเทศแล้วถือว่ายิ่งกว่าคุ้มค่า เรามีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า คนกลุ่มเล็กๆ สามารถขยายวงปัญหาความมั่นคงให้กับประเทศได้ นอกจากนี้ พื้นที่นี้ยังติดกับพรมแดนเพื่อนบ้าน หากคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการดูแล ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
"อีกทั้งในแง่มนุษยธรรม ถ้ามองว่าเขาเป็นคน เหมือนเรา เราก็ควรเข้าไปช่วยเหลือ เท่าที่เราเข้าไปดูแล้ว เขาอยู่อย่างแร้นแค้น บ้านหลังคาโหว่กันฝนไม่ได้เวลาฝนตก ส่วนฝาบ้านก็ทั้งลม ทั้งฝนเข้าได้เหมือนกัน อย่างแรกเราคงต้องเอาผ้าพลาสติกไปให้เขา โดยจะให้ทางคุณชัยวัฒน์ ทางอุทยานฯ เป็นตัวแทนจัดการ" เลขาธิการมูลนิธิปิดทองฯ ยืนยัน
อีกหนึ่งคำถามที่ขอความกระจ่างจากปิดทองก็คือ ข้อข้องใจที่ว่า ทำไมปิดทองฯ ถึงเห็นดีให้ชาวกะเหรี่ยงยังคงอยู่อาศัยในป่าต้นน้ำเพชรบุรี ซึ่งเป็นป่าอนุรักษ์ ตามกฎหมายห้ามคนอยู่อาศัย ห้ามเข้าไปในพื้นที่นี้หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ การโยกย้ายชาวบ้านออกจากป่า ไปอยู่ในพื้นที่ชุมชนนอกผืนป่าจะไม่ดีกว่าหรือ
ม.ร.ว.ดิศนัดดาชี้แจงว่า เรื่องนี้ต้องมองประวัติศาสตร์ความเป็นจริงที่ว่า ชาวบ้านกลุ่มนี้อยู่ที่ป่าแห่งนี้มานับ 100 ปีแล้ว ซึ่งกฎหมายป่าไม้ออกทีหลัง เราจึงไม่ควรเอากฎหมายไปครอบแก้ปัญหานี้เพียงอย่างเดียว ต้องใช้หลักรัฐศาสตร์ด้วย และในความเป็นจริง คนที่เข้าไปตัดไม้ทำลายป่านั้นก็ไม่ใช่ชาวบ้าน แต่เป็นนายทุนจากข้างนอก เพราะป่าติดกับจังหวัดอื่น และยังมีพวกที่ข้ามฝั่งมาจากพม่าที่เข้ามาทำลายป่า เชื่อว่าชาวบ้านที่เกิดและโตมากับป่าจะไม่ทำลายป่า
"การอยู่ของคนกลุ่มนี้น่าจะดี ช่วยเป็นหูเป็นตา ดูแลป่าไม่ให้คนมาทำลาย และถ้าหากเราให้เขาอยู่ได้ มีกินมีอยู่ เขาก็อยู่ได้ ไม่ตัดไม้ทำลายป่า" เลขาธิการมูลนิธิปิดทองฯ กล่าว
ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความซับซ้อนในปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างชาวกะเหรี่ยง 2 หมู่บ้าน กับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผูกโยงกับผลประโยชน์จากป่า ก็ได้แต่หวังว่าการเข้าไปเป็นแกนหลัก ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนของมูลนิธิปิดทองฯ จะคลี่คลายปัญหาในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้ลงได้.
ที่มา
http://www.thaipost.net/sunday/090912/62128
|