สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

เรียนรู้วิถีชุมชนป่าตึงงาม ผ่านมติ ครม.การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง (ตอน 1) โดย องอาจ เดชา
โพสเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2555 09:14 น. 



คนดอยทำลายป่า
ชาวเขาไม่มีการศึกษา
ชาวเขาค้ายาเสพติด เป็นภัยต่อความมั่นคง
กะเหรี่ยงเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ฯลฯ

 

คำพูดหรือวาทกรรมเหล่านี้ต่างหลุดออกมาจากปากและความคิดของ สื่อ เจ้าหน้าที่รัฐ นักปกครอง และคนชั้นกลางในเมืองใหญ่ ซึ่งถูกปลูกฝังทัศนคติเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งยิ่งเหมือนจะตอกย้ำและทำลายวิถีชีวิต กลุ่มคนชนเผ่า คนชายขอบให้ล่มสลายไปในหลายๆ พื้นที่ บางชุมชนได้รับผลกระทบจนยากเกินจะเยียวยา เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ใช้อคติต่อชาติพันธุ์ ใช้กำลังผนวกกับกฎหมาย เข้าไปปิดล้อม เผาทำลายหมู่บ้าน และจับกุมผู้คนชนเผ่า นั่นก็ยิ่งเหมือนทำให้ปัญหานี้สะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หาทางลุกขึ้นทวงถามสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ ว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
 

แน่นอน ชนเผ่าปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง ก็เป็นอีกชนเผ่าหนึ่งของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นชนเผ่าที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดของประเทศ ได้รวมตัวกันเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่อง
 

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดแนวนโยบาย และหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ขึ้นมา โดยมุ่งหวังที่จะทำความเข้าใจต่อปัญหาที่สะสมอันยาวนาน ในเรื่องที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจในวิถีชีวิตแบบกะเหรี่ยง ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องการจัดการทรัพยากรแบบธรรมชาติด้วยการทำไร่หมุนเวียน การผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง การให้คุณค่ากับป่า วิธิคิดในเรื่องสิทธิชุมชน และการที่รัฐไทยยังไม่เห็นความสำคัญของวัฒนธรรมและภาษาของชาติพันธุ์ต่างๆ รวมไปถึงการกีดกันทางเลือกอื่นๆ ซึ่งทำให้หลายคนหันมามองว่า จะต้องหันกลับมาอยู่อย่างกะเหรี่ยงที่มีคุณค่าต่อชีวิต


และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ติดตามการขับเคลื่อนมติครม. รวมถึงรับฟังปัญหาของกะเหรี่ยงในปัจจุบัน ได้จัดโครงการสัมมนาเพื่อการขับเคลื่อนแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยเลือก จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่นำร่อง มีชาวกะเหรี่ยงจาก 18 อำเภอ กว่า 100 คนเข้าร่วมสะท้อนปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามมติครม.ดังกล่าว ให้คณะอนุกรรมการอำนวยการติดตามการดำเนินงานนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง นำไปหาแนวทางผลักดันมติครม. ให้นำไปสู่การปฏิบัติได้จริงต่อไป


 
           
 

 

ชุมชนบ้านป่าตึงงาม หมู่ที่ 14 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยน โดยนายเพิ่มพูน พิโน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงงาม ซึ่งเป็นตัวแทนชาวกะเหรี่ยง ได้สะท้อนปัญหาว่า แม้มติดังกล่าวจะออกมาสนับสนุนวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยงให้กลับคืนมาเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริง ที่ผ่านมา แนวคิดของรัฐ ก็ยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะนโยบายด้านการศึกษา

 
"ทุกวันนี้ คนชนเผ่า คนกะเหรี่ยงก็ยังถูกกล่าวหาว่าพวกเราเป็นคนชายขอบทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่สำคัญ รัฐยังไม่เคยสร้างความเข้าใจกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เป็นอยู่ ทำให้พี่น้องของเราบางส่วนเกิดความไม่มั่นใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง จนหลงลืมความเป็นตัวเองไป เพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนที่เขากล่าวหา ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม วัฒนธรรม และการอยู่การกิน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมส่วนใหญ่"นายเพิ่มพูน พิโน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงงาม กล่าว


นั่นทำให้เราต้องหันกลับไปมองความจริงที่ซ่อนอยู่ในชุมชนนั้นอีกครั้ง....
ชุมชนบ้านป่าตึงงามแห่งนี้ อาจสะท้อนให้เห็นบางสิ่งบางอย่างได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานจากถิ่นลั๊วะมาเป็นบ้านกะเหรี่ยงป่าตึงงาม

 

 

 

จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในอดีตได้กล่าวว่า บ้านป่าตึงงามเคยเป็นที่อยู่ของลั๊วะมาก่อน จากหลักฐานประวัติศาสตร์พบวัดร้างกว่า 6 แห่งและป่าช้าของชาวลั๊วะซี่งอยู่บริเวณใกล้ๆหมู่บ้าน ภายหลังจากที่ชาวลั๊วะอพยพออกไป ชุมชนปกาเก่อญอจึงได้เข้ามาตั้งรกรากอาศัยในปี พ.ศ. 2447 โดยมี นายโตยา และนายสุวิ เป็นผู้นำพร้อมด้วยสมาชิกอีกจำนวน 5 ครัวเรือนเข้ามาอาศัยอยู่ก่อน จากนั้นชุมชนเริ่มขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้นอยู่กับบ้านแม่ป๋าม หมู่ที่ 16 ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การปกครองของตำบลเมืองงาย
 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ฝ่ายปกครองอำเภอได้ขยายเขตปกครองระดับตำบล จัดตั้งตำบลปิงโค้งขึ้นมา จึงได้ย้ายบ้านแม่ป๋าม เดิมขึ้นอยู่กับตำบลเมืองงาย   มาอยู่ภายใต้การปกครองตำบลปิงโค้ง และแยกหมู่บ้าน บ้านแม่ป๋าม มาเป็นบ้านออน หมู่ที่ 1 และแยกบ้านป่าตึงงาม หย่อมบ้านของบ้านออนมาเป็นหมู่บ้านหลัก ในปีพ.ศ.2546 จนถึงปัจจุบัน

 
หมู่บ้านป่าตึงงาม มีอาณาเขตติดต่อระหว่างพื้นที่ ชุมชน ด้านทิศเหนือ เขตติดต่อโครงการหลวงบ้านห้วยลึก ตำบลปิงโค้ง ทิศใต้  ติดดอยผาผึ้งกั้นระหว่างอำเภอพร้าวและอำเภอเชียงดาว ทิศตะวันออก  ติดบ้านล่อม บ้านแม่ปาคี บ้านปางเบาะ บ้านหนองผา  ตำบลสันทราย อำเภอพร้าว  ทิศตะวันตก  ติดบ้านแม่ป๋าม ตำบลปิงโค้ง  อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
 

จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่า ในอดีตนั้น ป่าตึงงามเคยเป็นที่อยู่ของ "ลั๊วะ"ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในหลายๆ พื้นที่ทางภาคเหนือ ที่คนป่าตึงงามบอกเล่าว่าเป็นถิ่นของลั๊วะนั้น ก็เพราะว่าชาวบ้านได้ขุดค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายอย่าง เช่น ซากของวัดร้างกว่า 6 แห่ง พบเครื่องปั้นดินเผา ถ้วย จาน กล้องยาสูบโบราณ รวมทั้งยังค้นพบพื้นที่ป่าช้าของชาวลั๊วะ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆหมู่บ้านอีกด้วย  ว่ากันว่า ภายหลังจากที่ชาวลั๊วะ อพยพเคลื่อนย้ายออกไป ชุมชนปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยงกลุ่มนี้จึงได้เข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่แทน ในราวปี พ.ศ. 2447 โดยมี นายโตยา และนายสุวิ เป็นผู้นำชุมชนรุ่นแรก พร้อมด้วยสมาชิกอีกจำนวน 5 ครัวเรือนเข้ามาอาศัยอยู่ จนกลายเป็นชุมชนหย่อมบ้านเล็กๆ กลางป่าเขา        



จุดเด่นของชุมชนบ้านป่าตึงงาม นั่นคือ เป็นชุมชนตั้งอยู่บนรอยต่อพื้นที่อำเภอพร้าวและอำเภอเชียงดาว ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีดอยผานกกกเป็นฉากกั้น ตั้งอยู่บนเทือกเขาผีปันน้ำและเป็นกิ่วดอย จรดกับเทือกเขาถนนธงชัย ทอดยาวออกไปไกลจนเชื่อมกับดอยถ้วยบริเวณชายแดนไทย - พม่า

 

นอกจากนั้น ชุมชนบ้านป่าตึงงาม ยังเป็นชุมชนตั้งอยู่ติดกับลำน้ำแม่ป๋าม ซึ่งถือเป็นต้นน้ำที่มีชีวิต เป็นลำน้ำสาขาสำคัญอีกสายหนึ่งที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชน ก่อนไหลลงไปบรรจบกับแม่น้ำปิงที่บริเวณบ้านไตรสภาวคาม ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว                                                          

 


"เมื่อก่อนเฮายังเคยเลี้ยงช้าง ป่าของเฮาสมบูรณ์ที่สุด น้ำท่าก็ดี ชาวบ้านปลูกผักปลูกไม้กินกันง่ายๆ" พ่อเฒ่าพะจ๊ะ  ริโก ฮีโข่ หรือผู้นำพิธีกรรมชนเผ่าวัย 95 ปี บอกเล่าให้ฟังถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำ ป่าในอดีต

 
ว่ากันว่า ในช่วงแรกของการตั้งชุมชนนั้น ชุมชนป่าตึงงาม นั้นมีวิถีชีวิตอยู่ในหุบเขา นานๆ ทีถึงออกไปพบเจอโลกภายนอก เนื่องจากเส้นทางการคมนาคมในสมัยนั้นไม่สะดวก การสัญจรไปมาลำบาก ชาวบ้านติดต่อสัมพันธ์กับสังคมภายนอกค่อนข้างน้อย ทำให้ชุมชนต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก                
 

แน่นอนว่า นั่นเป็นวิถีดั้งเดิมของพี่น้องชนเผ่าปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่กับป่ากันมาช้านานแล้ว             
 


เมื่อเราเดินไปทางเหนือของหมู่บ้าน ก็จะพบนาขั้นบันได ถัดไปเป็นไร่หมุนเวียน ใช้สำหรับปลูกข้าวไร่ พืชผักพื้นบ้าน  ขึ้นไปอีกก็เป็นผืนป่ารกครึ้ม ชาวบ้านให้ป่าผืนนี้ไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ วัว ควาย เล็มหญ้าหากินเอง  ป่าผืนนี้ยังมียาสมุนไพร และอาหาร จำพวก เห็ด หน่อไม้ พืชผักให้ชาวบ้านได้เก็บหามาทำอาหารกินกันทุกมื้อทุกวัน     

 
ดังนั้น เมื่อเราศึกษาดูวิถีการผลิต หมู่บ้านป่าตึงงาม นั้นมีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพเป็นหลัก ประชากรมีอาชีพทำนา ทำไร่ ทำสวน พึ่งพาผลผลิตจากป่า มีการทำหัตถกรรมไว้ใช้เองและรับจ้างบ้าง ซึ่งในระบบการเกษตรของชาวบ้านสามารถแยกได้ดังนี้
 

การทำนา
เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นที่ราบค่อนข้างมาก และมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ นับว่าเป็นข้อได้เปรียบทางกายภาพเมื่อเปรียบเทียบกับชุมชนปกาเก่อญอบ้านอื่นๆ ชาวบ้านจะมีการทดน้ำเข้านาด้วยระบบ "เหมืองฝาย"(มีการตั้งแก่เหมืองแก่ฝายของแต่ละฝาย ซึ่งมาจากเจ้าของที่นา เป็นผู้ดูแลฝายคนแรก)  ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญอยู่พึ่งพาเกื้อกูลกับธรรมชาติ ทุกครัวเรือนสามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี และคนที่ไม่มีที่นาก็จะเป็นแรงงานช่วยในที่นาของเจ้าของที่นาเพื่อแลกกับข้าวที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง
 

การทำไร่หมุนเวียน
มีชาวบ้านเพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้นที่ยังทำไร่หมุนเวียน ด้วยเหตุผลสำคัญที่ต้องการลดการทำไร่หมุนเวียน  เพราะมองว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นงานหนัก และผลผลิตที่ได้ไม่แน่นอน รวมทั้งการเข้าไปหาพืช ผัก ไม้ป่า ในพื้นที่ป่า ถูกทางการตีเส้นด้วยพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทำให้มองว่าเป็นผู้บุกรุกป่า  และเจ้าหน้าป่าไม้เองมักเข้าใจผิดคิดว่า ไร่เหล่า คือไร่เลื่อนลอย แต่ความเป็นจริงแล้ว "ไร่หมุนเวียน"(พื้นที่ไร่เดิมที่ปล่อยให้ฟื้นตัว)เป็นป่า เพราะวิถีการทำไร่หมุนเวียนจะไม่ได้ทำกินอย่างต่อเนื่อง จะปล่อยให้ป่าฟื้นตัวก่อนถึงค่อยกลับมาทำอีกครั้ง แต่พอถึงฤดูกาลเพาะปลูกชาวบ้านเข้าไปถางไร่ก็มักเกิดความขัดแย้งกับทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อย่างไรก็ตามชาวบ้านก็ยังคงทำไร่อยู่ ก็เพราะต้องการพืชผักต่างๆ ไว้เก็บกินตลอดทั้งปี เช่น ฟัก แตง ถั่ว มัน บวบ พริก ฯลฯ และต้องการรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวและพืชผักพื้นเมืองเอาไว้ ซึ่งการจะรักษาไว้ได้จะต้องมีการนำเมล็ดพันธุ์ที่คัดไว้เมื่อปีก่อนมาปลูก และจะทำการคัดเลือกเมล็ดเก็บไว้ปลูกอย่างต่อเนื่องทุกปี ถ้าเก็บไว้หลายปีโดยไม่ได้ทำการเพาะปลูกเมล็ดพืชเหล่านั้นก็จะขึ้นราหรือถูกแมลงกัดกินหรือเสียหายไม่สามารถนำมาทำพันธุ์ได้
 

การเลี้ยงสัตว์
ชาวบ้านป่าตึงงาม เลี้ยงไก่ หมู วัว ควาย โดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน สำหรับไก่และหมูเลี้ยงไว้กินและประกอบพิธีกรรมตามประเพณี ส่วนวัว-ควายเมื่อก่อนเลี้ยงไว้ใช้งาน แต่ปัจจุบันเลี้ยงไว้เพื่อการออมหรือเป็นการลงทุน (ขาย) เลี้ยงเพื่อให้ได้ลูกหลายๆ ตัว วิธีการเลี้ยงวัว-ควายชาวบ้านจะเลี้ยงแบบพื้นบ้าน ให้หาหญ้ากินตามหมู่บ้าน ในนา หรือในป่า ไม่ต้องลงทุนอะไรมากนัก ชาวบ้านจะขายวัว - ควายเมื่อต้องการใช้เงินจำนวนมาก หรือเมื่อต้องการนำเงินไปซื้อลูกวัวตัวใหม่ให้ได้จำนวนมากกว่าเดิม หรือขายตัวผู้เพื่อซื้อตัวเมียมาเลี้ยงจะได้ออกลูกเพิ่มจำนวนมากขึ้น
 

ดูแลรักษาผืนป่ากว่า 10,000 ไร่
ที่น่าสนใจก็คือ ชาวบ้านปกาเกอะญอซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ แต่ได้ร่วมกันอนุรักษ์รักษาดูแลผืนป่าได้มากกว่า 10,000ไร่ จนสร้างความอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นให้กับผืนแผ่นดิน
หมู่บ้านป่าตึงงามเป็นหมู่บ้านที่มีอาณาบริเวณที่ราบลุ่มเป็นพื้นที่ทำการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ใช้ประโยชน์ (ไร่ สวน นา) มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,264 ไร่ นอกจากนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ได้จัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
 
ประเภทป่าชุมชนอนุรักษ์         จำนวนประมาณ    6,875 ไร่
ประเภทป่าชุมชนใช้สอย         จำนวนประมาณ    3,063 ไร่
ประเภทที่ทำกิน(ใช้ประโยชน์)  จำนวนประมาณ    2,264 ไร่
รวมพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ   12,202 ไร่

 
ซึ่งพื้นที่ต่างๆเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่กลุ่มชาวบ้านบ้านป่าตึงงาม ได้ร่วมกันในการอนุรักษ์รักษา  การสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่า เพื่อจะเป็นสิ่งที่ให้เกิดต้นน้ำในการหล่อเลี้ยงชุมชน และยังส่งผลต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ฤดูหนาวจะมีระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวเย็นมากในตอนเย็นจนถึงตอนสายของอีกวัน ฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนจัด ช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนมีฝนตกชุกตลอดฤดู เพราะสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวย อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 30องศาเซลเซียส จากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำป๋าม ต้นกำเนิดสายน้ำปิงอีกสายหนึ่ง มียอดดอยสูง มีที่ราบระหว่างหุบเขา ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านที่มีความเป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ป่าเขา ลำน้ำ อาชีพการเกษตร หาของป่า ซึ่งเป็นการเกษตรแบบครัวเรือนอย่างพอเพียง เป็นการผลิตเพื่อยังชีพ มีระบบการแลกเปลี่ยนผลผลิต วัฒนธรรมแบบพึ่งพาช่วยเหลือกันที่ยังคงสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในชุมชน
 
นั่นอาจเป็นเพราะชาวบ้านป่าตึงงาม ได้ยึดเอาหลักคำสอน ภูมิปัญญาชนเผ่าเอาไว้ เหมือนกับ "ทา" คำสอนเก่าแก่ของชาวปกาเกอะญอ บทนี้ ที่ได้สอนลูกสอนหลานมานานแล้วนั่นเอง

 
"ออที เก่อตอ ที เอาะก่อ เก่อตอก่อ 
ดื่มน้ำรักษาน้ำ  กินข้าวรักษาข้าว"



 

ที่มา
ประชาธรรม สถานนีข่าวประชาชน


http://www.prachatham.com/detail.htm?code=a1_07092012_01




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง