เรียนรู้วิถีชุมชนป่าตึงงาม ผ่านมติ ครม.การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง (ตอน 1) โดย องอาจ เดชา
โพสเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2555 09:14 น.
คนดอยทำลายป่า
ชาวเขาไม่มีการศึกษา
ชาวเขาค้ายาเสพติด เป็นภัยต่อความมั่นคง
กะเหรี่ยงเผาป่าทำไร่เลื่อนลอย ฯลฯ
คำพูดหรือวาทกรรมเหล่านี้ต่างหลุดออกมาจากปากและความคิดของ สื่อ เจ้าหน้าที่รัฐ นักปกครอง และคนชั้นกลางในเมืองใหญ่ ซึ่งถูกปลูกฝังทัศนคติเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งยิ่งเหมือนจะตอกย้ำและทำลายวิถีชีวิต กลุ่มคนชนเผ่า คนชายขอบให้ล่มสลายไปในหลายๆ พื้นที่ บางชุมชนได้รับผลกระทบจนยากเกินจะเยียวยา เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ได้ใช้อคติต่อชาติพันธุ์ ใช้กำลังผนวกกับกฎหมาย เข้าไปปิดล้อม เผาทำลายหมู่บ้าน และจับกุมผู้คนชนเผ่า นั่นก็ยิ่งเหมือนทำให้ปัญหานี้สะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กลุ่มคนเหล่านี้หาทางลุกขึ้นทวงถามสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้ ว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย
แน่นอน ชนเผ่าปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยง ก็เป็นอีกชนเผ่าหนึ่งของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็นชนเผ่าที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดของประเทศ ได้รวมตัวกันเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดแนวนโยบาย และหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ขึ้นมา โดยมุ่งหวังที่จะทำความเข้าใจต่อปัญหาที่สะสมอันยาวนาน ในเรื่องที่คนส่วนมากยังไม่เข้าใจในวิถีชีวิตแบบกะเหรี่ยง ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องการจัดการทรัพยากรแบบธรรมชาติด้วยการทำไร่หมุนเวียน การผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง การให้คุณค่ากับป่า วิธิคิดในเรื่องสิทธิชุมชน และการที่รัฐไทยยังไม่เห็นความสำคัญของวัฒนธรรมและภาษาของชาติพันธุ์ต่างๆ รวมไปถึงการกีดกันทางเลือกอื่นๆ ซึ่งทำให้หลายคนหันมามองว่า จะต้องหันกลับมาอยู่อย่างกะเหรี่ยงที่มีคุณค่าต่อชีวิต
และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ติดตามการขับเคลื่อนมติครม. รวมถึงรับฟังปัญหาของกะเหรี่ยงในปัจจุบัน ได้จัดโครงการสัมมนาเพื่อการขับเคลื่อนแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยเลือก จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่นำร่อง มีชาวกะเหรี่ยงจาก 18 อำเภอ กว่า 100 คนเข้าร่วมสะท้อนปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามมติครม.ดังกล่าว ให้คณะอนุกรรมการอำนวยการติดตามการดำเนินงานนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง นำไปหาแนวทางผลักดันมติครม. ให้นำไปสู่การปฏิบัติได้จริงต่อไป
ชุมชนบ้านป่าตึงงาม หมู่ที่ 14 ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยน โดยนายเพิ่มพูน พิโน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงงาม ซึ่งเป็นตัวแทนชาวกะเหรี่ยง ได้สะท้อนปัญหาว่า แม้มติดังกล่าวจะออกมาสนับสนุนวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยงให้กลับคืนมาเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริง ที่ผ่านมา แนวคิดของรัฐ ก็ยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะนโยบายด้านการศึกษา
"ทุกวันนี้ คนชนเผ่า คนกะเหรี่ยงก็ยังถูกกล่าวหาว่าพวกเราเป็นคนชายขอบทำลายป่า ทำไร่เลื่อนลอย ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่สำคัญ รัฐยังไม่เคยสร้างความเข้าใจกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เป็นอยู่ ทำให้พี่น้องของเราบางส่วนเกิดความไม่มั่นใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง จนหลงลืมความเป็นตัวเองไป เพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนที่เขากล่าวหา ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม วัฒนธรรม และการอยู่การกิน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมส่วนใหญ่"นายเพิ่มพูน พิโน ผู้ใหญ่บ้านบ้านป่าตึงงาม กล่าว
นั่นทำให้เราต้องหันกลับไปมองความจริงที่ซ่อนอยู่ในชุมชนนั้นอีกครั้ง....
ชุมชนบ้านป่าตึงงามแห่งนี้ อาจสะท้อนให้เห็นบางสิ่งบางอย่างได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานจากถิ่นลั๊วะมาเป็นบ้านกะเหรี่ยงป่าตึงงาม
จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในอดีตได้กล่าวว่า บ้านป่าตึงงามเคยเป็นที่อยู่ของลั๊วะมาก่อน จากหลักฐานประวัติศาสตร์พบวัดร้างกว่า 6 แห่งและป่าช้าของชาวลั๊วะซี่งอยู่บริเวณใกล้ๆหมู่บ้าน ภายหลังจากที่ชาวลั๊วะอพยพออกไป ชุมชนปกาเก่อญอจึงได้เข้ามาตั้งรกรากอาศัยในปี พ.ศ. 2447 โดยมี นายโตยา และนายสุวิ เป็นผู้นำพร้อมด้วยสมาชิกอีกจำนวน 5 ครัวเรือนเข้ามาอาศัยอยู่ก่อน จากนั้นชุมชนเริ่มขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ขึ้นอยู่กับบ้านแม่ป๋าม หมู่ที่ 16 ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้การปกครองของตำบลเมืองงาย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 ฝ่ายปกครองอำเภอได้ขยายเขตปกครองระดับตำบล จัดตั้งตำบลปิงโค้งขึ้นมา จึงได้ย้ายบ้านแม่ป๋าม เดิมขึ้นอยู่กับตำบลเมืองงาย มาอยู่ภายใต้การปกครองตำบลปิงโค้ง และแยกหมู่บ้าน บ้านแม่ป๋าม มาเป็นบ้านออน หมู่ที่ 1 และแยกบ้านป่าตึงงาม หย่อมบ้านของบ้านออนมาเป็นหมู่บ้านหลัก ในปีพ.ศ.2546 จนถึงปัจจุบัน
หมู่บ้านป่าตึงงาม มีอาณาเขตติดต่อระหว่างพื้นที่ ชุมชน ด้านทิศเหนือ เขตติดต่อโครงการหลวงบ้านห้วยลึก ตำบลปิงโค้ง ทิศใต้ ติดดอยผาผึ้งกั้นระหว่างอำเภอพร้าวและอำเภอเชียงดาว ทิศตะวันออก ติดบ้านล่อม บ้านแม่ปาคี บ้านปางเบาะ บ้านหนองผา ตำบลสันทราย อำเภอพร้าว ทิศตะวันตก ติดบ้านแม่ป๋าม ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่า ในอดีตนั้น ป่าตึงงามเคยเป็นที่อยู่ของ "ลั๊วะ"ชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในหลายๆ พื้นที่ทางภาคเหนือ ที่คนป่าตึงงามบอกเล่าว่าเป็นถิ่นของลั๊วะนั้น ก็เพราะว่าชาวบ้านได้ขุดค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายอย่าง เช่น ซากของวัดร้างกว่า 6 แห่ง พบเครื่องปั้นดินเผา ถ้วย จาน กล้องยาสูบโบราณ รวมทั้งยังค้นพบพื้นที่ป่าช้าของชาวลั๊วะ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆหมู่บ้านอีกด้วย ว่ากันว่า ภายหลังจากที่ชาวลั๊วะ อพยพเคลื่อนย้ายออกไป ชุมชนปกาเกอะญอ หรือกะเหรี่ยงกลุ่มนี้จึงได้เข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่แทน ในราวปี พ.ศ. 2447 โดยมี นายโตยา และนายสุวิ เป็นผู้นำชุมชนรุ่นแรก พร้อมด้วยสมาชิกอีกจำนวน 5 ครัวเรือนเข้ามาอาศัยอยู่ จนกลายเป็นชุมชนหย่อมบ้านเล็กๆ กลางป่าเขา
จุดเด่นของชุมชนบ้านป่าตึงงาม นั่นคือ เป็นชุมชนตั้งอยู่บนรอยต่อพื้นที่อำเภอพร้าวและอำเภอเชียงดาว ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีดอยผานกกกเป็นฉากกั้น ตั้งอยู่บนเทือกเขาผีปันน้ำและเป็นกิ่วดอย จรดกับเทือกเขาถนนธงชัย ทอดยาวออกไปไกลจนเชื่อมกับดอยถ้วยบริเวณชายแดนไทย - พม่า
นอกจากนั้น ชุมชนบ้านป่าตึงงาม ยังเป็นชุมชนตั้งอยู่ติดกับลำน้ำแม่ป๋าม ซึ่งถือเป็นต้นน้ำที่มีชีวิต เป็นลำน้ำสาขาสำคัญอีกสายหนึ่งที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนในชุมชน ก่อนไหลลงไปบรรจบกับแม่น้ำปิงที่บริเวณบ้านไตรสภาวคาม ตำบลปิงโค้ง อำเภอเชียงดาว
"เมื่อก่อนเฮายังเคยเลี้ยงช้าง ป่าของเฮาสมบูรณ์ที่สุด น้ำท่าก็ดี ชาวบ้านปลูกผักปลูกไม้กินกันง่ายๆ" พ่อเฒ่าพะจ๊ะ ริโก ฮีโข่ หรือผู้นำพิธีกรรมชนเผ่าวัย 95 ปี บอกเล่าให้ฟังถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน น้ำ ป่าในอดีต
ว่ากันว่า ในช่วงแรกของการตั้งชุมชนนั้น ชุมชนป่าตึงงาม นั้นมีวิถีชีวิตอยู่ในหุบเขา นานๆ ทีถึงออกไปพบเจอโลกภายนอก เนื่องจากเส้นทางการคมนาคมในสมัยนั้นไม่สะดวก การสัญจรไปมาลำบาก ชาวบ้านติดต่อสัมพันธ์กับสังคมภายนอกค่อนข้างน้อย ทำให้ชุมชนต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก
แน่นอนว่า นั่นเป็นวิถีดั้งเดิมของพี่น้องชนเผ่าปกาเกอะญอที่อาศัยอยู่กับป่ากันมาช้านานแล้ว
เมื่อเราเดินไปทางเหนือของหมู่บ้าน ก็จะพบนาขั้นบันได ถัดไปเป็นไร่หมุนเวียน ใช้สำหรับปลูกข้าวไร่ พืชผักพื้นบ้าน ขึ้นไปอีกก็เป็นผืนป่ารกครึ้ม ชาวบ้านให้ป่าผืนนี้ไว้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ วัว ควาย เล็มหญ้าหากินเอง ป่าผืนนี้ยังมียาสมุนไพร และอาหาร จำพวก เห็ด หน่อไม้ พืชผักให้ชาวบ้านได้เก็บหามาทำอาหารกินกันทุกมื้อทุกวัน
ดังนั้น เมื่อเราศึกษาดูวิถีการผลิต หมู่บ้านป่าตึงงาม นั้นมีระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพเป็นหลัก ประชากรมีอาชีพทำนา ทำไร่ ทำสวน พึ่งพาผลผลิตจากป่า มีการทำหัตถกรรมไว้ใช้เองและรับจ้างบ้าง ซึ่งในระบบการเกษตรของชาวบ้านสามารถแยกได้ดังนี้
การทำนา
เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นที่ราบค่อนข้างมาก และมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ นับว่าเป็นข้อได้เปรียบทางกายภาพเมื่อเปรียบเทียบกับชุมชนปกาเก่อญอบ้านอื่นๆ ชาวบ้านจะมีการทดน้ำเข้านาด้วยระบบ "เหมืองฝาย"(มีการตั้งแก่เหมืองแก่ฝายของแต่ละฝาย ซึ่งมาจากเจ้าของที่นา เป็นผู้ดูแลฝายคนแรก) ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญอยู่พึ่งพาเกื้อกูลกับธรรมชาติ ทุกครัวเรือนสามารถปลูกข้าวได้ตลอดทั้งปี และคนที่ไม่มีที่นาก็จะเป็นแรงงานช่วยในที่นาของเจ้าของที่นาเพื่อแลกกับข้าวที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง
การทำไร่หมุนเวียน
มีชาวบ้านเพียงไม่กี่ครัวเรือนเท่านั้นที่ยังทำไร่หมุนเวียน ด้วยเหตุผลสำคัญที่ต้องการลดการทำไร่หมุนเวียน เพราะมองว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นงานหนัก และผลผลิตที่ได้ไม่แน่นอน รวมทั้งการเข้าไปหาพืช ผัก ไม้ป่า ในพื้นที่ป่า ถูกทางการตีเส้นด้วยพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทำให้มองว่าเป็นผู้บุกรุกป่า และเจ้าหน้าป่าไม้เองมักเข้าใจผิดคิดว่า ไร่เหล่า คือไร่เลื่อนลอย แต่ความเป็นจริงแล้ว "ไร่หมุนเวียน"(พื้นที่ไร่เดิมที่ปล่อยให้ฟื้นตัว)เป็นป่า เพราะวิถีการทำไร่หมุนเวียนจะไม่ได้ทำกินอย่างต่อเนื่อง จะปล่อยให้ป่าฟื้นตัวก่อนถึงค่อยกลับมาทำอีกครั้ง แต่พอถึงฤดูกาลเพาะปลูกชาวบ้านเข้าไปถางไร่ก็มักเกิดความขัดแย้งกับทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อย่างไรก็ตามชาวบ้านก็ยังคงทำไร่อยู่ ก็เพราะต้องการพืชผักต่างๆ ไว้เก็บกินตลอดทั้งปี เช่น ฟัก แตง ถั่ว มัน บวบ พริก ฯลฯ และต้องการรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวและพืชผักพื้นเมืองเอาไว้ ซึ่งการจะรักษาไว้ได้จะต้องมีการนำเมล็ดพันธุ์ที่คัดไว้เมื่อปีก่อนมาปลูก และจะทำการคัดเลือกเมล็ดเก็บไว้ปลูกอย่างต่อเนื่องทุกปี ถ้าเก็บไว้หลายปีโดยไม่ได้ทำการเพาะปลูกเมล็ดพืชเหล่านั้นก็จะขึ้นราหรือถูกแมลงกัดกินหรือเสียหายไม่สามารถนำมาทำพันธุ์ได้
การเลี้ยงสัตว์
ชาวบ้านป่าตึงงาม เลี้ยงไก่ หมู วัว ควาย โดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน สำหรับไก่และหมูเลี้ยงไว้กินและประกอบพิธีกรรมตามประเพณี ส่วนวัว-ควายเมื่อก่อนเลี้ยงไว้ใช้งาน แต่ปัจจุบันเลี้ยงไว้เพื่อการออมหรือเป็นการลงทุน (ขาย) เลี้ยงเพื่อให้ได้ลูกหลายๆ ตัว วิธีการเลี้ยงวัว-ควายชาวบ้านจะเลี้ยงแบบพื้นบ้าน ให้หาหญ้ากินตามหมู่บ้าน ในนา หรือในป่า ไม่ต้องลงทุนอะไรมากนัก ชาวบ้านจะขายวัว - ควายเมื่อต้องการใช้เงินจำนวนมาก หรือเมื่อต้องการนำเงินไปซื้อลูกวัวตัวใหม่ให้ได้จำนวนมากกว่าเดิม หรือขายตัวผู้เพื่อซื้อตัวเมียมาเลี้ยงจะได้ออกลูกเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ดูแลรักษาผืนป่ากว่า 10,000 ไร่
ที่น่าสนใจก็คือ ชาวบ้านปกาเกอะญอซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ แต่ได้ร่วมกันอนุรักษ์รักษาดูแลผืนป่าได้มากกว่า 10,000ไร่ จนสร้างความอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นให้กับผืนแผ่นดิน
หมู่บ้านป่าตึงงามเป็นหมู่บ้านที่มีอาณาบริเวณที่ราบลุ่มเป็นพื้นที่ทำการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่ใช้ประโยชน์ (ไร่ สวน นา) มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 2,264 ไร่ นอกจากนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ยังมีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ได้จัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทป่าชุมชนอนุรักษ์ จำนวนประมาณ 6,875 ไร่
ประเภทป่าชุมชนใช้สอย จำนวนประมาณ 3,063 ไร่
ประเภทที่ทำกิน(ใช้ประโยชน์) จำนวนประมาณ 2,264 ไร่
รวมพื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ 12,202 ไร่
ซึ่งพื้นที่ต่างๆเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่กลุ่มชาวบ้านบ้านป่าตึงงาม ได้ร่วมกันในการอนุรักษ์รักษา การสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่า เพื่อจะเป็นสิ่งที่ให้เกิดต้นน้ำในการหล่อเลี้ยงชุมชน และยังส่งผลต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ฤดูหนาวจะมีระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวเย็นมากในตอนเย็นจนถึงตอนสายของอีกวัน ฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนจัด ช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนมีฝนตกชุกตลอดฤดู เพราะสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวย อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 30องศาเซลเซียส จากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำป๋าม ต้นกำเนิดสายน้ำปิงอีกสายหนึ่ง มียอดดอยสูง มีที่ราบระหว่างหุบเขา ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านที่มีความเป็นมาตั้งแต่ดั้งเดิมเป็นชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ป่าเขา ลำน้ำ อาชีพการเกษตร หาของป่า ซึ่งเป็นการเกษตรแบบครัวเรือนอย่างพอเพียง เป็นการผลิตเพื่อยังชีพ มีระบบการแลกเปลี่ยนผลผลิต วัฒนธรรมแบบพึ่งพาช่วยเหลือกันที่ยังคงสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในชุมชน
นั่นอาจเป็นเพราะชาวบ้านป่าตึงงาม ได้ยึดเอาหลักคำสอน ภูมิปัญญาชนเผ่าเอาไว้ เหมือนกับ "ทา" คำสอนเก่าแก่ของชาวปกาเกอะญอ บทนี้ ที่ได้สอนลูกสอนหลานมานานแล้วนั่นเอง
"ออที เก่อตอ ที เอาะก่อ เก่อตอก่อ
ดื่มน้ำรักษาน้ำ กินข้าวรักษาข้าว"
ที่มา
ประชาธรรม สถานนีข่าวประชาชน
http://www.prachatham.com/detail.htm?code=a1_07092012_01
|