สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

ทวงคืน'สุสานอุรักลาโว้ย’ในรีสอร์ทเกาะเฮ นายทุนสั่งคนยิงไล่-ห้ามไปไหว้บรรพบุรุษ ชี้'ภูเก็ต'ที่ดินแพง-โกงออกโฉนดอันดับ1
โพสเมื่อวันที่ 05 ก.ย. 2555 15:46 น. 



ทวงคืน'สุสานอุรักลาโว้ย’ในรีสอร์ทเกาะเฮ นายทุนสั่งคนยิงไล่-ห้ามไปไหว้บรรพบุรุษ ชี้'ภูเก็ต'ที่ดินแพง-โกงออกโฉนดอันดับ1


โดย ชุลีพร บุตรโคตร ศูนย์ข่าว TCIJ
 
 





















ชาวเลภูเก็ตร้องสื่อช่วย หลังนายทุนฮุบที่ดินสุสานบรรพบุรุษบนเกาะเฮ อ้างมีเอกสารสิทธิ์ ทั้งที่ชาวเลอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน ไม่ยอมให้ลูกหลานขึ้นไปไหว้บรรพบุรุษ สั่งให้คนเอาปืนยิงถ้าเรือเข้าไปใกล้ ขณะที่ชาวเลหาดราไวย์ แฉถูกเอกชนออกเอกสารทับที่ดินผุดโรงแรม-รีสอร์ท บนสุสาน จนศาลสั่งรื้อออกไป 2 ครอบครัวแล้ว ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐ หนุนนายทุนรุมบีบทุกทาง ไม่ให้ใช้น้ำประปา-ไฟฟ้า อ้างไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดิน นักกฎหมายแนะให้รวมกลุ่มต่อสู้ พร้อมแสดงหลักฐานการอยู่อาศัยมานาน ระบุสิ่งสำคัญที่ทำให้แก้ปัญหาได้ยากเพราะราคาที่ดินในภูเก็ตพุ่งสูงเกือบ 200 เปอร์เซนต์ ซึ่งปปช.ระบุมีการทุจริตออกเอกสารสิทธิ์มากที่สุดในประเทศ
 

‘อุรัก ลาโว้ย’ เซ่นไหว้บรรพบุรุษครั้งแรกรอบ 50 ปี

 

 

เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ที่ยายแย๊ะ อาบัง หรือ อาบัง ทะเลรุ่งโรจน์ หญิงชราชาวเล อุรัก ลาโว้ย  วัย 80 ปี ไม่ได้กลับมาเคารพหลุมฝังศพของพ่อแม่ และบรรพบุรุษอีกหลายคน ที่ฝังอยู่ในสุสานริมชายหาดเกาะเฮ จ.ภูเก็ต ที่อยู่อาศัยเดิมของตระกูลชาวเล อุรักลาโว้ยมายาวนานกว่า 100 ปี หลังจากต้องอพยพหนีภัยโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดรุนแรงทั่วเกาะ ไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องชาวเล ที่หาดราไวย์ บนฝั่งเกาะภูเก็ต โดยไม่รู้ว่าการจากไปครั้งนั้น ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสกลับมาอาศัยเกาะแห่งนี้ เป็นแหล่งทำมาหากินได้เหมือนเดิมอีก

 

หลังการหนีภัยโรคระบาดของชุมชนชาวอุรักลาโว้ย จากเกาะเฮไปไม่นานนัก นายทุนได้เข้าอ้างสิทธิ์ครอบครองที่ดินทั่วทั้งเกาะเฮ พร้อมแสดงเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดิน และสั่งห้ามชาวอุรัก ลาโว้ย กลับเข้ามาอาศัยทำมาหากิน หรือ ทำพิธีกรรมต่างๆ บนเกาะเฮ อีกต่อไป จากนั้นจึงเริ่มก่อสร้างรีสอร์ท ที่พักเพื่อบริการนักท่องเที่ยว โดยสร้างเป็นอาคารเพิงพัก ร้านอาหารแบบถาวร ด้วยการโบกปูนทับลงบนพื้นที่ป่าริมชายหาด ซึ่งในอดีตชาวบ้าน ใช้เป็นสุสานฝังศพญาติพี่น้อง และบรรพบุรุษตั้งแต่เริ่มตั้งรกรากอยู่ที่เกาะแห่งนี้ โดยเชื่อว่ามีศพชาวอุรักลาโว้ย ถูกฝังอยู่มากกว่า 200 ศพ

 

นอกจากสุสานบนเกาะเฮที่ถูกรุกรานจากนายทุนแล้ว ยังมีสุสานในจ.ภูเก็ต อีก 4 แห่ง ที่ถูกรุกรานด้วยเช่นกัน คือ เกาะนาน หาดพรแม่ สุสานเด็กคลองหลาวโอน และด้านหลังชุมชนหาดราไวย์ เหลือเพียงสุสานหาดมิตรภาพขนาด 2 ไร่ ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมผืนสุดท้าย ของชาวอุรักลาโว้ย 2,063 คน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นายทุนอ้างมีเอกสารสิทธิ์-ห้ามชาวเลกลับเกาะ

 

 

การกลับมาของยายอาบัง และชาวบ้าน อีกกว่า 20 ชีวิตครั้งนี้ จึงสร้างความดีใจให้กับพวกเขาไม่น้อย หญิงชรามุ่งหน้าไปเคารพศพของผู้เป็นพ่อ ณ จุดฝังศพในสุสานที่จำได้แม่นยำ เพราะเคยปลูกต้นมะพร้าวและต้นมะขามไว้เป็นสัญลักษณ์ ก่อนเริ่มตั้งวงทำพิธีเซ่นไหวตามความเชื่อ พร้อมนำภาพวาดของนายอาหงิน และ นายดาไว๊ย ซึ่งชาวอุรัก ลาโว้ย เชื่อว่าเป็นต้นตระกูลบรรพบุรุษ มาตั้งรอทำพิธี เพื่อทำความเคารพตามพิธีกรรมของชาวอุรัก ลาโว้ย หลังจากที่ไม่เคยได้ทำพิธีมายาวนานหลายสิบปี

 

               “พวกเราอพยพจากเกาะไป เพราะมีโรคห่าระบาด ชาวบ้านล้มตายกันวันละหลายคน มีมากสุดคือ 5 คน ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุ 14 ปี ไม่มีใครกล้าอยู่ ทุกคนต้องออกไปอาศัยญาติพี่น้องอยู่ที่หาดราไวย์ เพราะกลัวจะติดโรคระบาด แต่หลังที่โรคหายไปแล้ว ไม่มีโรค เมื่อจะกลับมาที่นี่ เขาก็บอกว่าอยู่ไม่ได้แล้วเพราะเป็นที่ดินของคนอื่น” ยายอาบังเล่าผ่านล่ามรุ่นหลาน เพราะไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เหมือนกับชาวเลอุรักลาโว้ยรุ่นใหม่ พร้อมเล่าต่อว่า เมื่อก่อนชาวเลมีพื้นที่อาศัยตั้งเป็นชุมชนชาวเลบนเกาะเฮ ตั้งบ้านเรือนเป็นแนวยาวตลอดริมชายหาด ทำมาหากินด้วยการออกเรือทะเล ทำประมง มีวิถีชีวิตเหมือนชาวเลทั่วไป มีประเพณีวัฒนธรรม และภาษาเป็นของตัวเอง โดยมีพื้นที่ริมหาดท้ายหมู่บ้านเป็นสุสานสำหรับการฝังศพญาติพี่น้อง และมักจะกลับมาทำพิธีเซ่นไหว้เมื่อถึงเทศกาลสำคัญ ๆ ของชาวเล รวมถึงการละเล่น “รองเง็ง”  ที่จะจัดขึ้นให้กับวิญญาณบรรพบุรุษ ตามความเชื่อ ซึ่งการกลับมาในรอบ 50 ปีของชาวเล ครั้งนี้ ชาวบ้านได้เตรียมการแสดงชุดนี้มาด้วย และเริ่มการละเล่นทันทีที่พิธีกรรมทางการเซ่นไหว้เสร็จสิ้นลง

 

 

สลดนักท่องเที่ยวขากถุยใส่หลุมศพบรรพบุรุษ

 

 

การเต้นรองเง็ง 13 เพลงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เสียงดนตรีเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่ง ให้เดินมามุงดูไม่น้อย บางคนขยับแข้งขาตามไปด้วย ก่อนที่จะเดินจากไป บางคนโยนขวดน้ำและขากถุยลงบนพื้น โดยไม่รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้ คือสุสานของชาวบ้านในอดีต เพราะพื้นที่เกือบทุกจุดบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ถูกแปรสภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปเกือบหมดแล้ว ร้านค้า ร้านอาหาร และจุดบริการต่าง ๆ ผุดขึ้นจากการทำธุรกิจของผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินและมีเอกสารสิทธิ์ สภาพของสุสานจึงไม่หลงเหลือให้เห็น มีเพียงกองขยะกองเล็กกองน้อย และร่องรอยของโครงสร้างคอนกรีตที่สร้างทับหลุมฝังศพ ที่หากเดินผ่านคงไม่รู้ว่า ใต้พื้นดินแห่งนั้นมีศพบรรพบุรุษชาวเลถูกฝังอยู่ และที่สำคัญชาวบ้านเล่าว่า กระดูกของบรรพบุรุษจำนวนมาก ถูกนายทุนที่อ้างเป็นเจ้าของเกาะขุดเอาไปฝังรวมกัน และทำพิธีตามความเชื่อ เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคต่อการทำธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะแห่งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการลบหลู่บรรพบุรุษชาวเลเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 


























การเข้ามาของกลุ่มนายทุน ซึ่งชาวอุรักลาโว้ย บนเกาะเฮไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจพวกเขาอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านเคยใช้ชีวิตอยู่บนเกาะอย่างอิสระ ทำมาหากินด้วยการออกทะเล หาปู ปลา หอย ทรัพยากรที่แสนอุดมสมบูรณ์ เพียงเพื่อนำไปแลกข้าวปลา อาหาร และสิ่งจำเป็นอื่นๆ กับผู้คนบนฝั่ง แต่เมื่อต้องหลบหนีภัยโรคระบาดออกไป จนกลับมาอีกครั้งก็กลับถูกคนจากที่อื่นมาอ้างสิทธิ์ ว่าเป็นเจ้าของที่ดินริมทะเลไปแล้ว ความสวยงามที่เคยเป็นแหล่งทำมาหากินเลี้ยงชีพของชาวเล ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาเยือน แต่ชาวเลอย่างพวกเขากลับไม่มีที่ให้ยืนบนแหล่งทำมาหากินเดิม

 

 

 

 

 นายทุนฮุบที่ดินทั่วภูเก็ต-ปปช.ระบุทุจริตอันดับ 1

 

 

 “โดยปกติแล้ว ชาวบ้านจะไม่กล้าลอยเรือเข้ามาใกล้ชายหาดนี้นัก เพราะมักจะถูกยิงปืนขู่ หรือไม่ก็มีชายฉกรรจ์ขับเรือเร็วออกไปไล่ไม่ให้เข้ามาใกล้ แม้กระทั่งนำคนมาส่งก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นจึงไม่มีกล้านำเรือเข้ามาที่เกาะ ยกเว้นการเดินทางเข้ามากับเรือของหน่วยงานภาครัฐ เพราะนายทุนและสมุนจะไม่กล้ามาตอแยด้วย การขึ้นเกาะเฮของกลุ่มชาวบ้านโดยเรือยนต์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐครั้งนี้ ทำให้เบาใจได้ว่า เราจะสามารถทำพิธีโดยไม่มีอันตรายใด ๆ จากการเข้ามาทำพิธีบนเกาะเฮ” สนิท แซ่ซั่ว ผู้ประสานงานเครือข่ายชาวเลราไวย์ จ.ภูเก็ต ลูกหลานชาวเลอุรัก ลาโว้ยรุ่นใหม่ กล่าว ระหว่างนำคณะสื่อมวลชนสำรวจพื้นที่สุสานบรรพบุรุษบนเกาะเฮ

 

ปัญหาการแย่งชิงที่ดินไปจากชาวเลในจ.ภูเก็ต เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดมานาน หลังนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวบนเกาะภูเก็ต พื้นที่อยู่อาศัยเดิมของชาวบ้านถูกออกโฉนดทับ และถูกเจ้าของโฉนดไล่รื้อ ทำให้ไม่มีที่ทำมาหากิน และทำพิธีกรรมตามความเชื่อ จนเกิดปัญหาฟ้องร้องอย่างต่อเนื่องตลอดมา การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมระหว่างนายทุนกับชาวบ้าน ซึ่งเป็นชาวเล ที่ยังขาดความรู้ ทำให้หลายกรณีชาวบ้านต้องพ่ายแพ้ จนต้องกลายเป็นผู้ที่ไม่มีที่ทำกิน แม้จะเป็นผู้ที่อยู่อาศัยบนแหล่งทำมาหากินเดิมนี้มายาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ก่อนเกิดการออกโฉนดเหล่านี้เสียอีก ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เคยออกมาระบุว่า การทุจริตในการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน เกิดขึ้นที่จ.ภูเก็ต เป็นอันดับ 1 ของประเทศ

 

“สิ่งที่เราจะต้องทำเพื่อให้เกิดการยอมรับให้ได้คือ การสืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของชาวเล อุรัก ลาโว้ย และบรรพบุรุษในอดีต เพื่อยืนยันว่าพวกเรามีตัวตน และเป็นเจ้าของที่ดินริมทะเลเหล่านี้มานานกว่าการเข้ามาของกลุ่มนายทุน ที่ต่างเข้ามาแย่งทรัพยากรเหล่านี้ออกไปจากชาวบ้าน และไล่รื้อพวกเราออกไปเรื่อย ๆ สุสานเก่าบนเกาะเฮ ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นมาเหล่านี้ ที่มีให้เห็นเป็นจริง แม้ว่าปัจจุบันเราจะเข้าไปทำพิธีกรรมอะไรไม่ได้อีกแล้วก็ตาม” สนิทเล่าถึงในความพยายามรวมตัวกันต่อสู้กับกลุ่มนานทุน ที่พยายามเข้ามาไล่รื้อชุมชนของพวกเขา เพื่อหาผลประโยชน์บนเกาะภูเก็ตแห่งนี้



 





















หาหลักฐานการตั้งรกรากเดิมสู้เอาที่ดินคืนจากนายทุน

 

 

ปัจจุบันการค้นหาความเป็นมาของชุมชนอุรัก ลาโว้ย โดยเยาวชนรุ่นใหม่ ทำให้พบหลักฐานที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น มีการบันทึกไว้ว่า มีกลุ่มชาวเลอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ตั้งแต่ช่วงยุคหิน (3,000 ปี) จนกระทั่งประมาณช่วงรัชกาลที่ 3 ที่มีกฎหมายกำหนดให้กลุ่มชาวเลที่เร่ร่อนอยู่ต้องขึ้นมาอยู่บนฝั่งที่ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานที่แน่นอน โดยอพยพจากบริเวณเกาะเฮ และย้ายมาอยู่บริเวณหาดราไวย์ เมื่อประมาณ 100 กว่าปีแล้ว ดำรงชีพด้วยการออกทะเลหาปลา ปลูกต้นมะพร้าวบ้านยกสูงพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ ฝาบ้านใช้ไม้ไผ่หลังคามุงด้วยจากมะพร้าว ใช้เปลือกต้นเสม็ดแช่น้ำมันยางจุดไฟ ออกทะเลหาปลา หรือทำไร่

 

นอกจากนี้จากการสืบค้นข้อมูลยังพบทะเบียนบ้านเลขที่ 38 ต.ราไวย์ ที่พบว่า นางเปลื้อง ซึ่งมีชื่อระบุว่าเกิดเมื่อปี พ.ศ.2445 ซึ่งหากมีอายุถึงปัจจุบัน จะมีอายุถึง 120 ปี เป็นหลักฐาน ยืนยันได้ว่า ชาวเลอุรัก ลาโว้ย ไม่ได้เป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาจับจองที่อยู่อาศัยแต่มีชุมชน และวิถีชีวิตยาวนานมาแล้ว ขณะเดียวกัน ยังมีหลักฐานระบุด้วยว่า เมื่อปี พ.ศ.2456 ตั้งโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ปี พ.ศ.2480  ทางราชการได้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียน 1 หลัง ต่อมาทรุดโทรม ในปี พ.ศ.2497 ประชาชนได้รวบรวมเงินสร้างอาคารเรียน และใช้อยู่ในปัจจุบัน และยังพบหลักฐานสำคัญเป็น วีดีทัศน์ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรชุมชนชาวเลหาดราไวย์ ในปี พ.ศ.2502 ขณะนั้นมีบ้านชาวเลอาศัยอยู่ประมาณ 40 ครัวเรือน เป็นหลักฐานที่ยืนยันอีกชิ้นหนึ่งว่า ชุมชนชาวเลหาดราไวย์ อยู่มาก่อนมีการออกเอกสารสิทธิ์ของเอกชนในปี 2508

 

 

สู้คดีแพ้แล้ว 2 รายให้รื้อออก ที่เหลือถูกฟ้องไล่ยกชุมชน

 

 

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการต่อสู้ ด้วยการค้นหาหลักฐาน เพื่อยืนยันความเป็นตัวตนบนพื้นที่อาศัยริมหาดราไวย์ แต่ปัจจุบันชาวชุมชนราไวย์ 2,000 กว่าคน ประมาณ 244 หลังคาเรือน ยังกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากกรณีที่เอกชนรุกไล่ที่ดิน อ้างเอกสารสิทธิเมื่อปี 2508 และออกโฉนดที่ดินได้ เมื่อปี 2514 โดยขับไล่ชาวเลออกจากพื้นที่  มีการฟ้องร้องต่อศาลตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 10 ราย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ชาวเล 2 ราย รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดิน ส่วนอีก 8 ราย อยู่ระหว่างดำเนินคดี

 

ที่สำคัญกลุ่มเอกชนที่อ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว กำลังทยอยฟ้องร้องชาวบ้านทั้งชุมชน ให้ออกจากพื้นที่ไปด้วย เพื่อนำที่ดินริมหาดราไวย์แห่งนี้ ไปจัดสร้างเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ทำให้ขณะนี้ชาวเล ราไวย์ หรือ ชาวอุรัก ลาโว้ย จำนวนมากกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะนอกจากความพยายามในการฟ้องร้องเพื่อไล่รื้อชุมชนแล้ว ชาวบ้านที่อยู่อาศัยขาดแคลนสาธารณูปโภค สภาพชุมชนแออัด ตกสำรวจ ไม่มีบัตรประชาชน ไม่สามารถสร้างห้องน้ำและปลูกสร้างสิ่งใด ๆ ได้อีกต่อไป

 

 

 























ถูกบีบทั้งจากนายทุนและหน่วยงานรัฐ

 

“ขณะนี้ถึงแม้ชาวบ้านประมาณ 130 หลังคาเรือน ที่มีทะเบียนบ้านก็ไม่สามารถขอน้ำประปาและไฟฟ้าใช้ได้ รวมทั้งถูกคัดค้าน เนื่องจากไม่มีโฉนดที่ดิน ต้องอาศัยซื้อน้ำประปาและไฟใช้ แพงกว่าที่อื่น  3 เท่า ไม่มีงบพัฒนาชุมชนถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีห้องน้ำใช้ เพราะไม่สามารถต่อเติมที่อยู่อาศัยได้ ในชุมชนมีต้นมะพร้าวสูงเยอะมาก เคยล้มทับบ้านหลายหลังคาเรือน แม้หากยืนต้นตายก็ตัดไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์โค่น บ่อน้ำสาธารณะถูกไล่กลบตลอดเวลา รวมทั้งพื้นที่สุสานและพิธีกรรมถูกเอกสารสิทธิ์ทับ และกำลังจะถูกก่อสร้างทับสุสาน ขณะเดียวกัน และต้องออกหาปลาไกลขึ้น ดำน้ำลึกขึ้น อันตรายมากขึ้น ซึ่งปัญหานี้เราก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไรต่อไป เพราะเราเชื่อว่าพวกเราอยู่ที่นี่มานาน แต่กลับต้องถูกไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น ไม่มีที่ดิน หรือทะเลที่จะให้อยู่อีกต่อไป” สนิทระบุ

 

นอกจากนี้ยังพบว่า มีสุสานชาวเลและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเลในย่านอันดามันเกือบ 20 แห่ง ถูกเอกชนนำไปออกเอกสารสิทธิ เพราะส่วนใหญ่เป็นชายหาดสวยงามและที่ดินมีราคาสูง โดยห้ามชาวเลเข้าไปใช้สุสานและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมต่างๆ อาทิ สุสานบนเกาะเฮ สุสานบนเกาะเปลว สุสานแหลมตุ๊กแก พื้นที่พิธีกรมชุมชนราไวย์ จ.ภูเก็ต สุสานชาวเลบนเกาะพีพี สุสานชาวเลบนเกาะลันตา พื้นที่พิธีกรรมโต๊ะบาหลิว จ.กระบี่ สุสานปาวีป สุสานทุ่งหว้า สุสานบ้านน้ำเค็ม จ.พังงา เป็นต้น

 

จากการบุกรุกถือครองที่ดินของเอกชนหลายราย ทำให้ปัจจุบันโรงแรมรีสอร์ท และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่อยู่ริมทะเล สร้างทับอยู่บนสุสานเก่าแก่ของบรรพบุรุษชาวเล ซึ่งหลายคนเชื่อว่า เป็นสิ่งไม่เป็นมงคล

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 










ต่อสู้มาแล้วหลายวิธีแต่การแก้ปัญหายังไม่คืบ

 

 

 

ก่อนหน้านี้ ในปี 2553 คณะอนุกรรมการตรวจสอบการออกหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดิน บริเวณชุมชนชาวเล 3 ชุมชนในภูเก็ต มีมติโดยสรุปให้สำนักแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐ สำนักงานปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอความอนุเคราะห์อ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ ในพื้นที่ชุมชนชาวเล มอบหมายให้กรมที่ดินหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต นำสารบบภาพถ่ายทางอากาศตรวจสอบตามลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินตรวจสอบข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ตั้งแต่ปีเริ่มต้น จนถึงปีปัจจุบัน มอบหมายให้เครือข่ายชุมชนฯ รวบรวมข้อมูลประวัติของชุมชน อ.เมืองภูเก็ต และเจ้าพนักงานที่ดินภูเก็ต สรุปข้อมูลการเข้าอยู่อาศัยของราษฎรในพื้นที่ ฯลฯ  รวมทั้ง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย

 

นอกจากนี้ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ยังมีข้อเสนอแนวคิดเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลว่า ชาวเลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในพื้นที่อันดามัน กำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตด้านสังคมและวัฒนธรรม ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย มักถูกเอาเปรียบและถูกฉ้อโกงเสมอ ดังนั้นชาวเลจึงเป็นกลุ่มเปราะบางที่สังคม จะต้องปกป้องคุ้มครองให้สามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ จึงเสนอให้สร้างเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษของชาวเล เพื่อคุ้มครองทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำกินดั้งเดิม การฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรม และคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่สืบทอดกันมายาวนาน และหลีกเลี่ยงการอพยพโยกย้ายชุมชนออกจากพื้นที่เกาะและชายฝั่ง

 

 

ที่ดินภูเก็ตแพงขึ้น 200 เปอร์เซ็นต์ ทำให้แก้ปัญหายากขึ้น

 

 

ต่อมาในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ตามแนวทางจัดทำพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษชาวเล และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนไปปฏิบัติ ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย การให้ชาวเลสามารถประกอบอาชีพประมงหาทรัพยากรตามเกาะต่างๆ ได้ โดยผ่อนปรนพิเศษในการใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมของกลุ่มชาวเล รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูวิถีชีวิตและวัฒนธรรม แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ขณะที่ในช่วงปี พ.ศ.2554 ข้อมูลจากสำนักงานธนารักษ์ จ.ภูเก็ต ที่ได้กำหนดราคาที่ดินทั่วทั้งจังหวัด ระหว่างเดือนมกราคม 2551 ถึงเดือนธันวาคม 2554 พบว่า มีราคาประเมินเพิ่มสูงขึ้นกว่า 100-200 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะพื้นที่ต.ราไวย์ ราคาที่ดินเฉลี่ยไร่ละ 5,500,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 178 เปอร์เซนต์ ทำให้การแก้ปัญหาที่ดินทำได้ยากขึ้น

 

























นักกฎหมายแนะรวมกลุ่มให้ข้อมูลศาลดีกว่าสู้เดี่ยว

 

 

ด้านนายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงปัญหาการออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ดินของชาวบ้าน จนกลายเป็นการต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรมว่า แนวทางการต่อสู้ที่สำคัญคือ ชาวบ้านจะต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ให้เป็นปึกแผ่น เพื่อร่วมกันให้ข้อมูล ให้คำอธิบายต่อศาล และพิสูจน์ว่าพื้นที่บริเวณนี้ เป็นชุมชนชาวเลที่อยู่อาศัยกันมาดั้งเดิม โดยมีจุดประสงค์สำคัญคือการใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะครอบครองเป็นกรรมสิทธ์ของผู้หนึ่งผู้ใดคนเดียว แต่ที่ผ่านมาได้พิจารณาจากคำพิพากษาเห็นว่า ไม่ได้มีการร่วมกันเป็นพยาน เพื่อพิสูจน์ให้ศาลเห็นในเนื้อหาข้อมูลที่หนักแน่น ทำให้การต่อสู้อ่อน เพราะศาลจะพิจารณาจากหลักฐานข้อมูลเท่านั้น ดังนั้นแนวทางสำคัญของการต่อสู้ชาวบ้านจึงควรร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งมากกว่านี้

 

 

เชื่อขอเพิกถอนโฉนดทับสุสานได้

 

 

ในส่วนของพื้นที่สุสานของบรรพบุรุษชาวเลที่ถูกบุกรุก นายกิตติศักดิ์แสดงความคิดเห็นและเสนอแนะว่า ตามกฎหมายแล้ว สุสานและพื้นที่ประกอบพิธีกรรม เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งเอกชนไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์หรือนำไปออกโฉนดได้ หากมีการออกโฉนดทับสุสาน และสามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นการออกโฉนดทับพื้นที่สาธารณะ ประชาชนที่มีสิทธิ์ใช้สถานที่นั้นสามารถขอให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดนั้น ไม่ว่าจะออกโฉนดนั้นมานานเท่าใดก็ตาม โดยเรื่องนี้เคยมีคำพิพากษาที่ จ.เชียงใหม่ กรณีที่มีการอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินและเปิดร้านค้าบริเวณแนวกำแพงเมือง โดยทางการขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิแม้จะออกมานาน เพราะเดิมทีฐานกำแพงเมืองกว้าง ในที่สุดศาลก็ได้ตัดสินให้มีการเพิกถอน หรืออย่างกรณีสุสานจีนที่สีลม กรุงเทพฯ ก็เช่นเดียวกัน และ กรณีสุสานของชาวเลนั้น ชาวเลก็ควรยื่นเรื่องให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดหรือเอกสารสิทธิ เพราะพื้นที่ดังกล่าว ถือว่าเป็นสาธารณประโยชน์ หากกรมที่ดินไม่ยอมดำเนินการก็สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้เช่นกัน

 

 

แนะชาวบ้านชี้ให้ศาลเห็นวิถีชีวิตชุมชนแทนพิสูจน์จากตัวอักษร

 

 

ขณะที่ ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ ประธานมูลนิธิชุมชนไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาชาวเลเป็นกลุ่มชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่มานาน และตนก็เชื่อจากข้อมูลหลักฐานที่มีการนำมาชี้แจง แต่เมื่อเอกชนออกเอกสารทับที่ดินทำมาหากิน ก็ไม่ได้ต่อสู้อะไร เพราะโดยพื้นฐานของชาวเลอุรัก ลาโว้ย เป็นคนที่สุภาพ ไม่ต้องการมีเรื่องราวกับใคร จึงยอมที่จะถูกเอาเปรียบเรื่อยมา อย่างไรก็ตามในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคใหม่สมัยใหม่แล้ว การที่จะมีชีวิตอยู่รอด ทุกคนจะต้องต่อสู้เมื่อถูกเอาเปรียบ แต่ต้องเป็นการต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย ในกรณีนี้ตนเห็นว่า ชาวบ้านอาจฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้เพิกถอนโฉนด หรือเอกสารสิทธิ์ตามที่ถูกนำมากล่าวอ้าง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ดังนั้นการเก็บข้อมูลเรื่องประวัติชุมชนจึงสำคัญมาก เพื่อจะนำไปใช้เป็นหลักฐานในการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เช่นเดียวกับเรื่องสุสาน ก็ต้องนำหลักฐานมายืนยันเช่นกัน และการเดินทางมาในทิศทางนี้ น่าจะเป็นแนวทางการต่อสู้ที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องมีน้ำหนักของหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อพิสูจน์ให้ศาลได้เห็น ซึ่งโดยปกติแล้วในการพิจารณาของศาลจะดูจากเอกสารหลักฐาน ตีความตามตัวอักษร ดังนั้นชาวบ้านจะต้องชี้ให้ศาลเห็นถึงความสำคัญของชุมชน วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่มีชีวิตชีวามากกว่าการตีความเพียงตัวอักษรอย่างเดียว  เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม ดังนั้นทำอย่างไรให้มีการพิพากษาตามความเป็นธรรมมากกว่าตัวอักษร ซึ่งบางทีการสร้างกระแสจึงมีความจำเป็น เพราะหากคำพิพากษาไม่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมก็จะเสียหายกับผู้พิพากษาเอง

 

 

‘ชาวเล’ ชาติพันธุ์ที่ถูกเอาเปรียบ

 

 

ชาวเล เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเรือและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับท้องทะเลมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน หรือบางครั้งใช้คำว่า “ ชาวน้ำ ” (sea people หรือ sea gypsy)  งานศึกษาวิจัยพบว่า ชาวเลเป็นชนเผ่าพื้นเมืองในทะเลอันดามันที่อาศัยมายาวนานประมาณ 300-500 ปี  โดยเคยเดินทางและทำมาหากินอย่างอิสระบริเวณชายฝั่งทะเลและเกาะแก่งต่างๆ ทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย พม่า  อินเดีย  แต่หลังจากมีการแบ่งเส้นแดนระหว่างประเทศต่างๆ ชัดเจนขึ้นทำให้ชาวเลต้องปักหลักตั้งถิ่นฐานในแต่ละประเทศ โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล 3 กลุ่ม คือ มอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย  แม้ว่าจะมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน แต่หากพิจารณาในรายละเอียด จะพบความแตกต่างที่ทำให้คนภายนอกสังเกตได้หลายประการ  อาทิ ด้านภาษา กลุ่มอูรักลาโว้ยมีภาษาที่แตกต่างกับกลุ่มอื่นค่อนข้างมาก ขณะที่ภาษาของมอแกนและมอแกลนมีส่วนคล้ายคลึงกัน  มีคำศัพท์ที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และสามารถสื่อสารกันพอรู้เรื่อง  รูปแบบเรือดั้งเดิมของมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย ก็แตกต่างกัน และพิธีกรรมก็แตกต่างกัน  มอแกลนและอูรักลาโว้ยตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานค่อนข้างถาวร และมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปค่อนข้างมาก จนในปัจจุบันมักถูกเรียกขานว่า “ไทยใหม่” มอแกน หรือ ยิปซีทะเล เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเรือและใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกับท้องทะเลมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน

 

























ปัจจุบันกลุ่มชาติพันธุ์นี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

 

1.มอแกน  ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่  หมู่เกาะสุรินทร์ เกาะพระทอง  จ.พังงา  และเกาะเหลา  เกาะพยาม จ.ระนอง

2. มอแกลน  ที่อพยพตนเองมาตั้งถิ่นฐานบนพื้นราบ (ซึ่งมอแกนเรียกว่า “ออลัง ตามัม”)  ปัจจุบันชนกลุ่มนี้จะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่บ้านหินลาด ต.ท้ายเหมือง จ.พังงา และบางส่วนก็อยู่ที่ บ้านทุ่งหว้า  อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

 3.อูรักลาโว้ย ซึ่งมีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับกลุ่มมอแกน และกลุ่มมอแกลน แต่จะมีวัฒนธรรมด้านรากภาษาที่แตกต่างกันพบได้ที่ชุมชนหาดราไวย์ ชุมชนสะปำ จ.ภูเก็ต และชุมชนบ้านสังกาอู้ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่

 


ปัจจุบันชุมชนชาวเลอาศัยใน  5 จังหวัดอันดามัน คือ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูล จำนวน 41 ชุมชน มีประชากรจำนวน 17,485 คน พื้นที่ทำกินของชาวเล คือทะเล ทั้งชายฝั่งทะเล หาดทราย หาดหิน แนวปะการัง และป่าซึ่งเป็นป่าชายเลน ป่าชายหาด ป่าดงดิบ การดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม อยู่กับท้องทะเลเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลไม่ค่อยได้ติดต่อและสัมพันธ์กับชีวิตในสังคมเมืองมากนัก จึงทำให้เกิดปัญหาถูกเบียดขับจากการพัฒนา

 

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ชาวเลต้องประสบปัญหาซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบอีกหลายกลุ่ม คือ การไร้รัฐและการถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐาน การขาดความมั่นคงในที่อยู่อาศัย การถูกกีดกันออกจากสิทธิในการใช้และเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ การถูกผลักเข้าสู่กิจกรรมที่ผิดกฎหมายและการทำงานที่เสี่ยงอันตราย  การเข้าถึงและการได้รับบริการรักษาพยาบาล การขาดความมั่นใจและภูมิใจในวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิม และการถูกดูแคลนจากบุคคลที่ไม่เข้าใจในวิถีวัฒนธรรมแบบ “ชาวเล” ฯลฯ

 

ปัญหาที่ชาวเลประสบอยู่ในปัจจุบันมีหลายด้าน ในแต่ละพื้นที่มีรายละเอียดและความเข้มข้นของปัญหาแตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาในภาพรวมเกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยวและการประกาศเขตอนุรักษ์ของรัฐ ส่งผลกระทบต่อที่ทำกินดั้งเดิมของชาวเล จากข้อมูลสำรวจพบว่า มีชุมชนชาวเลที่ไม่มีความมั่นคงในที่ดิน 25 แห่ง มีพื้นที่สุสานและพื้นที่ประกอบพิธีกรรมถูกรุกราน 15 แห่ง


ที่มา
http://www.tcijthai.com/TCIJ/view.php?ids=966.phphttp%3A%2F%2Fwww.tcijthai.com%2FTCIJ%2Fview.php%3Fids%3D966.php



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง