พื้นที่หน้าหาดราไวย์ เป็นชุมชนชาวเลอุรักลาโว้ย กำลังถูกรุกรานจากนายทุน ไม่เว้นแต่สุสานพื้นที่ประกอบพิธีสุดท้ายของชีวิตชาวเล ก็ถูกรุกรานเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
การผูกพ้ากับต้นไม้ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ลูกหลานปลูกบนหลุมฝังศพบรรพบุรุษชาวอุรักลาโว้ยที่เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต เป็นการสะท้อนถึงความคุ้นเคยความป็นเจ้าของพื้นที่สุสานแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้ามาทำพิธีกรรมตามความเชื่อกว่า 40 ปี
นอกจากพื้นที่สุสานบนเกาะเฮที่ถูกรุกรานจากนายทุนแล้ว ยังมีสุสานในจังหวัดภูเก็ตอีก 4 แห่งถูกรุกรานด้วยเช่นกัน เช่น เกาะนาน หาดพรแม่ สุสานเด็กคลองหลาวโอน และด้านหลังชุมชนหาดราไวย์ เหลือเพียงสุสานหาดมิตรภาพขนาด 2 ไร่ ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมผืนสุดท้ายของชาวอุรักลาโว้ย 2,063 คน
การต่อสู่เพื่อแย่งคืนพื้นที่อยู่อาศัยของคนเป็นและคนตาย ของชาวเลอุรักลาโว้ย ได้เริ่มขึ้นในหลายพื้นที่ เช่นหาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ต เมื่อนายทุนฟ้องศาลแพ่งชาวเลอุรักลาโว้ย 10 คนในข้อหาบุกรุกที่ดิน ซึ่งมีชาวเล 2 คนแพ้คดีและถูกบังคับให้ย้ายออกจากชุมชนพร้อมเสียค่าปรับ ทำให้กลุ่มชาวเลอุรักลาโว้ยที่เหลือ พยายามรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จัดทำผังตระกูลสืบย้อนหลังไป 166 ปี ผังชุมชนแสดงถึงการจัดแบ่งพื้นที่ทำเกษตรกรรม พร้อมกับหลักฐานการเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรชาวเล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อปี 2502 เป็นหลักฐานประกอบยืนยันว่าชาวเลคือเจ้าของพื้นที่หาดราไวย์ที่แท้จริง
สุสาน พื้นที่ประกอบพิธีกรรมสุดท้ายของชีวิตชาวเล กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการยืนยันถึงการครอบครองที่ดินของกลุ่มชาวเลอุรักลาโว้ย ซึ่งตามกฎหมายแล้วพื้นที่สุสาน ไม่สามารถออกเป็นเอกสารสิทธิ์การครอบครองที่ดินได้ เพราะถือว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์ ซึ่งสามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งเพิกถอนโฉนดทับซ้อนสุสานได้
นอกจากสุสาน ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดทางประวัติศาสตร์ของชุมชนแล้ว บ่อน้ำหมู่บ้าน และประวัติการเข้าเรียนหนังสือของชาวเลอุรักลาโว้ยในโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ก็เป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักในการต่อสู้คดี เพื่อขอคืนพื้นที่สุสาน และพื้นที่อยู่อาศัย แต่กลุ่มชาวเลอุรักลาโว้ยต้องรวบรวมหลักฐานทุกชิ้น และร่วมขับเคลื่อนต่อสู้คดี โดยให้สำนักทนายความเข้ามาช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ การไม่รู้หนังสือ ไม่เข้าใจในกฎหมาย การไม่กล้าลุกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาล ทำให้พวกเขาถูกเกลี่ยกล่อมให้ยอมแพ้คดี ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของกลุ่มชาวเลอุรักลาโว้ย ดังนั้นชุมชนต้องสร้างความเชื่อมั่นในรากฐานวัฒนธรรม พิธีกรรมของชาวเลอุรักลาโว้ยก่อน ถึงจะสามารถสร้างน้ำหนักของหลักฐานพิธีกรรมที่หลงเหลือ เพื่อผลสำเร็จในการขอคืนพื้นที่สุสานและพื้นที่อยู่อาศัยให้คนเป็น