มะต้องสู้!!! …เรื่องของคนไร้เสียงเรียกคืนแผ่นดินเกิด
โพสเมื่อวันที่ 06 ส.ค. 2555 17:22 น.
หมู่บ้านมะต้องสู้ เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางป่าอันอุดมจากคำบอกเล่าในอดีต ที่นี่เป็นป่าดิบแล้งผสมป่าเบญจพรรณ มีลำห้วยไหลผ่านและมีพุน้ำอยู่หลายแห่ง ประชากรในหมู่บ้านทั้งหมดเป็นคนไทย สัญชาติไทย เชื้อสายกะเหรี่ยง สกอ หรือ ปกากญอ ชื่อหมู่บ้าน “มะต้องสู้" มาจากภาษากะเหรี่ยง “กม่าทูซู” แปลว่าหนองนกเงือก หมายถึง ป่าแถบเป็นที่รวมของนกเงือกในช่วงฤดูหนาว (ปัจจุบัน หนองน้ำนี้ตั้งอยู่ในแนวเขต ทภ. 1)
จากเอกสารประวัติ และสภาพท้องที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เขียนโดย นายพงษ์พันธ์ วิเชียรสมุทร ปลัดอำเภอไทรโยค เมื่อ พ.ศ.2537 ระบุว่าอำเภอไทรโยคจัดตั้งเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ.2438 พร้อมกับจัดตั้งบ้านท่าทุ่งนา ม.ที่ 2 และบ้านมะต้องสู้ (บ้านก้างย่าง) ม.3 ต่อมา อ.ไทรโยค ลดฐานะเป็นกิ่งอำเภอขึ้นอยู่กับ อำเภอเมือง จ.กาญจนบุรี และกิ่งอำเภอไทรโยค ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภออีกครั้งเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2506 จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น จากหลักฐานเอกสารทางราชการเห็นได้ว่า บ้านมะต้องสู้ มีอายุไม่ต่ำกว่า 109 ปี และจากข้อมูลเชิงบุคคลที่มีอยู่ในชุมชน โดยคำบอกเล่าของนาย ปาเค ม่วงทอง อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ปัจจุบันอายุ 81 ปี พบว่าหมู่บ้านมะต้องสู้มีอายุไม่ต่ำกว่า 139 ปี โดยบิดาของนายปาเค ม่วงทอง ได้มาแผ้วถางพื้นที่บริเวณนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2412 และได้แบ่งที่ดินให้นายปาเค ม่วงทอง ในปี พ.ศ.2495 (ข้อมูล ณ ปี 2551)
ต่อมาวันที่ 8 ธันวาคม 2505 ได้มีการสำรวจพื้นที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ ภ.บ.ท.4 ก. และเสียภาษีบำรุงท้องที่ ครั้งแรกเป็น ภ.บ.ท.6 และจากข้อมูลราชการข้างต้น บ้านมะต้องสู้ถูกระบุให้เป็นหมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ปกากญอ หรือ กะหร่าง ที่เป็นคนไทยมีบัตรประชาชน และทะเบียนราษฎร์ถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นชุมชนชาวเขาที่ตั้งเป็นแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากกฎหมายของฝ่ายปกครองในพื้นที่ หมู่บ้านมะต้องสู้เป็นชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่ที่อยู่มาก่อนชาวไทยพื้นราบ ซึ่งพึ่งอพยพเข้าไปในเขต ม.3 บ้านทุ่งก้างย่าง ในช่วง ปี พ.ศ. 2525- 2526 เนื่องจากทหารมีนโยบายตั้งศูนย์ฝึกกองหนุนเพื่อความมั่นคงของชาติ ( ศกนช.) ของกองทัพบก จากเหตุนี้เอง ทำให้เกิดหมู่บ้านกองหนุนเพื่อความมั่นคงของชาติถึง 3 แปลง คือ กนช. แปลงที่ 1-3 แต่ทั้งนี้ชุมชนที่เกิดใหม่ยังรวมกันอยู่ใน ม.3 ของหมู่บ้านมะต้องสู้ และเรียกชุมชนบริเวณ กนช. ว่า บ้านทุ่งก้างย่างซึ่งเดิมบริเวณนี้มีชื่อภาษากะเหรี่ยงว่า “กอญอ” แปลว่าเหยียบเมือง

หากดูจากลำดับผู้นำหมู่บ้านมะต้องสู้ พบว่ากำนันคนแรกของตำบลไทรโยคเป็นคนจากบ้านมะต้องสู้คือ นายประสิทธิ์โพ ติจา ปี 2444-2450 จากนั้นมีผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้านจากอดีตถึงปัจจุบัน 8 คน เริ่มจาก (1) นายราคี ติจา ปี 2444-2450 (2) นายเปล ทองกลม ปี 2450-2524 (3) นายเย็น ลอจายะ ปี 2524-2526 (4) นายเล็ก มือโชแฮ ปี 2526-2527 (5) นายสุเทพ สุวรรณราย ปี 2527-2531 (6) นายจิรเดช (กมล) กระจ่างแจ่ม ปี 2531-2538 (7) นายประทุม เอี่ยมสะอาด ปี 2549 (เสียชีวิต) และ (8) นางสุกัญญา ทิพย์สุขุม ปี 2550-ปัจจุบัน ปัจจุบันหมู่บ้านมะต้องสู้เหลือ 9 ครัวเรือน 23 คน จากเคย มี 26 ครอบครัว 85 คน เมื่อปี 2531
อีกหนึ่งวิบากกรรมที่โลกลืมของชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะถูกหน่วยงานรัฐในนามทหารขับไล่และยึดที่ดินทำกิน ยึดหมู่บ้าน ตลอดจนทำลายรากเหง้าความเป็นชาวกะเหรี่ยงที่รักสงบมานับร้อยๆ ปี ความน่าสะพรึงกลัวในยุคที่ทหารครองเมืองทำให้ชาวบ้านหลายสิบครัวเรือนทยอยละทิ้งหมู่บ้าน ที่ทำกินอันอุดมไปอยู่ที่อื่น ในขณะที่มีจำนวนหนึ่งยังสู้สุดฤทธิ์ร้องเรียนไปทุกหน่วยงาน จนรัฐบาลประกาศ ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ หรือ กบร. ซึ่งในส่วนภูมิภาคก็มี กบร.จังหวัด ขึ้นมาแก้ไขข้อพิพาท ชาวบ้านมะต้องสู้ก็พยายามยื่นเรื่องตามกลไกนั้น แต่แล่วคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นกลับไม่มีใครยอมรับหลักฐานและเอกสารของฝ่ายชาวบ้านที่พยายามยื่นให้เพื่อยืนยันสิทธิของตนที่จะอยู่ในชุมชนบ้านเกิด จนเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านชาวบ้านมะต้องสู้ต้องมายื่นหนังสือถึง ผู้อำนวยการสำนักแก้ไขปัญญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ เพื่อส่งถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นางแค ม่วงทอง อายุ 50 ปี ชาวบ้านมะต้องสู้ กล่าวเผยด้วยเสียงอ่อนหล้า ว่า "เราอยู่มาแบบไม่เคยมีอะไรเลย แล้วทหารก็เข้ามาจะไล่เราออกไปเมื่อปี 2528 มาให้ออกจาพื้นที่ พวกฉันก็ไม่ออก เพราะพวกฉันอยู่ในพื้นที่นี้มานาน ไม่อยากไปไหน เรามีหลักฐานการอยู่อาศัยมานาน แต่ทหารเขาไม่เอาเป็นหลักฐานเลย เขาเอาแต่ภาพถ่ายดาวเทียมปี 2495 มาอ้าง เขาบอกว่าตรงนี้ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีหมู่บ้านได้อย่างไร หมู่บ้านนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2444 มีโรงเรียนสมเด็จย่า มีคนเฒ่าคนแก่ มีต้นไม้ให้พิสูจน์ เขาเข้าไปรังวัดเขาก็ยิงพิกัดเอาหมดเลย และชาวบ้านก็ไม่รู้อะไรด้วย" นางแค เผย
 
นายสมชาติ ม่วงทอง อายุ 40 ปี ชาวบ้านมะต้องสู้ อีกครอบครัวหนึ่ง ก็ย้ำเช่นกันว่า ทหารมาไล่โดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนจริงๆ ว่าเพื่ออะไรด้วย "เหตุผลที่เขามาอ้างเพื่อไล่เราในตอนนั้นคือจะเอาที่ไปปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ แต่ไม่ได้ปลูกป่าทั้งหมด แค่ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ให้นายทุนเช่าปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพด ต่อมาก็ย้ายไปเป็นที่กรมธนารักษ์ ซึ่งฉันไม่รู้หรอกว่าที่ใครบ้างที่เขายึด แต่ฉันก็เชื่อว่านี่มันที่ฉัน ฉันอยู่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย อายุ 100 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2444 เรามีหลักฐานที่อำเภอว่าหมู่บ้านนี้ตั้งมาตั้งแต่ปี 2444 มีสำเนาที่อำเภอ ท่านปลัดอำเภอให้มา ครับ ตอนนั้น ก็พยายามร้องเรียนมายังกรรมการสิทธิมนุษยชน ไปสอบถามอำเภอ อำเภอก็รับรองมาว่าหมู่บ้านเราดั้งเดิม ทหารเขาก็แจ้งแต่ว่ามาดูแลพื้นที่ให้กรมธนารักษ์ โดยอ้างกฎหมายกฤษฎีกา 2481" นายสมชาติอธิบาย ก่อนที่เล่าถึงสภาพชุมชนในตอนนี้ ว่า
"ชาวบ้านตอนนี้เหลือเพียง 8 ครัวเรือน จาก 36 ครอบครัว ส่วนที่หายคือทนสู้ไม่ไหว กลัว เพราะทหารเอาปืนไปยิงข่มขู่ เหมือนเมื่อปี 2547 ชาวบ้านเลยกลัวพากันย้ายออก เพราะถ้าไม่ออกทหารเขาจะเอาหมายศาลเข้าไปจับ แต่จนวันนี้ก็ไม่เห็นมีหมายศาลเข้ามาเลย คนที่ย้ายออกไป ย้ายไปเพราะเบื่อ รำคาญ เพราะ 4 ปี เต็มๆ ที่ทำกินก็ทำไม่ได้ ทหารเขาไม่ให้ทำกินเลย ลูกฉันเองก็แย่ ไม่มีอะไรกินเลย 4 ปี ตอนนั้นก็พยายามสู้นะ แต่พวกฉันไม่รู้จะทำยังไง ไปไหนไม่ถูก เพราะอยู่แต่ในบ้าน ปี 2547 ปีนั้น ถูกคุกคามหนักจริงๆ โชคดีที่มี อาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย คณะกรรมการสิทธิฯ ลงพื้นที่ เหตุการณ์ก็เลยบรรเทาลง ส่วนใหญ่เป็นทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 ที่นำกำลังเข้าไปคุกคามไล่รื้อพวกเรา" นายสมชาติเล่า
ส่วนนางแค ม่วงคำ ได้เผยถึงการนำญาติพี่น้องจากหมู่บ้านมากรุงเทพฯ ในครั้งนี้ ว่า เพื่อมายื่นหนังสือให้กับ ผอ.สำนักแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐและขอสิทธิให้ตนอาศัยอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน ว่า
"วันนี้ฉันมายื่นหนังสือถึง ผอ.กบร.กลาง เพื่อส่งถึงนายกรัฐมนตรี โดยเราชาวบ้านตั้งใจจะต่อสู้เพื่อยืนยันสิทธิที่จะอยู่ที่เดิม ไม่ไปไหนแล้ว ต่อให้กราบเท้าทหารก็ยอมกราบแล้วหละ ไม่ไปไหน ขอยืนยันอยู่ที่เดิม ทำกินที่เดิม เราไม่ได้เอาไปมากมาย แค่ขอทำกินชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ไปไหนแล้ว ถ้าจะไล่ทำไมไม่ไล่ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายมาอยู่หละ ตอนนี้ชั้นอายุมากแล้วอยู่ไม่กี่ปีแล้ว ขอแค่ให้ลูกได้ทำกินก็พอ ที่ทำกินก็ไม่เคยคิดขายนะ อยู่เท่าไหนก็เท่านั้น ไม่เหมือนคนทั่วไปหรอก" นางแค กล่าว

นายอิสราวุธ ทองคำ ผู้ประสานงานชุมชนมะต้องสู้ หัวหน้าศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค กาญจนบุรี กล่าวย้อนถึงปัญหาหน่วยงานของรัฐที่เข้าไปละเมิดสิทธิชุมชน บุกรุกสิทธิที่ทำกินดั้งเดิมของชุมชน รวมทั้งกระบวนการต่อสู้ของชาวบ้าน ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมในการใช้หลักฐานพิสูจน์สิทธิ์ ว่า
"ปัญหาหลักคือการถูกละเมิดสิทธิชุมชนอย่างแรง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นทหาร มันไม่ใช่การละเมิดธรรมดา แต่เป็นการใช้กำลังคุกคาม จนชาวบ้านต้องออกจากหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านออกจากหมู่บ้านก็มีหลายหน่วยงานเข้าไป แต่ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่อยู่ไกล ตอนนั้น ผมซึ่งทำงานในตัวเมืองกาญจนบุรี ได้เข้าไปเจอภาพของปัญหาชาวบ้านมะต้องสู้ ซึ่งตอนนั้นถูกย้ายไปแล้ว 20 กว่า ครอบครัว เหลือเพียง 6 กว่าครอบครัวที่ไม่ยอมย้าย ทำให้เราเห็นว่ามันน่าจะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตอนนั้นเราเปิดสถานีวิทยุชุมชน ใหม่ๆ เราก็ใช้วิทยุเป็นเครื่องมือ ใช้การต่อสู้ในจังหวัดเข้าช่วย ก็ไปยื่นหนังสือกับผู้ว่าฯ ซึ่งเกิดกระแสทำให้ได้รับความสนใจและเห็นใจพอสมควร
แต่ว่าประเด็นปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะว่ามันเป็นประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อ้างสิทธิในทางกฎหมาย โดยทหารอ้างว่า พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่ทหารและหมู่บ้านเหล่านี้อยู่หลังการประกาศพระราชการกฤษฎีกาพื้นที่ทหาร พ.ศ. 2481 ทำให้เราต่อสู้ สู้กันไปสู้กันมา ก็เกิดกลไกอันหนึ่งในการแก้ไขปัญหา คือ กบร. หรือการแก้ไปปัญหาการบุกรุกพื้นที่ของรัฐ โดยเป็นกลไกของรัฐบาล ก็เลยใช้กลไกนี้ แทนที่จะใช้กลไกทางศาล เพราะว่าเราไม่มีความรู้ทางศาลมากนัก พอมีกลไก กบร. เราก็ยื่นเอกสารไป ตามขั้นตอน แต่ปัญหาคือ กบร.ไม่มีเอกภาพในการทำงาน ของคณะทำงานภาคประชาชน คือไม่ได้มองเป้าหมายว่าเป้าหมายคืออะไร ซึ่งก็มีหลายกลุ่มที่เข้าไปในหมู่บ้าน ทั้งสายประชาคม สายเอ็นจีโอ ผมนี่สายเอ็นจีโอ สายเรามีเป้าหมาย เป้าหมายคือ สิทธิชุมชน ชาวบ้านต้องได้อยู่บนที่ดินตนเอง ซึ่งเป็นชุมชนดั้งเดิม พอใช้กลไก กบร. ตอนนั้น เราก็ไม่มีประสบการณ์ เรื่องการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ปี พ.ศ. 2495 เป็นตัวพิสูจน์ จากนั้น ทหารก็เริ่มให้กรมธนารักษ์ เข้ามาดูแลพื้นที่
ตอนที่มีการประชุมนำเสนอต่อกองทัพบก กองทัพเองก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรเราได้ ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีไว้ใช้ในการฝึกทหาร แถมยังไปละเมิดสิทธิชุมชน ซึ่งนายทหารบางคนก็ยังพูดเลย ว่า "เรื่องนี้อย่าให้ไปถึงศาลนะ เพราะถ้าไปถึงศาลมันเดือดร้อนหลายคน" นั่น เพราะมันผิด นี่เป็นคำพูดอดีตนายทหารระดับนายพลที่อยู่ในกองพล ที่ 9" นายอิสราวุธ อธิบาย ก่อนจะย้ำถึงความล้มเหลวของกลไก กบร. ว่า

"สรุปแล้วกลไกที่สร้างขึ้นมาในระดับจังหวัด ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ เขาใช้ภาพถ่ายดาวเทียมอย่างเดียว ไม่ใช้เอกสารของอำเภอ ซึ่งนายอำเภอพยายามช่วยชาวบ้าน เพราะหลักฐานเอกสารทางอำเภอเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะกำนัน ตำบลไทรโยคคนแรก เป็นคนหมู่บ้านนี้ และเป็นต้นตระกูลของชาวบ้าน ซึ่งมี 2 ตระกูล คือ กำนันประสิทธิ์ โพธิจา ส่วน กบร. เองก็มีปัญหาเรื่องการเมือง เรื่องผลประโยชน์เกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้นด้วย เพราะเป็นพื้นที่ที่สวยมาก มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ดินดี อยู่ที่สูง ปลูกอะไรก็ได้ ทีนี้พอเรื่องไปถึง กบร.จังหวัด เขาก็ใช้แต่ภาพถ่ายดาวเทียมอย่างเดียว เอกสารอื่นที่ผมทำให้ในรายงานการศึกษา เขาไม่ได้ใช้เลยในการพิจารณา ซึ่งก็มาอ้างว่าภาพถ่ายดาวเทียมไม่มีชุมชน ซึ่งก็ไปถ่ายในจุดที่ไม่ใช่ที่นา แถมชาวบ้านก็ทำไร่หมุนเวียนด้วย มันก็หาหมู่บ้านไม่เจอ ผมก็เลยท้าให้ไปถ่ายหมู่บ้านในทุ่งใหญ่นเรศวร อายุ 300 กว่าปี ว่าจะเป็นแบบนี้ไหม ? ซึ่งทหารเขาก็ตอบคำถามตรงนี้ไม่ได้
ส่วน กลไก กบร.ซึ่งสร้างขึ้นโดยรัฐบาล เมื่อผลออกมายังงี้ เราก็ต้องมายื่นคัดค้าน ซึ่งไม่รู้ว่าทันไหม เพราะมันตั้งแต่ปี 2552 แต่ถ้าโดยสิทธิรัฐธรรมนูญก็เป็นตัวสำคัญที่จะใช้ได้ ซึ่งกระบวนการทางศาล ถึงแม้จะรู้ว่ามีเปอร์เซ็นน้อยมาก แต่ถ้ามันสิ้นสุดหนทางยังไงก็ต้องทำ ถ้าในกรณีของ กฟผ. ไฟฟ้าลงแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ฟื้นมาได้ ดังนั้น ชาวบ้านที่นี่ยังไงก็ต้องทำ ถ้ามันสิ้นสุดหนทางที่จะไป" นายอิสราวุธกล่าวย้ำ ก่อนจะมองหนทางในอนาคตของชาวบ้านมะต้องสู้ ว่า
"ตอนนี้ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าชาวบ้านจะตระหนักแค่ไหน ก็อยากให้เตรียมตัวจัดระบบการต่อสู้ของตัวเองให้ได้ เพราะผมเข้าไปตั้งแต่ปี 2547 ผมก็พูดประโยคนี้กับชาวบ้านเสมอ ไม่ใช่รอให้เกิดเรื่องทีก็สู้กันที ผมอยากให้เขาเตรียมพร้อมตลอดเวลา อย่างเรื่องกองทุน ก็อยากให้เขาเก็บวันละบาทเพื่อเอาไว้เป็นทุนต่อสู้ เพราะเป้าหมายสูงสุดที่เราเสนอในทุกเวที คือ เราเสนอขอบเขตของพื้นที่เพื่อจะอ้างอย่างชอบธรรมในการฟื้นฟูทรัพยากรด้วย เพราะว่าพื้นที่รอบนั้น เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่ใช้น้ำทั้งโรงเรียน ซึ่งมีถึง 2 โรงเรียน และโรงพยาบาล อ.ไทรโยค ที่ต้องใช้น้ำจากป่าในหมู่บ้านมะต้องสู้ ดังนั้นการให้นายทุนเช่า ซึ่งทำการไถกลบร่องน้ำ ลำธารหมดเลย โดยไม่ได้สนใจว่า อะไรเป็นต้นน้ำที่ไหนอย่างไร อีกทั้งพื้นที่หมู่บ้านที่เป็นเขตดั้งเดิมมีพื้นที่ 24,000 ไร่ มีป่าช้า มีป่าต้นน้ำ ทำให้เราเสนอแผนพัฒนาพื้นที่ในตอนนั้นว่า เราจะจัดสรรเป็นที่ทำกินและ เขตหมู่บ้าน เขตบ้านก็คนละ 1 ไร่ สำหรับที่อยู่อาศัย ส่วนที่ทำกินเดิมจะขอย้ายมาฝั่งทิศใต้ของแนวถนนแล้วที่ที่ติดอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เราจะฟื้นฟูเป็นป่าชุมชน เพื่อเป็นป่าต้นน้ำให้กับคนทุกคน อันนี้คือแผนที่เราพยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า ความชอบธรรม เราไม่ได้คิดเรื่องประโยชน์ของชาวบ้านฝ่ายเดียว แต่เราคิดเรื่องประโยชน์ขอคนอื่นๆ คนที่อยู่ด้านล่างด้วยครับ
ส่วนความคืบหน้าหลังจากมายื่นหนังสือถึงนายกฯ ผ่านทาง กบร. วันนั้น ก็รู้สึกว่าไม่มีสัญญาณที่ชาวบ้านพอจะมีความหวังอะไรออกมาเลย และชาวบ้านก็คงต้องกลับไปหารือหาทางต่อสู้ต่อไป ครับ" นายอิสราวุธกล่าวสรุป
ด้าน นายธนวัชณ์ แก้วพงศ์พันธุ์ ประธานคณะทำงานฯ สภาทนายความ เผยถึงแนวทางการทำงานของ กบร.จังหวัดกาญจนบุรี แต่เพียงสั้นว่า การไม่ฟังเสียงแย้งหรือตรวจสอบเอกสารหลักฐานจากชาวบ้านถือเป็นการละเมิดสิทธิชุมชนเช่นกัน

"วันนี้ชาวบ้านมายื่นหนังสือให้ ผอ.สำนักแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ เรื่อง กบร.จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งดำเนินการแบบไม่เป็นกลาง โดยให้ข้อมูลเอนเอียงไปทางทหาร คืออ้างแผนที่ โดยที่ชาวบ้านไม่ได้ความเป็นธรรม เพราะพิจารณาเพีงแต่ภาพถ่ายทางอากาศ แต่ไม่พิจารณาหลักฐานอื่นๆ อาทิ วิถีชีวิต เอกสาร เช่นจดหมายเหตุ ซึ่งมันมีจดหมายเหตุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444 มีประวัติว่าชุมชนนี้อยู่มาก่อน ก่อนมีพระราชกฤษฎีกา 2481 เพื่อขอใช้พื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่ทหาร มันเหมือนกับเป็นที่ราชพัสดุ แต่ชาวบ้านเขายืนยันว่าเขาอยู่มาก่อน ซึ่งเขามีหลักฐานจดหมายเหตุ มีการบันทึก และชื่อเดิมหมู่บ้านของเขาคือมะต้องสู้ แต่ถูกเปลี่ยนมาเป็นบ้านทุ่งก้างย่าง มีประวัติโรงเรียน ว่ามีใคร เป็นครูใหญ่ เมื่อไหร่ด้วย
ดังนั้น การที่ทหารและ กบร.จังหวัด ใช้เพียงเอกสารภาพถ่ายดาวเทียม ปี พ.ศ.2495 โดยไม่เอาหลักฐานต้นไม้และ เอกสารอื่นๆ นั้น ไม่เป็นธรรมเลยกับชาวบ้าน ซึ่งอาจจะมีบ้างที่ชาวบ้านขยับที่ทำกินตามระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน แต่ถ้าดูบ้านเรือน ก็จะเห็นชัดเลยว่าเขาอยู่มานาน แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ทำไร่หมุนเวียนแล้วก็ตาม" นายธนวัชณ์ กล่าว
|