นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ กล่าวว่าปัญหาความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร ไม่ได้เกิดจากคนในพื้นที่ แต่เกิดจากคนในกรุงเทพฯ กับคนในกรุงพนมเปญ ซึ่งถือเป็นคนส่วนน้อย แต่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ทางออกความความขัดแย้งครั้งนี้ นายชาญวิทย์ มองว่า ควรทำให้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกันของทั้งสองประเทศ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ และทรัพยากรธรรมชาติ เช่นเดียวกับแหล่งมรดกโลกอื่นๆ
ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่อาเซียน จะเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะรัฐบาลไทยมีจุดยืนที่ชัดเจน ว่ากรณีนี้เป็นเรื่องภายใน จะต้องเจรจาแบบทวิภาคีกับกัมพูชาเท่านั้น อาเซียนจึงไม่สามารถเป็นตัวกลางคลี่คลายความขัดแย้งได้
ขณะที่บทบาทของอาเซียนเอง ก็ดูเหมือนว่าไม่มีอำนาจเพียงพอ เพราะกฎเหล็กของอาเซียนคือ จะไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศสมาชิก ทำให้เกิดความลักลั่นจนถึงปัจจุบัน
ส่วนอาจารย์ศรีประภา เพชรมีศรี คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยนชน กล่าวว่า ตามกฎบัตรอาเซียน มีกลไกที่สามารถใช้ระงับข้อพิพาทได้ แต่จะต้องอาศัยความร่วมมือของประเทศคู่กรณี ยินยอมให้อาเซียนเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย เพราะข้อตกลงนี้มีผลทางกฎหมาย ซึ่งอาจารย์ศรีประภา เห็นด้วยกับการใช้กลไกนี้
ขณะผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหาร เกิดจากการสร้างวาทะกรรม "เสียดินแดน" ในอดีต และการปลูกผังค่านิยมรักชาติเกินขอบเขต ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบัน จึงต้องให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง โดยเฉพาะกรณีคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี 2505 ที่ระบุชัดว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นข้อยุติแล้ว
ที่มา
http://news.voicetv.co.th/thailand/44599.html