สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง
โพสเมื่อวันที่ 26 มิ.ย 2555 08:32 น. 



ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง เรื่องเล่าบนเส้นทางการบังคับใช้กฎหมายใหม่ พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555

 กรกนก วัฒนภูมิ นักกฎหมาย สถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (SWIT) [1] 

  

“สมัยโน้นลำบากมากนะ คนจนจนขนาดที่ต้องเอากระสอบมาใส่แทนเสื้อผ้า” คำบอกเล่าถึงอดีตจากคุณยายวัย 91 

ฉันออกเดินทางแต่เช้ามืดจากกรุงเทพ เพื่อไปยังอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ชื่ออำเภออาจจะไม่คุ้นเหมือนเกาะช้าง เกาะกูด แต่อำเภอนี้มีอะไร ทำไมฉันต้องเดินทางไกลมานะเหรอ 

เคยได้ยินคำเหล่านี้มั้ย 

“ผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง” 

“คนไทยพลัดถิ่นจากเกาะกง” 

 

ที่นี่มีผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง อาศัยอยู่ ย้อนไปเมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เดิมเมืองประจันตคีรีเขตต์(เกาะกง) อยู่ในการปกครองของสยาม แต่เมื่อมีการทำ “อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศสว่าด้วยอนุญาตที่ดินริมฝั่งแม่น้ำโขง ตามความในสัญญา 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ.122 Convention entre la France et le  Siam Modifiant les Stipulations du Traité du 3 Octobre 1893, concernant des Autres Arrangemants, signé à Paris, le 13 Février 1904” ขึ้นเพื่อแลกเมืองจันทบุรีกลับคืนมา แต่ฝรั่งเศสกลับยึดด่านซ้ายและตราด รวมถึงเกาะกงไว้เป็นประกัน 

ตาม “หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งริปับลิกฝรั่งเสศ 23 มีนาคม ร.ศ.125  Traité entre Sa Majesté la Roi de Siam et Monsieur le Président de la République Française, fait à Bangkok, le 23 mars 1907” เพื่อให้ได้เมืองตราดกลับมา สยามยอมยกเขมรส่วนในให้ฝรั่งเศสปกครอง (ข้อ1,2) โดยเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2450 หรือร.ศ.126 ฝรั่งเศสทำพิธีมอบตราดคืนให้แก่สยาม แต่ไม่ได้ประจันตคีรีเขตต์ (เกาะกง) คนเชื้อสายไทยที่อยู่อาศัยในเกาะกง จึงกลายเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาดินแดนส่วนนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศกัมพูชานั่นเอง 
เมื่อเขมรแดงเรืองอำนาจ เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คนเชื้อสายไทยที่อาศัยอยู่ที่นั่นไม่สามารถอยู่อาศัยอีกต่อไปได้ จึงหนีเข้ามายังดินแดนของประเทศไทย ในพื้นที่จังหวัดตราด บ้างก็เล่าว่าเดินข้ามเขาข้ามน้ำมา บางคนก็นั่งเรือมาทางทะเล จากปัญหาความไม่มั่นคงในชีวิต ทรัพย์สิน ความอดอยาก พวกเขาต้องทิ้งบ้านเรือน ทรัพย์สินไว้เบื้องหลัง เพื่อให้มีชีวิตรอด ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าแม้เมื่อเข้ามาอยู่บนผืนแผ่นดินไทยจะเป็นอย่างไร คงเหมือนกับคำที่ว่า “หนีไปตายเอาดาบหน้า” 

จากการพูดคุยกับคนไทยพลัดถิ่นจากเกาะกง ต้องถือว่าพูดภาษาไทยได้ชัดเจนดี แม้จะมีสำเนียงเหน่อๆ  แต่ก็เหมือนเวลาที่เราพูดกับคนตราด แม้กระทั่งคนแก่ที่เป็นคนเชื้อสายไทยที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในเกาะกง ยังพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ ต่างกับผู้ที่ไม่ใช่คนเชื้อสายไทย แม้จะถือบัตรผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง กัมพูชา“เลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 63”, บัตรผู้หลบหนีเข้าเมืองเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง กัมพูชา“เลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 64”, บัตรผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา “เลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 65” แต่กลับพูดภาษาไทยไม่ชัดเลย ทำให้เกิดข้อข้อสังเกตว่าเขาอาจไม่ใช่คนเชื้อสายไทยที่อาศัยอยู่ในเขตเกาะกง ? 

ผ่านประเด็นเรื่องภาษา มาที่เรื่องวิถีชีวิตกันบ้าง ส่วนใหญ่คนไทยพลัดถิ่นที่นี่จะประกอบอาชีพเกี่ยวกับการประมง อาศัยอยู่ริมคลองต่างๆ เช่น คลองสน คลองมะขาม คลองไม้รูด เป็นต้น ขอบอกว่าอาหารทะเลที่นี่สดมาก ประเพณีวัฒนธรรมก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเราคนไทยเลย เช่นมีงานขึ้นบ้านใหม่ บวช แต่งงาน สงกรานต์ ลอยกระทง   

แต่จะสังเกตได้ว่าในชุมชนคลองสนนี้มีแรงงานชาวกัมพูชาอาศัยอยู่ด้วย นอกจากความต่างเรื่องภาษายังสังเกตเห็นได้ถึงความแตกต่างในเรื่องวิถีชีวิต เช่น ชอบใส่ชุดนอนลายการ์ตูนเป็นชุดในเวลากลางวัน ซึ่งเหมือนกันคนกัมพูชาที่ฉันไปพบเห็นที่เกาะกง พี่คนไทยพลัดถิ่นเล่าให้ฉันฟังว่า เค้าไม่ได้แยกว่าชุดนอนต้องใส่เวลานอน 

 

     


ตามพ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555[2] ได้แยกกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นที่เป็น “ผู้ทรงสิทธิในสัญชาติไทย” หรือจะได้รับการคืนสัญชาติไทย ด้วยเพราะคนกลุ่มนี้สืบสายโลหิตจากบรรพบุรุษที่เป็นคนไทย (หลักสืบสายโลหิต) โดยแบ่งเป็น2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 

1. คนไทยพลัดถิ่น ตามมาตรา 3 ซึ่งได้ให้คำนิยามไว้ว่า “คนไทยพลัดถิ่นหมายความว่า ผู้ซึ่งมีเชื้อสายไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่นโดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณรจักรไทยในอดีต ซึ่งปัจจุบันผู้นั้นมิได้ถือสัญชาติของประเทศอื่น และได้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะเวลาหนึ่งและมีวิถีชีวิตเป็นคนไทย โดยได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด หรือเป็นผู้ซึ่งมีลักษณะอื่นทำนองเดียวกันตามที่กำหนดในกฎกระทรวง”ซึ่งต้องดำเนินการพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น ตามมาตรา 9/6 “ให้ผู้ซึ่งคณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นให้การรับรองควมเป็นคนไทยพลัดถิ่น เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด” 

2. คนไทยพลัดถิ่นที่ได้รับสัญชาติไทยก่อนวันที่พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ (คนไทยพลัดถิ่นตามมาตรา 5 พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555) 

  

พบว่า คนไทยพลัดถิ่นที่บ้านคลองสนแห่งนี้มีผู้ทรงสิทธิทั้ง 2 กลุ่มนี้ SWIT ได้ให้ความรู้ในเรื่องผู้ทรงสิทธิ เพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ว่าใครอยู่กลุ่มไหน เพื่อจะได้ดำเนินการอะไรต่อไป แต่โดยส่วนใหญ่ ที่ถือบัตรหลักที่หก-เจ็ดเป็นเลข 63 64 65 นั้นจะเป็นผู้ทรงสิทธิกลุ่มที่หนึ่ง ที่ต้องได้รับการพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่นเสียก่อน จึงจะได้คืนสัญชาติ ส่วนผู้ทรงสิทธิกลุ่มที่สอง บ้างก็ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ หรือได้ตามม.7ทวิ หรือ หากเป็นคนรุ่นที่เกิดในเมืองไทยก็จะได้สัญชาติตามมาตรา23 ไปแล้วบ้าง 



 

    


  

คนไทยพลัดถิ่นที่เป็นเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นจังหวัดตราด จะทราบเรื่องกฎหมาย และกลุ่มผู้ทรงสิทธิ มีการเตรียมความพร้อมในการพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เช่นทำแผนผังเครือญาติ (family tree)ไว้ เพราะคนที่อยู่ที่คลองสนก็เป็นเครือญาติกันอยู่แล้ว บางคนสามารถนำแผนพังเครือญาติของอีกครอบครัวมาเชื่อมโยงกันได้ ส่วนใหญ่จะใช้นามสกุลสุขสวัสดิ์ เนื่องจากบางคนแม้จะอพยพเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับครอบครัว แต่เมื่อมีการจัดทำบัตรประจำตัว กลับกลายเป็นว่าได้บัตรผู้หลบหนีเข้าเมืองเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกง กัมพูชาบัตรผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา แต่คนอื่นๆในครอบครัวถือบัตรผู้อพยพเชื้อสายไทยจากจังหวัดเกาะกงกัมพูชาก็มี อย่างน้อยแผนผังเครือญาติก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงเชื้อสายไทยของคนที่ถือบัตรประจำตัวประเภทต่างๆ รวมถึงผู้ที่ถือบัตรประจำตัวสัญชาติไทยด้วย แตกต่างกับคนไทยพลัดถิ่นที่คลองไม้รูด ที่ฉันได้ไปพบมา คนที่นี่ไม่รู้เรื่องกฎหมาย ผู้ทรงสิทธิ ไม่รู้ว่าตนเป็นผู้ทรงสิทธิตามกลุ่มไหน ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการพิสูจน์ความเป็นคนไทยพลัดถิ่น เพราะคิดว่าเมื่อมีกฎหมาย เดี๋ยวผู้ใหญ่บ้านนำเรื่องมาแจ้ง รัฐก็จะดำเนินการให้ตน เปรียบกับการรอการดำเนินงานภาครัฐฝ่ายเดียว โดยทางอ.ดรุณ ไพศาลพาณิชย์กุล นักกฎหมาย สถาบันฯ (SWIT) ได้ชี้แจงถึงกฎหมาย พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่5 ผู้ทรงสิทธิตามกฎหมายนี้ และสอนให้ชาวบ้านกลุ่มนี้ทำแผนผังเครือญาติ เมื่อเข้าใจเป็นที่ตรงกันแล้ว มีคุณลุงคนหนึ่งพูดว่า “ก็ไม่นึกว่าชีวิตนี้จะได้มีสัญชาติไทยกับเขา” 


 

เมื่อเช้าวันที่ 30 เมษายน 2555 ผู้ทรงสิทธิกลุ่มที่สองนี้ได้ไปสอบถามกับปลัดจิระศักดิ์ ชูแก้ว ปลัดฝ่ายทะเบียน อำเภอคลองใหญ่ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูล เพื่อจะได้เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิด แต่ปลัดก็แจ้งว่ายังไม่มีแนวทางปฏิบัติลงมา ยังดำเนินการให้ไม่ได้ หากมีหนังสือสั่งการมาแล้วก็ยินดีดำเนินการให้  และวันนี้เช่นกันซึ่งทราบในภายหลังว่า ได้มีหนังสือ มท.0309.1/ว1910 เรื่องแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีคนไทยพลัดถิ่นตามพระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่5) พ.ศ.2555 ข้อ(3.3)สรุปความได้ว่า  คนตามมาตรา 5 พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่5 พ.ศ.2555 จะต้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลทะเบียนราษฎรให้ถูกต้องตรงกับสถานะที่กฎหมายให้การรับรองไว้ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ 

แต่ในส่วนสรุปตอนท้ายหนังสือ ข้อ 2) กรณีขอเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดในทะเบียนบ้าน ซึ่งใช้บังคับกับบุคคลตามมาตรา5 พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 นั้น ได้ระบุว่า “ขณะนี้กรมการปกครองโดยสำนักทะเบียนกลางกำลังดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงโปรแกรมการปฏิบัติงานทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์” 

  

ในฐานะนักกฎหมายจึงเห็นช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย แม้พ.ร.บ.จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลใช้บังคับแล้ว แต่ระบบราชการไทยยังไม่พร้อมดำเนินการเพื่อการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย การติดตามการบังคับใช้กฎหมายใหม่จึงเป็นหน้าที่สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คนไทยพลัดถิ่นซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยแต่ต้องตกอยู่ในสถานะความไร้สัญชาติมาอย่างยาวนานได้รับการแก้ไขปัญหาและได้รับการรับรองสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิด และสามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆได้โดยเร็วตามเจตนารมณ์ของกฎหมายใหม่ 

  

  

[1] บันทึกจากการลงพื้นที่คนไทยพลัดถิ่นจากเกาะกง อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ระหว่างวันที่ 28-30 เมษายน 2555 

[2] ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม  2555 มีผลบังคับใช้วันที่ 22 มีนาคม 2555 




ที่มา
http://www.statelesswatch.org/autopagev4/show_page.php?varid=525%2C2%2C




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง