ชาติพันธุ์-ศาสนา ปัญหาซ้อนปัญหาในรัฐอาระกัน
โพสเมื่อวันที่ 18 มิ.ย 2555 10:34 น.
ชาติพันธุ์-ศาสนา ปัญหาซ้อนปัญหาในรัฐอาระกัน

ข่าวจากพม่าที่ปรากฎในสื่อต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือประเด็นความขัดแย้ง ที่กลายเป็นความรุนแรงในรัฐอาระกัน ระหว่างประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ และชาวมุสลิมโรฮิงญานั้น ความจริงไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ เพียงแต่ไม่เคยปรากฎต่อสายตาคนภายนอกเนื่องจากอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร แต่พม่าในวันนี้เปิดประเทศมากขึ้น ทำให้สื่อไปถึงได้ในที่ที่ไม่เคยเข้าถึง ขณะที่สังคมไทยมีความรู้เกี่ยวกับชาวอาระกันน้อยมาก
รัฐอาระกัน หรือ รัฐยะไข่ ในภาษาพม่า (ภาษาอาระกันออกเสียงว่า ระไข่) อยู่ทางตะวันตกของพม่า พื้นที่เป็นชายฝั่งติดทะเลอ่าวเบงกอล มีชายแดนติดบังกลาเทศ แบ่งการปกครองเป็น 4 เมือง คือ ซิตต่วย (หรือ อัคยับ) ซึ่งเป็นเมืองหลวง ตันดเว จ๊อกผิ่ว และมงดอว์ ข้อมูลปี 2553 ระบุว่ามีจำนวนประชากรประมาณ 3.8 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชนเชื้อชาติอาระกันที่นับถือศาสนาพุทธ รองลงมาเป็นชาวมุสลิม ประมาณ 8 แสนคน ส่วนมากชาวมุสลิมจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐติดกับบังกลาเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลพม่าปฏิเสธว่าชาวโรฮิงญาเป็นชนเผ่าดั้งเดิมในประเทศ เช่นเดียวกับชาวอาระกันที่ไม่ยอมรับว่าชาวโรฮิงญาเป็นชนชาติหนึ่งในรัฐอาระ กัน ชาวโรฮิงญาจึงไม่ได้รับการยอมรับ และไม่มีสิทธิความเป็นพลเมืองในบ้านเกิดของตนเอง
นักสิทธิมนุษยชนหลายคนระบุว่าชาวโรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ถูกกดขี่มาก ที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลก ย้อนไปตั้งแต่พม่าตกอยู่ภายใต้เผด็จการทหารในปี 2515 มีรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกองทัพพม่าต่อชาวโรฮิงญาอย่างสาหัส ทั้งการบังคับใช้แรงงาน ข่มขืน สังหาร เผาทำลายบ้านเรือนและศาสนสถานฯลฯ ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 2 แสนคนต้องหนีออกนอกประเทศ ต่อมาในปี 2525 กฎหมายสัญชาติของพม่าประกาศให้ชาวโรฮิงญาเป็น “ผู้พำนักต่างชาติ” ไม่ใช่ชาวพม่า ความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ตลอดมาส่งผลให้แต่ละปีมีชาวโรฮิงญาจำนวนมากอพยพหนี ความยากแค้นและการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังกลา เทศและมาเลเซีย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย
รายงานของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่าชาวโรฮิงญาในพม่านั้นนอกจากจะเป็นกลุ่มคนไร้รัฐ ยังต้องเผชิญกับการข่มเหงนานับประการ ถูกแสวงหาผลประโยชน์ และการแบ่งแยก

เหตุการณ์ความขัดแย้งในรัฐอาระกันรอบล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมิถุนายน ชาวมุสลิม 10 คน ถูกกลุ่มชาวอาระกันนับร้อยล้อมรถโดยสาร และโจมตีจนเสียชีวิต เนื่องจากโกรธแค้นที่นางสาวธิดา ทเว หญิงอาระกันวัย 27 ปี ถูกข่มขืนและฆ่าโดยชาวมุสลิม 3 คน เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม และเชื่อว่าผู้ก่อเหตุอยู่บนรถโดยสารคันดังกล่าว (ขณะที่สื่อรัฐบาลรายงานว่าผู้ต้องหาถูกจับกุมแล้วตั้งแต่วันก่อเหตุ) จากนั้นชาวมุสลิมในย่างกุ้งรวมตัวชุมนุมหน้ามัสยิดเพื่อเรียกร้องความ ยุติธรรมให้แก่เพื่อนชาวมุสลิม 10 คนที่ถูกสังหารและได้เข้าพบนางอองซาน ซูจีที่สำนักงานพรรคเอ็นแอลดี เพื่อขอความช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในวันที่ 7 มิถุนายน รัฐบาลพม่าได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนการสังหารหมู่ชาวมุสลิม 10 คน รวมทั้งการเสียชีวิตของนางสาวธิดา ทเว ในวันต่อมาเกิดเหตุการณ์จลาจลที่เมืองมงดอว์กับเมืองบูทีตอง ในรัฐอาระกัน มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายราย ทำให้รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวทันทีในสองเมือง
สำนักข่าวกะละดาน Kaladan Press Network ของชาวมุสลิมโรฮิงญา รายงานว่า มีชาวโรฮิงญาถูกฆ่าเสียชีวิตนับ 100 คน บาดเจ็บอีกเกือบ 500 คน โดยระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่และชาวอาระกันในเหตุการณ์ดังกล่าว
10 มิถุนายน เกิดเหตุปะทะกันและความรุนแรงในเมืองชิตต่วย เมืองหลวงของรัฐอาระกัน โดยกลุ่มชาวมุสลิมนับร้อยบุกโจมตีและเผาบ้านเรือนชาวอาระกันในหมู่บ้านมิ นคาน มีชาวอาระกันบาดเจ็บ 5 ราย ทางการประกาศเคอร์ฟิวเพิ่มในเมืองซิตต่วย ตันดเว จ๊อกผิ่ว และรัมรี ประธานาธิบดีเต็งเส่งแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายเมืองของรัฐอาระกัน แสดงความกังวลว่า เหตุความไม่สงบในรัฐอาระกันอาจขัดขวางการปฏิรูปประเทศ วันเดียวกันชาวอาระกันกว่า 600 คนรวมตัวกันที่เจดีย์ชเวดากองเรียกร้องให้ทางการขับไล่ชาว “บังกาลี” ให้ออกจากประเทศ
สำนักข่าวกะละดานวันที่11 มิถุนายน ยังคงระบุถึงความรุนแรงที่มีอย่างต่อเนื่อง อาทิ การที่ตำรวจเข้ามาแจ้งให้ชาวโรฮิงญาออกไปจากพื้นที่มงดอว์ทันที หากไม่เช่นนั้นจะไม่รับผิดชอบหากมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น รายงานข่าวระบุต่อว่าจากนั้นชาวอาระกันและตำรวจได้โจมตีชาวบ้านจนเป็นเหตุ ให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย และทิ้งศพไว้หน้าโรงหนังจนเวลาเย็น
ทางด้านองค์กร Human Rights Watch ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลพม่าทำทุกวิถีทางเพื่อระงับความรุนแรงที่เกิด ขึ้นระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในรัฐอาระกัน
ขณะที่พรรคสันนิบาติอาระกันเพื่อประชาธิปไตย หรือเอแอลดี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และหนึ่งในข้อเรียกร้องที่พุ่งเป้าไปยังฝ่ายตรงข้าม คือ “มีมาตรการเข้มงวดในการป้องกันไม่ให้คนต่างชาติผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองตาม แนวชายแดน” และ เรียกร้องให้พม่า “มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับผู้อพยพยผิดกฎหมายในพม่า”
สำหรับประเทศไทยแล้ว เป็นทั้งประเทศทางผ่านและประเทศปลายทางของชาวโรฮิงญา ชาวโรฮิงญาไม่น้อยที่มักเข้ามาประกอบอาชีพขายโรตี โดยส่วนใหญ่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อๆมากลายเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติ
ชาวโรฮิงญาจำนวนมากเดินทางเข้ามาโดยทางเรือโดยขึ้นฝั่งที่จังหวัดระนอง และจังหวัดอื่นๆในฝั่งอันดามัน ส่วนใหญ่มุ่งสู่ประเทศมาเลเซีย โดยมีขบวนการรับ-ส่งเป็นทอดๆ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยเองก็เคยตกเป็นจำเลยในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนกับชนอพยพ ชาวเรือกลุ่มนี้ นอกจากนี้เคยหน่วยงานด้านความมั่นคงบางแห่งพยายามเชื่อมโยงมุสลิมโรฮิงญากับ มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อปัจจัยต่างๆไม่ได้เป็นอย่างสมมุติฐาน เงื่อนไขนี้จึงถูกสลายไป
แต่ว่ากันตามจริงแล้ว สถานการณ์ในอาระกันและในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนคล้ายกันไม่น้อยในหลาย ประการ คือนอกจากเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว เงื่อนไขที่สำคัญคือเรื่องของความ “อยุติธรรม”ที่สั่งสมมายาวนาน กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหาระหว่าง “ชาติพันธุ์”และ “ศาสนา”
น่าสนใจอย่างยิ่งว่ารัฐบาลของนายเต่ง เส่ง จะเข้ามาจัดการปัญหานี้อย่างไร เพราะลำพังแค่ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่กำลังเจรจากันอยู่ขณะนี้ก็ยัง ตกอยู่ในสภาพ “ลูกผีลูกคน” แต่เมื่อเพิ่มเงื่อนไขเรื่องศาสนาในส่วนของชาวโรฮิงญาเข้ามาอีก รัฐบาลพม่าจะมีทางออกอย่างไร
http://transbordernews.in.th/home/?p=1089
โดย โลมาอิรวดี
เนชั่นสุดสัปดาห์ 15 มิถุนายน 2555
|